WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

bull market4ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามภูมิภาค ขานรับราคาน้ำมันพุ่งแรงหลังโอเปกบรรลุข้อตกลงลดการผลิต

    นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า ภายหลังจากราคาน้ำมัน WTIพุ่งแรงถึง 9.3% มาอยู่ที่ 49.44 เหรียญฯ/บาร์เรล รับผลการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ตกลงที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน มาเหลือกำลังการผลิต 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนม.ค.60 จากเมื่อเดือน ต.ค. ที่มีกำลังการผลิต 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน

    นอกจากนี้ โอเปกมีกำหนดจัดการประชุมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ซึ่งก็คาดว่าจะลดกำลังการผลิตด้วย โดยผู้ผลิตรายใหญ่อย่างรัสเซียคาดว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 3 แสนบาร์เรล/วัน จากกำลังการผลิต 10 ล้านบาร์เรล/วัน อีกทั้งกำลังจะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวที่มีความต้องการใช้น้ำมันกันมาก ดังนั้นจึงคาดว่าราคาน้ำมันจะวิ่งขึ้นไป โดยปลายปีนี้ก็คาดว่าราคาน้ำมันจะขึ้นไปบริเวณ 50-55 เหรียญฯ/บาร์เรล และปีหน้า ก็คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่แถว 50-60 เหรียญฯ/บาร์เรล ดังนั้นวันนี้จึงคาดว่าหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี น่าจะดันตลาดฯได้ดี

    สำหรับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกก็เชื่อว่ายังน่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาต่อเนื่อง แม้ว่ามาตรการช้อปช่วยชาติจะยังไม่เข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์นี้ แต่ก็คงจะอีกไม่นานที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของครม. ส่วนหุ้นในกลุ่มสายการบินและท่องเที่ยวอาจจะต้องเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นไป

    ส่วนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องนั้น ก็คงจะเป็นการปรับพอร์ตก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

พร้อมให้แนวรับ 1,505 จุด ส่วนแนวต้าน 1,520 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

   - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (30 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,123.58 จุด เพิ่มขึ้น 1.98 จุด (+0.01%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,323.68 จุด ลดลง 56.24 จุด (-1.05%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,198.81 จุด ลดลง 5.85 จุด (-0.27%)

   - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 226.76 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 7.00 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 158.88 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 4.84 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.00 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.63 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.98 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 120.94 จุด

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 พ.ย.59)  1,510.24 จุด เพิ่มขึ้น 13.06 จุด (+0.87%)

    - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,087.90 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 พ.ย.59

    - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (30 พ.ย.59) ปิดที่ 49.44 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 4.21 ดอลลาร์ หรือ 9.3%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 พ.ย.59) ที่ 7.77 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 35.68/70 แนวโน้มอ่อนค่าหลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด

                - "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลวงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดการเติบโตในท้องถิ่นและภูมิภาคผ่านกลุ่มจังหวัด ตามแนวทางสร้างความเข้มแข็งที่ยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ

                - ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกในเดือน ต.ค. 2559 อยู่ที่ 1.77 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.22% ส่งผลให้ยอดส่งออก 10 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค. 2559) มีมูลค่ารวม 1.78 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อน 1.02% โดยคาดว่าการส่งออกรวมทั้งปีนี้จะหดตัว 0.8% หรือดีสุดก็ทรงตัวที่ 0%

                - ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาทางวิชาการประจำปี ธปท. สำนักงานภาคใต้ "ประเทศไทย 4.0" ว่า ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะ 3 ต่ำ 2 สูง คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วน 2 สูง คือ ตลาดเงินตลาดทุนผันผวนสูง และมีผู้ได้รับประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจขยายตัวกระจุกตัวในคนบางกลุ่มเท่านั้น

                - ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยเศรษฐกิจไทยในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน โดยภาคการท่องเที่ยวชะลอตัว ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและนักท่องเที่ยวไทย และผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญที่ผิดกฎหมาย และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า (Visa on arrival) โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 2.26 ล้านคน ลดลงจาก 2.41 ล้านคนในเดือนก่อนหน้า หรือลดลง 10.1%

