WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

3 8 ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบ ชะลอลงทุนรอผล FOMC หวังพลังงาน-ค้าปลีก-รับเหมาฯหนุน

       นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบ โดยนักลงทุนคงจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะสิ้นสุดในวันนี้ (14 ธ.ค.) แต่ตลาดฯก็น่าจะยังได้หุ้นในกลุ่มพลังงานช่วยประคองตลาดได้ และกลุ่มค้าปลีกก็น่าจะได้รับผลบวกจากมาตรการช้อปช่วยชาติที่ออกมาด้วย รวมถึงกลุ่มรับเหมาฯก็น่าจะได้รับผลจากรถไฟทางคู่ ซึ่งต่างก็น่าจะช่วยประคองตลาดฯไว้ได้

    ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ บรรยากาศเป็นลักษณะเงียบ ๆ คงจะรอดูผลประชุม FOMC อย่างไรก็ดีนักลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนเป็นรายตัวได้

พร้อมให้แนวรับ 1,525 จุด ส่วนแนวต้าน 1,540 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ธ.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,911.21 จุด พุ่งขึ้น 114.78 จุด (+0.58%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,463.83 จุด เพิ่มขึ้น 51.29 จุด (+0.95%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,271.72 จุด เพิ่มขึ้น 14.76 จุด (+0.65%)

        - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 150.01 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 7.70 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.05 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 13.46 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 19.49 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.09 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 6.43 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.66 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ธ.ค.59) 1,530.21 จุด เพิ่มขึ้น 3.89 จุด (+0.25%)

       - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,621.40 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.59

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ธ.ค.59) ปิดที่ 52.98 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.3%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ธ.ค.59) ที่ 5.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.56 ทรงตัวใกล้เคียงจากเย็นวานนี้ รอความชัดเจนผลประชุมเฟด

       - คณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีแล้ว โดยเปิดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำใบเสร็จรับเงินเต็มรูปแบบในการซื้อสินค้าและบริการตามที่ใช้จ่ายจริงระหว่างวันที่ 14-31 ธ.ค.59 นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 หมื่นบาท

     - ประธานสมาคมธนาคารไทย เผยที่ประชุมสมาคมธนาคารไทยเห็นชอบร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ขาดสภาพคล่อง อันเป็นผลกระทบจากมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล โดยสมาคมมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้ขับเคลื่อนได้ภายใต้ผลกระทบดังกล่าว

    - กนง.-กนส.ร่วมหารือภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย จับตาความสามารถชำระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มถดถอยลง พร้อมทั้งผลกระทบต้นทุนและต่ออายุเงินกู้หรือตราสารหนี้จากความผันผวน พบพฤติกรรมเก็งกำไรผ่านกองทุนรวมและสหกรณ์ แนะเร่งปรับปรุงกรอบกฎหมายและกระบวนการกำกับดูแลความเสี่ยง

      - โฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (1 ต.ค.-30 พ.ย.59) มีการเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว 5.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 20.89% ของวงเงิน 2.733 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 2.43% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ เบิกจ่ายได้ 5.21 แสนล้านบาท หรือ 23.88% ของงบประจำ 2.18 ล้านล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุน (กรณีไม่รวมงบกลาง) เบิกจ่ายได้ 4.93 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 10.62% ของงบลงทุน 4.64 แสนล้านบาท

    - นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะเห็นเงินทุนไหลออกจากไทยบ้าง ซึ่งตลาดก็รับข่าวนี้ไปบ้างแล้ว และต้องรอความชัดเจนนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่าจะต้องการระดมเงินหรือใช้เงินจริงๆ มากน้อยเพียงใด เพราะกว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐจะเกิดได้ต้องใช้เวลา

     - คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแอ๊กชั่นแพลนด้านคมนาคมระยะที่ 2 อีก 36 รวม 2 ปี 59-60 เท่ากับ 56 โครงการ วงเงินกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ครบทั้งทางบก ราง น้ำ อากาศ มั่นใจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง

