WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET22ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์อิงขาขึ้นรับราคาน้ำมันพุ่ง-ลุ้นมาตรการช้อปช่วยชาติ

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 1 ปีครึ่ง ขานรับผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกตกลงกันได้ในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน

       นอกจากนี้ วันนี้ลุ้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการออกมาตรการช้อปช่วยชาติ ซึ่งน่าจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม และโรงแรม

     ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยให้ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ คาดว่าเฟดคงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% และติดตามการคาดการณ์แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และความเห็นของประธานเฟดในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ และแรงกดดันในเงินเฟ้อ

      พร้อมให้แนวรับ 1,523-1,524 ถัดไป 1,520 จุด แนวต้าน 1,530-1,532 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ธ.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,796.43 จุด เพิ่มขึ้น 39.58 จุด (+0.20%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,412.54 จุด ลดลง 31.96 จุด (-0.59%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,256.96 จุด ลดลง 2.57 จุด (-0.11%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 34.27 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 13.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 25.40 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 12.03 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.85 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.65 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 10.03 จุด

     - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 ธ.ค.59) 1,526.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.91 จุด (+0.06%)

     - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 370.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ธ.ค.59) ปิดที่ 52.83 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.33 ดอลลาร์ หรือ 2.6%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ธ.ค.59) ที่ 5.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 35.58/59 ตลาดจับตาประชุมเฟดสัปดาห์นี้ มองกรอบ 35.55-35.65

      - นายประยูรสิทธิ์ คณานุรักษ์ ประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และประธานกรรมการสหกรณ์ สกย.อุตสาหกรรมยางปัตตานี (2015) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยางในตลาดโลกกำลังขาดแคลน เฉพาะประเทศไทยในปี 2559 ยางหายไปประมาณ 1.5 ล้านตัน ส่วนภาพรวมทั่วโลกยางหายไปประมาณ 20-30% ภาวะเช่นนี้ ควรเก็บยางสต๊อกเอาไว้แล้วค่อยปล่อยออก เพราะราคายางที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรชาวสวนยางยังไม่เป็นจริง และไม่เป็นธรรม

     - แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันที่ 13 ธ.ค. คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพิจารณาเห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีช็อปช่วยชาติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้นำรายจ่ายการซื้อสินค้าและบริการในช่วงวันที่ 14-31 ธ.ค.มาหักลดหย่อยภาษีได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้เศรษฐกิจขยายได้ตามเป้าหมายที่ 3.3%

       - นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สนท.) เปิดเผยว่า สทน.เตรียมทำหนังสือถึง นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา พิจารณายืดมาตรการหักลดหย่อนภาษีรายได้ให้กับนักท่องเที่ยวคนไทยที่มีใบเสร็จด้านการท่องเที่ยว แพ็กเกจทัวร์ โรงแรม บริษัททัวร์ถูกต้องตามกฎหมายที่เดินทางเที่ยวช่วงไตรมาสแรกตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.60 สามารถหักลดหย่อนภาษีได้อีก 1.5 หมื่นบาท/คน เพื่อสร้างบรรยากาศทางการท่องเที่ยวภายในประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติและกระตุ้นให้คนไทยตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มอีก 50% เทียบจากช่วงภาวะปกติ

     - "คลัง"เตรียมขอ"กฤษฎีกา"แก้ไขร่างกฎหมาย กบช. ใน 2 ประเด็น ยกเลิกการนำส่งเงินสมทบกองทุนฯ อัตราสูงสุด 10% โดยกำหนดเงื่อนไขใหม่ให้เป็นไปตามประกาศของกระทรวงการคลังซึ่งจะอิงตามภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วง พร้อมทั้งขอยกเลิกการทยอยจ่ายเงินสมทบตามขั้นบันได หวังช่วยลดภาระนายจ้างร่วมจ่ายเข้ากองทุนฯ

       - ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานธุรกรรมการชำระเงินผ่านบริการโมบายแบงก์กิ้งและอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่าจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนบัญชีลูกค้าโมบายแบงก์กิ้งอยู่ที่ 19.37 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 70.77% มีปริมาณรายการ 55.91 ล้านล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 127% มีมูลค่ารวม 5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.6%

       - นายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาพัฒนาที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่า แผนปฏิบัติงานการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ไม่ใช่เพื่อการเดินรถ (Non-Core) จำนวน 3.9 หมื่นไร่ของ รฟท.เพื่อเพิ่มรายได้จากค่าเช่าที่ดินในช่วงปี 2560-2564 นั้น คาดว่าจะเพิ่มรายได้ให้ รฟท.ประมาณ 5-6 พันล้านบาทต่อปี โดยเป็นการเพิ่มค่าเช่าและหลังจากแผน 5 ปีแรกผ่านพ้นไปแล้ว ในระยะอีก 5 ปีถัดไป เมื่อนำที่ดินแปลงใหม่ๆ มาให้เอกชนเช่ามากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงค่าเช่าที่ดินที่ใกล้หมดอายุ จะทำให้รายได้ของ ร.ฟ.ท.เพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท/ปี จากปัจจุบัน ร.ฟ.ท.มีรายได้จากค่าเช่าเพียง 2.5 พันล้านบาท/ปี