                - กบข.มองปีหน้าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 3.1% อเมริกาแนวโน้มดี ยุโรป ญี่ปุ่นชะลอตัว จับตานโยบายสหรัฐหลังเลือกตั้ง-เฟด-เบร็กซิท เชื่อจีดีพีไทยโต 3.3% จากลงทุนพื้นฐาน การบริโภค และท่องเที่ยว ยันตลาดเงิน-ทุนผันผวน เน้นลงทุนกระจายความเสี่ยง ทั้งตราสารหนี้ หุ้น ระวังกลุ่มตลาดเกิดใหม่

*หุ้นเด่นวันนี้

                - KSL (เคจีไอ) เป้า Consensus 4.5 บาท ผลประชุม OPEC ทำให้ราคาน้ำมันรีบาวด์เป็นบวกต่อแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตร โดยเฉพาะน้ำตาลที่ในอุปทานยังขาด ฤดูหีบอ้อยปี 59/60 คาด กอน.ล๊อกราคาขายล่วงหน้าน้ำตาลไว้ที่ 20.5 เซนต์/ปอนด์ จากปีที่แล้วเฉลี่ย 15.5 เซนต์/ปอนด์ แต่คาด KSL ล๊อกราคาขายล่วงหน้าได้ดีกว่า เป็นบวกต่อมาร์จิ้น ขณะที่ปริมาณอ้อยเข้าหีบปีนี้ทรงตัว ปริมาณขายทรงตัว แต่ราคาดีขึ้น คาดรายได้โต พร้อมประเมินแนวรับ 3.96 บาท แนวต้าน 4.2 บาท และถัดไปที่ 4.4 บาท Stop loss 3.84 บาท

    - BCH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16 บาท ปรับประมาณการกำไรปี 59-60 ขึ้น 10-13% เป็นเติบโต 45% Y-Y ในปีนี้และ +14% Y-Y ในปีหน้า จากกำไรดีกว่าคาดใน Q3/16 และแนวโน้มสดใสต่อใน Q4/59 จากรายได้ผู้ป่วยเงินสดที่โตดีทั้งจากรพ.เดิมและ WMC และอาจมีรายได้เพิ่มจากกลุ่ม 26 โรคเรื้อรังที่ สนง.ประกันสังคมจะจ่ายเงินในช่วงปลายปี และมีลุ้น สนง.ประกันสังคมปรับอัตราการจ่ายเงินให้สูงขึ้น คาดรู้ผลต้นปีหน้า

      - NYT (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 16.40 บาท ช่วง 4Q59 คาดกำไรโตสดใสตามราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว คาดหนุนลูกค้าตะวันออกกลางสั่งซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น โดยปี 59 คาดกำไรปกติโต 8.2%YoY และโตต่อปีละ 9.6% ในปี 60-61 จากผู้ผลิตหันมาผลิต ECO-CAR เพื่อส่งออกมากขึ้น อีกทั้งมีแผนขยายกำลังผลิตท่าเรือ A5 และมี Upside 16% และคาดให้ Div. Yield ปีนี้ 4.8%

     - PTTEP (ไอร่า) เป้าปีหน้า 95 บาท ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หลังลงไปต่ำสุดบริเวณ 41 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ได้รับปัจจัยหนุนจากผลประชุมโอเปก แนวโน้ม 4Q/59 คาดว่าราคาจะอยู่ในช่วง 45-55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล พร้อมคาดรายได้ในปี 60 เพิ่มขึ้น 8% อยู่ที่ 173,740 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 17,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% คาดเงินปันผล 2.63 บาท คิดเป็น Div.Yield ประมาณ 3.0%

ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งขึ้นเช้านี้ รับโอเปกบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมัน

    ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ในการประชุมเมื่อวานนี้

   ดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ตามเวลาโตเกียว

    ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,535.24 จุด เพิ่มขึ้น 226.76 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,257.03 จุด เพิ่มขึ้น 7.00 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,948.65 จุด เพิ่มขึ้น 158.88 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,245.55 จุด เพิ่มขึ้น 4.84 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,987.48 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,913.65 จุด เพิ่มขึ้น 9.63 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,621.10 จุด เพิ่มขึ้น 1.98 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,902.14 จุด เพิ่มขึ้น 120.94 จุด

    ทั้งนี้ โอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมเมื่อวานนี้ สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นไปตามกรอบข้อตกลงในการประชุมที่กรุงอัลเจียร์สเมื่อเดือนก.ย.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน:ฟุตซี่ปิดบวก 11.79 จุด รับโอเปกบรรลุข้อตกลงลดการผลิต

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตครั้งแรกในรอบ 8 ปี ในการประชุมเมื่อวานนี้

     ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่ประชุมโอเปกออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า โอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นไปตามกรอบข้อตกลงในการประชุมที่กรุงอัลเจียร์ส ประเทศแอลจีเรีย ในเดือนก.ย.

     ทั้งนี้ การลดกำลังการผลิตดังกล่าว จะเป็นการปรับลดกำลังการผลิตของโอเปกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.2017

                หุ้นกลุ่มพลังงานนำตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้น โดยหุ้นบีพีพุ่งขึ้น 3.8% ในขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 4.3%

                หุ้นแคปิตาปรับตัวลง 5.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างคึกคัก หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมเมื่อวานนี้

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.3% ปิดที่ 341.99 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,578.34 จุด เพิ่มขึ้น 26.88 จุด หรือ +0.59% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,640.30 จุด เพิ่มขึ้น 19.81 จุด หรือ +0.19% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,783.79 จุด เพิ่มขึ้น 11.79 จุด หรือ +0.17%

                ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากโอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมเมื่อวานนี้ สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นไปตามกรอบข้อตกลงในการประชุมที่กรุงอัลเจียร์สในเดือนก.ย.

                การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเรพซอล พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ ทะยานขึ้น 13% หุ้นกัลป์ เอนเนอร์เจีย ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของโปรตุเกส ปรับตัวขึ้น 4.5%

                อย่างไรก็ตาม หุ้นลุฟฮันซาร่วงลง 1.61% หลังจากจำนวนผู้โดยสารลดลง อันเนื่องมาจากการประท้วงผละงานของกลุ่มนักบิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินจำนวนมากของบริษัท

                หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ร่วงลง 1.2% หลังจากธนาคารกลางอังกฤษเปิดเผยว่า รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ (RBS) ไม่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต และกำหนดให้ RBS ต้องยื่นแผนเพิ่มทุนฉบับแก้ไขใหม่

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 1.98 จุด หลังราคาน้ำมันพุ่งรับข้อตกลงโอเปก

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตครั้งแรกรอบ 8 ปีในการประชุมเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยดาวโจนส์ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี NASDAQ และ S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรในวันศุกร์นี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนธ.ค.

                ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,123.58 จุด เพิ่มขึ้น 1.98 จุด หรือ +0.01% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,323.68 จุด ลดลง 56.24 จุด หรือ -1.05% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,198.81 จุด ลดลง 5.85 จุด หรือ -0.27%

                ตลอดเดือนพ.ย. ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 5.4% ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 3.4% และดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 2.6%

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 9% เมื่อคืนนี้ หลังจากโอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมเมื่อวานนี้ สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นไปตามกรอบข้อตกลงในการประชุมที่กรุงอัลเจียร์สในเดือนก.ย.

                การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.1% และหุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 2.6% หุ้นมาราธอน ออยล์ ทะยานขึ้น 19% และหุ้นทรานส์โอเชียน พุ่งขึ้น 17%

                หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 4% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ดีดตัวขึ้น 1.6% ขานรับข่าวที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อนายสตีเวน นูชิน อดีตผู้บริหารธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

                นายนูชินกล่าวภายหลังจากได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังว่า การรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ถือเป็นวาระสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมกับกล่าวว่า "เราสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมีการขยายตัวอย่างยั่งยืนที่ระดับ 3-4%"

                อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.

                ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!