*หุ้นเด่นวันนี้

                - BEAUTY, KAMART, BIG, HMPRO, GLOBAL, ROBINS, FN, M, MC , KTC (ฟินันเซีย ไซรัส) ครม.อนุมัติมาตรการช้อปช่วยชาติไม่เกิน 15,000 บาทช่วง 14-31 ธ.ค.การขยายเวลาช้อปมากกว่าปีก่อนที่ให้เวลาเพียง 7 วัน ยิ่งเป็นบวกกับหุ้นค้าปลีก แม้ตลาดจะรับรู้ข่าวนี้ไปแล้ว แต่กลุ่ม Commerce และหุ้นที่ได้อานิสงส์ยังน่าสนใจเพราะราคาหุ้นพักฐานแล้วในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลเริ่มจ่ายเงินให้ผู้มีรายได้น้อยแล้ว

                - BIG (ฟินันเซีย ไซรัส) งาน Photo Fair 2016 เมื่อ 30 พ.ย.-4 ธ.ค.คาดยอดขาย 130-140 ล้านบาท ตลาดกล้องกลับมาคึกคักจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Fuji (X-A3) และ Olympus (E-PL8) และสินค้าเดิมของ Sony กลับมาขายได้ตามปกติ และยังได้แรงกระตุ้นจากช้อปช่วยชาติ ซึ่งปีที่แล้วสร้างยอดขายในช่วง 7 วันได้ราว 50 ล้านบาท จึงคาดกำไรสุทธิ 4Q59 จะฟื้นแรง 40-50% Q-Q โดยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและราคาเป้าหมาย

                - MEGA (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้าพื้นฐาน 27 บาท เซ็นสัญญาซื้อหุ้นทั้งหมดของ Bio-Life Marketing ที่มาเลเซีย มูลค่าราว 605 ลบ.จากเงินสดของบริษัท มุมมองเชิงบวกต่อดีลนี้ Bio-Life มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่แล้วเมื่อรวมผลการดำเนินงานเข้ามาในงบ MEGA ประเมินเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิในปี 60-61 ราว 3-4%

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก ขานรับวอลล์สตรีททำนิวไฮก่อนตลาดรู้ผลประชุมเฟด

                ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกในวันนี้ เพราะได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคัก ก่อนที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

                ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,596.71 จุด เพิ่มขึ้น 150.01 จุด, +0.67% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,888.61 จุด เพิ่มขึ้น 7.70 จุด, +0.11%  ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,645.72 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, +0.03% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,963.28 จุด เพิ่มขึ้น 8.05 จุด, +0.27% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,395.60 จุด เพิ่มขึ้น 13.46 จุด, +0.14% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,270.01 จุด เพิ่มขึ้น 19.49 จุด, +0.10% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,043.07 จุด เพิ่มขึ้น 7.09 จุด, +0.35%

                ส่วนดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ที่ 5,287.19 จุด ลดลง 6.43 จุด, -0.12% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,149.38 จุด ลดลง 5.66 จุด, -0.18%

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียได้รับปัจจัยหนุนจากดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีในตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ ก่อนที่การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

                ทั้งนี้ กระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในปีนี้

                นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาแถลงการณ์ของเฟดหลังการประชุมเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

 ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดพุ่ง 78.15 จุด รับแรงซื้อหนุนหุ้นธนาคาร

                ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเกือบทั่วทั้งภูมิภาคยุโรป

                ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 78.15 จุด หรือ 1.13% แตะที่ 6,968.57 จุด

                หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง พุ่งขึ้น 1.9% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับขึ้น 2.3% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 1.3%

                หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ธนาคารยูนิเครดิตของอิตาลีได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งรวมถึงการปรับลดจำนวนพนักงานลงอีก 6,500 ตำแหน่งภายในปี 2562 และการตัดขายหุ้นบางส่วน โดยมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูกิจการของธนาคาร

                อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองปรับตัวลดลง โดยหุ้นอันโตฟากัสต้า ร่วงลง 4.7% หุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 2.3% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 2.8%

                ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงแม้ว่าทางการจีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งก็ตาม โดยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.ขยายตัว 6.2% เทียบเป็นรายปี

                หุ้นเทสโก ร่วงลง 3.8% แม้ทางบริษัทเปิดเผยยอดขายและส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในรอบ 12 สัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 4 ธ.ค.

                สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) พุ่งขึ้น 1.2% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1%

                ดัชนี CPI ในเดือนพ.ย.ทำสถิติปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2014 และสูงกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับระดับ 0.1% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : แรงซื้อหุ้นแบงก์ หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากยูนิเครดิต ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของอิตาลี ได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งรวมถึงการปรับลดจำนวนพนักงานและการตัดขายหุ้นบางส่วน

                ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.1% ปิดที่ 357.50 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,803.87 จุด เพิ่มขึ้น 43.10 จุด หรือ +0.91% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,284.65 จุด เพิ่มขึ้น 94.44 จุด หรือ +0.84% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,284.65 จุด เพิ่มขึ้น 94.44 จุด หรือ +0.84%

                ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนหลังจากหุ้นของธนาคารอิตาลีปรับขึ้น โดยหุ้นยูนิเครดิต ทะยานขึ้น 16% ภายหลังจากธนาคารได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งรวมถึงการปรับลดจำนวนพนักงานลงอีก 6,500 ตำแหน่งภายในปี 2562 และการตัดขายหุ้นบางส่วน โดยมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูกิจการของธนาคาร

                การพุ่งขึ้นของหุ้นยูนิเครดิตช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง พุ่งขึ้น 1.9% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับขึ้น 2.3% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 1.3%

                หุ้น Anheuser-Busch InBev (เอบี อินเบฟ) ปรับตัวขึ้น 1.7% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทอาซาฮี กรุ๊ป โฮลดิ้งของญี่ปุ่น จะเข้าซื้อแบรนด์เบียร์ 5 แบรนด์ในยุโรปตะวันออกของเอบี อินเบฟ คิดเป็นมูลค่าราว 7.3 พันล้านยูโร

                หุ้นยูนิลีเวอร์ พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เจฟเฟอรีส์ ได้แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นดังกล่าว

                สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปซึ่งมีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทรงตัวในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน แม้ธนาคารกลางยุโรปได้พยายามกระตุ้นราคาผู้บริโภคในประเทศต่างๆของยูโรโซนก็ตาม

                ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 1.2% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 114.78 จุด นักลงทุนรุกซื้อหุ้นก่อนรู้ผลประชุมเฟด

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ 20,000 จุด เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคัก ก่อนที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,911.21 จุด พุ่งขึ้น 114.78 จุด หรือ +0.58% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,463.83 จุด เพิ่มขึ้น 51.29 จุด หรือ +0.95% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,271.72 จุด เพิ่มขึ้น 14.76 จุด หรือ +0.65%

   ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งช่วยหนุนดาวโจนส์, S&P500 และ NASDAQ ปิดทำนิวไฮ ก่อนที่การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยกระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในปีนี้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาแถลงการณ์ของเฟดหลังการประชุมเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

     ทั้งนี้ หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 1.23% ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.67% หุ้นไอบีเอ็ม ปรับตัวขึ้น 1.69% หุ้นไมโครซอท์ พุ่งขึ้น 1.30% และหุ้นอเมซอน ดีดขึ้น 1.87%

     หุ้นแอปเปิลได้รับแรงหนุนหลังจากวอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า แอปเปิลให้ความสนใจที่จะลงทุนมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในบริษัทซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์และการสื่อสารรายใหญ่ของญี่ปุ่น

     หุ้น Anheuser-Busch InBev (เอบี อินเบฟ) ปรับตัวขึ้น 1.3% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทอาซาฮี กรุ๊ป โฮลดิ้งของญี่ปุ่น จะเข้าซื้อแบรนด์เบียร์ 5 แบรนด์ในยุโรปตะวันออกของเอบี อินเบฟ

    หุ้นอินโนแวลอน โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 37.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาด

    สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งมีการเปิดเผยล่าสุดนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่การแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยสกัดราคานำเข้า

     ขณะที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.1% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และร่วงลง 0.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2014 หลังจากร่วงลง 1.0% ในเดือนต.ค.

     นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย., ดุลบัญชีเดินสะพัดประจำไตรมาส 3/2559, ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนธ.ค. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน-การอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย.

  อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!