*หุ้นเด่นวันนี้

    - กลุ่มพลังงาน (กสิกรไทย) ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด เนื่องจากราคาน้ำมันได้แตะจุดสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ค.58 หลังจากซาอุฯส่งสัญญาณพร้อมลดการผลิตลงต่ำกว่า 10 ล้านบาร์เรล/วัน มากกว่าที่ตกลงไว้ในการประชุม OPEC และกลุ่ม non-OPEC ยังตกลงร่วมลดการผลิตลงอีก 0.56 ล้านบาร์เรล/วันในปี 60 แสดงให้เห็นว่าอุปทานน้ำมันอาจถูกลดราว 1.8-2.0 ล้านบาร์เรล/วัน ใกล้เคียงกับอุปทานส่วนเกินในปี 59 ดังนั้น คาดว่าตลาดน้ำมันดิบจะเข้าสู่จุดสมดุลครึ่งปีแรกปี 60 เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นน้ำมันต้นน้ำคงคำแนะนำ"ซื้อ"PTTEP และ PTT ราคาเป้าหมาย 97 บาท และ 377 บาท ตามลำดับ

      - ASEFA (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้า Consensus 8.9 บาท ได้อานิสงส์การประมูลโครงการภาครัฐฯต่อเนื่องจากหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้าแล้ว โดย ASEFA เป็นผู้ผลิตและติดตั้งระบบไฟฟ้า คาดจะเข้าร่วมการประมูลงานระบบไฟฟ้าในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 โครงการย้ายสายไฟลงใต้ดิน เป็นต้น

      - BEM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"การเจรจาระหว่างรฟม.และ BEM เรื่องผลตอบแทนและส่วนแบ่งรายได้ของการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย บางซื่อ-ท่าพระ" และ หัวลำโพง-บางแค" 27 กม. 21 สถานี มูลค่า 22,895 ล้านบาท จะได้ข้อสรุปภายใน 18 ธ.ค.นี้ โดยให้ราคาพื้นฐาน 12 บาทรวมส่วนต่อขยายของสีน้ำเงินแล้ว

      - FSMART (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"ปรับเป้าขึ้นเป็น 22 บาทจาก 19.50 บาท หลังปรับกำไรปีนี้ขึ้นเป็นเติบโต 50% และปรับกำไรปี 60-61 ขึ้น 10-14% เป็นโตเฉลี่ย 33% ต่อปี จากความเป็นผู้นำในธุรกิจเติมเงินมือถือผ่านตู้บุญเติม และได้อานิสงส์จากการที่ร้าน 7-11 ไม่ขายบัตร/สลิปเติมเงินมือถือของ AIS ตั้งแต่ ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้ามาเติมเงินผ่านตู้บุญเติมแทน แม้ 2560PE ที่ 27 เท่า จะสูงไม่แพ้หุ้นกลุ่มค้าปลีก แต่เป็น Growth stock ที่กำไรโตสูงเฉลี่ยปีละ 77% นับตั้งแต่เข้าตลาดฯในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและยังไม่หยุดเติบโต PEG คิดเป็นเพียง 0.7 เท่า

     - ILINK (โกลเบล็ก) เป้า consensus เฉลี่ย 25.30 บาท นโยบาย digital economy เอื้อต่อการเติบโตของILINK ที่ประกอบธุรกิจหลัก 3 ประเภทได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ 64% ธุรกิจวิศวกรรมโครงการในการออกแบบ 22% และรายได้ธุรกิจโทรคมนาคมในการให้เช่าวงจร 14% ด้าน 3Q59 มีกำไร 61 ลบ.+2%YoY 9M59 มีกำไร 174 ลบ. -20% ผู้บริหารประเมินว่ารายได้ปีนี้พลาดเป้าโต 10-15% เหลือใกล้เคียงปีก่อนที่ 3,079 ลบ.แต่แนวโน้มปี 60 ดีขึ้นตามความต้องการสายสัญญาณที่เพิ่มขึ้นและงานประมูลโครงการวิศวกรรมที่จะเข้ามามากขึ้น อีกทั้งมีรายได้จาก ITEL ซึ่งเป็นบริษัทลูกในการให้บริการโครงข่าย Fiber Optic และบริการพื้นที่ดาต้าเซนเตอร์

