WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Bay Sellภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลงเล็กน้อยรับแรงขายทำกำไร แต่เชื่อ LTF-RMF และมาตรการรัฐฯยังหนุน

     นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมตัวลงเล็กน้อย ตามแรงขายทำกำไร แต่เชื่อว่าน่าจะได้แรงหนุนจากกองทุน LTF และ RMF ที่จะเข้าซื้อก่อนสิ้นปี และมาตรการภาครัฐฯกระตุ้นการท่องเที่ยวก็น่าจะช่วยหนุนตลาดฯได้ แม้จะผิดหวังมาตรการช้อปช่วยชาติยังไม่ออกมา แต่เชื่อว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมครั้งถัดไป

     ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวกเล็กน้อย แนะติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกในวันนี้ (30 พ.ย.) แต่บ้านเราจะทราบผลเช้าวีนพรุ่งนี้ และการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ที่จะมีผลสิ้นวันนี้ด้วยเช่นกัน

พร้อมให้แนวรับ 1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,508 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (29 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,121.60 จุด เพิ่มขึ้น 23.70 จุด (+0.12%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,379.92 จุด เพิ่มขึ้น 11.11 จุด (+0.21%), ดัชนี S&P500 ปิดที่  2,204.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.94 จุด (+0.13%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 48.99 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 10.78 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 105.29 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.71 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 36.28 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.64 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (29 พ.ย.59) 1,497.18  จุด ลดลง 3.60 จุด (-0.24%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,029.20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 พ.ย.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (29 พ.ย.59) ปิดที่ 45.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.85 ดอลลาร์ หรือ 3.9%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (29 พ.ย.59) ที่ 8.04 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 35.60/65 แนวโน้มแกว่งแคบ รอดูตัวเลขเศรษฐกิจในปท.-สหรัฐฯ

     - ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าว่า คาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.4% แต่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจปีหน้าโตแบบก้าวกระโดดได้ 4.0-4.5% ซึ่งจะไม่ใช่มาตรการลดหย่อนภาษี แต่เป็นมาตรการที่เน้นรายจ่ายการลงทุนที่จะดำเนินการเบิกจ่ายได้จริงจำนวนมาก รวมถึงภาคเอกชนก็จะเริ่มกลับมาลงทุนจำนวนมาก เพราะไม่สามารถชะลอการลงทุนได้มากกว่านี้อีกแล้ว

      - รฟม.เปิดซองข้อเสนอลงทุน-ผลตอบแทน ประมูลรถไฟฟ้าสีชมพู-เหลือง หลังกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ และ BEM ผ่านการพิจารณาด้านคุณสมบัติและเทคนิค มั่นใจ เม.ย.60 เซ็นสัญญาจ้าง

                - ครม.ไฟเขียวมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปีใช้จ่ายตั้งแต่ 1-31 ธันวาคม นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้อีก 1.5 หมื่นบาท รวมกับมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดสิ้นปีนี้เป็น 3 หมื่นบาท คลังคาดสูญรายได้ 150 ล้านบาท

                - ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการจัดตั้งกลไกในการเจรจาหนี้ของ สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ร่วมกับทางสมาคมธนาคารไทย เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการจัดการหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ของสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันของทั้งระบบสถาบันการเงิน คล้ายกับหลายประเทศที่มีกลไกดังกล่าวไว้แก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่มีหลักประกันเช่นกัน อาทิ มาเลเซีย ที่มีองค์กรในลักษณะนี้แล้ว เป็นต้น

*หุ้นเด่นวันนี้

                - THAI (เคจีไอ) เป้าสูงสุด Consensus 34 บาท มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในไทยเดือน ธ.ค. สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 1.5 หมื่นบาท (รวมปีนี้ลดหย่อนได้ 3 หมื่นบาท) ต่อเนื่องจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึง "จีน" เป็นบวกต่อฝั่งรายได้ โดยคาด Cabin factor ของ THAI ใน 4Q59 จะอยู่ในระดับที่สูง (>70%) ในช่วง High season โดยเฉพาะเดือน ธ.ค.นี้, ในด้านต้นทุนประเมินความเป็นได้ที่ราคาน้ำมันจะมี Upside จำกัด (ประเมินการประชุม OPEC อาจไม่ได้ข้อสรุปในการลดกำลังการผลิต และกรณีที่ได้ข้อสรุปฯ ประเมินว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจะกระตุ้นการกลับมาเริ่มผลิต Shale oil ที่สหรัฐฯ + แท่นขุดเจาะที่หยุดการผลิตไปก่อนหน้า) ในกรณีที่ประเมินผิดคือราคาน้ำมันพุ่งเกิน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ด้านสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยคาด ICAO จะปลดธงแดงสายการบินไทยภายในปี 2560

                - AOT (ทรีนีตี้)"ซื้อ"เป้า 420 บาท (ก่อนแตกพาร์) คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 10 บาทเป็น 1 บาท พร้อมจัดสรรเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปีบัญชี 2559 ในอัตราหุ้นละ 6.83 บาทจากพาร์ 10 บาท โดนมองเป็นปัจจัยบวก โดยระดับเงินปันผลจ่ายถือว่าสูงกว่าที่ Consensus คาดการณ์ไว้ นอกจากนั้นจากการศึกษาของในอดีตพบว่าราคาหุ้นที่มีการแตกพาร์มักจะปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 12% นับจากวันประกาศไปจนกระทั่ง 1 เดือนหลังจากนั้น โดยการปรับตัวที่ดีมักเห็นได้ชัดในหุ้นที่แตกพาร์ 10 เท่า

                - CENTEL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 46 บาท  มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อ Guidance ของผู้บริหารในปี 2560 ที่มองการเติบโตของธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมต่ำกว่าประมาณการ สะท้อนการแข่งขันที่สูงขึ้น และการที่ CENTEL ยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เร็วๆนี้แจะจำกัดการเติบโตในระยะยาว กำไรปกติปี 2559-2560 ที่คาด +7% Y-Y และ +11.5% Y-Y อาจมี downside เล็กน้อย 5-8%

                - MEGA (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 27 บาท MEGA ได้เซ็นสัญญาซื้อหุ้นทั้งหมดของ Bio-Life Marketing ที่มาเลเซีย มูลค่าราว 605 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินสดของบริษัทฯเอง โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อดีลนี้ นอกจากนี้ เนื่องด้วย Bio-Life มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่แล้ว เมื่อรวมผลการดำเนินงานเข้ามาในงบการเงินของ MEGA ประเมินว่าจะมีส่วนเพิ่มต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2560-61 ราว 3-4%

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสดใส

                ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งสุดในรอบ 2 ปี และราคาบ้านที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,356.03 จุด เพิ่มขึ้น 48.99 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,272.14 จุด ลดลง 10.78 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,842.36 จุด เพิ่มขึ้น 105.29 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,196.09 จุด เพิ่มขึ้น 3.71 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,980.38 จุด เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,915.42 จุด เพิ่มขึ้น 36.28 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,627.57 จุด เพิ่มขึ้น 0.64 จุด

                ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับการขยายตัวของจีดีพีประจำไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 3.2% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 2.9% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกและการใช้จ่ายผู้บริโภค

                ขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีราคาบ้านของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2006 ส่วนทางด้าน Conference Board รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 107.1 ในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 101.2

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 27.47 จุด ขณะตลาดจับตาประชุมโอเปก

                ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจต่อผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันนี้ ขณะที่รัสเซียปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุมในวันนี้ ในฐานะประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก

                ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 27.47 จุด หรือ 0.40% แตะที่ 6,772.00 จุด

                ตลาดหุ้นลอนดอนปรับได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า ประเทศสมาชิกโอเปกจะไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการปรับลดกำลังการผลิต ในการประชุมอย่างเป็นทางการวันนี้ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

                รายงานล่าสุดระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับผู้เชี่ยวชาญของโอเปกได้เข้าประชุมกันที่กรุงเวียนนาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะมีการจัดทำข้อเสนอแก่รัฐมนตรีน้ำมันของประเทศสมาชิกเกี่ยวกับโควตาการผลิตเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมอย่างเป็นทางการในวันนี้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดของการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันได้

                หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง นำโดยหุ้นบีพีที่ลดลง 2.1% ในขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลดลง 2% หลังจากสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 1.85 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 45.23 ดอลลาร์/บาร์เรล

                หุ้นบีที กรุ๊ป ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของอังกฤษเพิ่มขึ้น 1.2% หลังจากเจ้าหน้าที่กำกับกฎระเบียบของอังกฤษมีคำสั่งให้บริษัทแยก Openreach ซึ่งเป็นบริษัทลูกออกเป็นบริษัทอิสระ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแข่งขัน