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ ขณะจับตาผลประชุมเฟด

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,120.76 จุด ลดลง 34.27 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,138.99 จุด ลดลง 13.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,407.62 จุด ลดลง 25.40 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,361.97 จุด เพิ่มขึ้น 12.03 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,026.39 จุด ลดลง 0.85 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,952.84 จุด เพิ่มขึ้น 0.65 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,651.45 จุด เพิ่มขึ้น 10.03 จุด

       ทั้งนี้ ผลสำรวจของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 98% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงเทขายทำกำไร ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 63.79 จุด

      ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการเทขายทำกำไร หลังจากที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 วันในช่วงก่อนหน้านี้

      ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 63.79 จุด หรือ 0.92% แตะที่ 6,890.42 จุด

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเนื่องจากแรงขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 13 ประเทศนั้น ได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งในจำนวนนี้ รัสเซียจะปรับลดกำลังการผลิตลง 300,000 บาร์เรลต่อวัน โดยจะปรับลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า

      หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.6% และหุ้นบีพีเพิ่มขึ้น 1.5%

       หุ้นโพลีเมทัล อินเตอร์เนชั่นแนลลดลง 4.7% หลังจากนักวิเคราะห์หลายรายได้แห่งปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนชะลอซื้อขายก่อนรู้ผลประชุมเฟด

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันนี้ (12 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากมีรายงานว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงปรับลดกำลังการผลิต ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นร่วมกับกลุ่มโอเปกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.5% แตะที่ 353.74 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,760.77 จุด ลดลง 3.30 จุด หรือ -0.07% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,190.21 จุด ลดลง 13.42 จุด หรือ -0.12% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,890.42 จุด ลดลง 63.79 จุด หรือ -0.92%

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ขณะที่ผลสำรวจของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 98% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี

     หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวลง โดยหุ้นดอยซ์ ลุฟฮันซา ร่วงลง 1.9% หุ้นแอร์ ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ปรับตัวลง 1.8% และหุ้นคอนโซลิเดท แอร์ไลน์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริติช แอร์เวยส์ ร่วงลง 2%

      อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยให้ตลาดลดช่วงลบในระหว่างวัน โดยหุ้นทุลโลว์ ออยล์ พุ่งขึ้น 4.4% หุ้นสแตทออยล์ ปรับขึ้น 1.6% และหุ้น Eni SpA ทะยานขึ้น 3.7%

      ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นถึง 2.6% เมื่อคืนนี้ ขานรับข่าวที่ว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 13 ประเทศนั้น ได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งในจำนวนนี้ รัสเซียจะปรับลดกำลังการผลิตลง 300,000 บาร์เรลต่อวัน โดยจะปรับลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 39.58 จุด หลังราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และทำสถิติปิดบวกติดต่อกัน 6 วันทำการ เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 2% ขานรับข่าวที่ว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงปรับลดกำลังการผลิต ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นร่วมกับกลุ่มโอเปกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ปิดในแดนลบ เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และจากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,796.43 จุด เพิ่มขึ้น 39.58 จุด หรือ +0.20% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,412.54 จุด ลดลง 31.96 จุด หรือ -0.59% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,256.96 จุด ลดลง 2.57 จุด หรือ -0.11%

       ดัชนี ดาวโจนส์ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.2% และหุ้นเชฟรอน ปรับตัวขึ้น 1.2%

     ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นถึง 2.6% เมื่อคืนนี้ ขานรับข่าวที่ว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 13 ประเทศนั้น ได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งแม้ว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเบื้องต้นที่กำหนดไว้ที่ 600,000 บาร์เรล/วัน แต่ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศนอกกลุ่มโอเปกได้ปรับลดการผลิตลงมากที่สุด ซึ่งในจำนวนนี้ รัสเซียจะปรับลดกำลังการผลิตลง 300,000 บาร์เรลต่อวัน โดยจะปรับลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า

       ความสำเร็จของการประชุมระหว่างกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกซึ่งมีขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ช่วยให้ตลาดคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ และยังมีขึ้นหลังจากที่กลุ่มโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา

       อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และ S&P500 ปิดลบ เพราะได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มเทคโยโลยี โดยหุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.6% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.6% และหุ้น Amazon.com ปรับตัวลง 1.1%

     หุ้นเวียคอม อิงค์ ดิ่งลง 9.4% หลังจากมีรายงานว่านายชารี เรดสโตน รองประธานบริษัทเวียคอม ได้ยกเลิกการสนับสนุนการควบรวมกิจการกับซีบีเอส คอร์ป

      หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สท์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ร่วงลงกว่า 6% หลังจากมีรายงานว่า บริษัททเวนตี้ เฟิร์สท์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค ได้ยื่นข้อเสนอวงเงิน 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือของบริษัทสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเพย์ทีวีของยุโรป

      นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ขณะที่ผลสำรวจของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 98% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

    อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!