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัว ตลาดกังวลการลงประชามติอิตาลี

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัวเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลี และการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นปรับลดกำลังการผลิต

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้นเล็กน้อย ปิดที่ระดับ 339.88 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,551.46 จุด เพิ่มขึ้น 41.07 จุด, +0.91% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,620.49 จุด เพิ่มขึ้น 37.82 จุด, +0.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,772.00 จุด ลดลง 27.47 จุด, -0.40%

                นายมีแกน กรีน หัวหน้านักวิเคราะห์ของแมนูไลฟ์ แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า การลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในอิตาลีในวันอาทิตย์นี้ จะส่งผลให้เกิดวิกฤตธนาคารอีกครั้งหนึ่งในยุโรป

                ทั้งนี้ ชาวอิตาลีจะออกมาใช้สิทธิลงประชามติว่าจะเห็นชอบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ในวันอาทิตย์นี้ แต่คนส่วนใหญ่มองว่าการลงประชามตินี้ จะเป็นการลงคะแนนวัดกระแสความไว้วางใจของประชาชนต่อนายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ซึ่งได้ประกาศเดิมพันอนาคตทางการเมืองของเขา โดยยืนยันว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่ง และล้างมือทางการเมือง หากประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ

                ผลการสำรวจพบว่า ชาวอิตาลีจะลงประชามติไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลให้นายเรนซีต้องลาออกจากตำแหน่งตามที่เขาเคยสัญญาไว้ และจะทำให้เกิดการพลิกขั้วอำนาจทางการเมืองไปสู่พรรคฝ่ายค้านที่สนับสนุนการแยกตัวออกจากยูโรโซน ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพทางการเงิน และทางการเมืองในอิตาลี

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า ประเทศสมาชิกโอเปกจะไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการปรับลดกำลังการผลิต ในการประชุมอย่างเป็นทางการวันนี้ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

                รายงานล่าสุดระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับผู้เชี่ยวชาญของโอเปกได้เข้าประชุมกันที่กรุงเวียนนาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะมีการจัดทำข้อเสนอแก่รัฐมนตรีน้ำมันของประเทศสมาชิกเกี่ยวกับโควตาการผลิตเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมอย่างเป็นทางการในวันนี้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดของการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันได้

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 23.70 จุด รับข้อมูลศก.สหรัฐสดใส

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งสุดในรอบ 2 ปี และราคาบ้านที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 4% ก่อนที่การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะมีขึ้นในวันนี้

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,121.60 จุด เพิ่มขึ้น 23.70 จุด หรือ +0.12% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,379.92 จุด เพิ่มขึ้น 11.11 จุด หรือ +0.21% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,204.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.94 จุด หรือ +0.13%

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้น ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับการขยายตัวของจีดีพีประจำไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 3.2% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 2.9% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกและการใช้จ่ายผู้บริโภค

                ขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีราคาบ้านของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2006 ส่วนทางด้าน Conference Board รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 107.1 ในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 101.2

                หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพได้รับแรงซื้ออย่างคึกคัก โดยหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นอเล็กเซียน ฟาร์มาซูติคัลส์ พุ่งขึ้น 5% หุ้น AbbVie ดีดตัวขึ้น 3.6% หุ้นเอ็ทนา ปรับตัวขึ้น 2.8%

                ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพปรับตัวขึ้นหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เสนอชื่อนายทอม ไพร์ซ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข โดยนายไพร์ซมีจุดยืนที่ต่อต้านกฎหมายประกันสุขภาพ (Affordable Care Act) ซึ่งริเริ่มโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา และอาจจะได้รับมอบหมายจากคณะทำงานของนายทรัมป์ให้เป็นผู้คว่ำกฎหมายดังกล่าว

                หุ้นทิฟฟานี ผู้จำหน่ายอัญมณีชื่อดังของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่แข็งแกร่งในเอเชีย

                อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงเกือบ 4% ก่อนที่การประชุมโอเปกจะมีขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางความขัดแย้งในประเด็นการปรับลดการผลิตน้ำมัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน ต่างก็ร่วงลงกว่า 1%

                นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, การใช้จ่าย-รายได้ส่วนบุคคลเดือนต.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค. และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

    อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!