WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET29ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-ขาขึ้น เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมันดีดขึ้นแรง-ดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มชะลอแข็งค่า

   นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up คาดว่าจะได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา จากความคาดหวังว่าการประชุมโอเปกในวันที่ 30 พ.ย.นี้จะสามารถบรรลุข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตร่วมกันได้

      ส่วนบ้านเราวันนี้ให้ติดตามโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่อาจจะมีการนำเข้าพิจารณาในครม.วันนี้ และให้ติดตาม 3 มาตรการลดหย่อนภาษีว่าจะออกมาได้เมื่อไร

      อย่างไรก็ดี ขณะนี้เริ่มเห็นเม็ดเงินจากกองทุน LTF, RMF เริ่มเข้ามาในตลาดฯมากขึ้น และยังมีกองทุนใหม่ที่ได้ขายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็น่าจะได้เห็นเม็ดเงินเข้ามาในสัปดาห์นี้เหมือนกัน

    ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกราว 0.4-0.5% หลังจากที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มชะลอการแข็งค่า

     พร้อมให้แนวรับ 1,470-1,475 จุด ส่วนแนวต้าน 1,485 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,956.69 จุด เพิ่มขึ้น 88.76 จุด (+0.47%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,368.86 จุด เพิ่มขึ้น 47.35 จุด (+0.89%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,198.18 จุด เพิ่มขึ้น 16.28 จุด (+0.75%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 14.97 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.83 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 133.93 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 17.47 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 10.02 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 19.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.87 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 พ.ย.59)  1,478.30 จุด เพิ่มขึ้น 4.44 จุด (+0.30%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,654.56 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 พ.ย.59

      - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 พ.ย.59) ปิดที่ 47.49 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.80 ดอลลาร์ หรือ 3.9%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 พ.ย.59) ที่ 7.75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.45/46 แข็งค่ารับเม็ดเงินไหลเข้า หลัง GDP Q3/59 ของไทยออกมาดี

    - "พลังงาน" เผยการเปิดประมูล 2 แหล่งก๊าซธรรมชาติที่จะสิ้นอายุสัมปทานปี 65-66 แหล่งเอราวัณ-บงกช ที่กำหนดภายในมี.ค.60 อาจต้องเลื่อนออกไป แต่ยังอยู่ในกรอบดำเนินงาน หลังกฎหมายปิโตรเลียม 2 ฉบับยังไม่ชัดเจน ยันเอกชนรับได้ หากไม่เกินสิ้นปี ส่วนที่ประชุม กมธ. มีมติแก้คำนิยาม Service Contract เป็น จ้าง บริการ พร้อมส่ง ครม. พิจารณาอีกรอบ หลังเจอ "รสนา" เตือนหากโหวตผ่าน ทั้งที่ยังไม่แก้ไขให้สอดคล้องกับผลศึกษาของ สนช. ผิดทั้งจริยธรรมและเข้าข่ายผิดมาตรา 157

    - "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ติดตามภาวะเศรษฐกิจใกล้ชิด หากพบสัญญาณเศรษฐกิจชะลอ ก็จะมีมาตรการเข้าไปดูแลให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งรัฐบาลจะดูแลอย่างเต็มที่และมีมาตรการเตรียมไว้หมด

                - นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เห็นชอบให้ออกพันธบัตรออมทรัพย์ขาย ให้รายย่อยวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท เริ่มขายตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. 2559 ถึงวันที่ 9 เม.ย. 2560 ซึ่งเป็นช่วงที่มีพันธบัตร ออมทรัพย์ครบอายุจำนวนหลายหมื่นล้านบาท จะได้ให้ประชาชนลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ได้ต่อ

     - "สันติ กีระนันทน์" รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET ส่งผลการดำเนินงาน งวดไตรมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 208,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252% จากช่วงเดียวกันปีก่อนจากต้นทุนลดลงตามราคาน้ำมัน ไม่ขาดทุนค่าเงินและขาดทุนจากสินทรัพย์ด้อยค่า

     - นายธีรัชย์ อัตนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 ก.ย. 2559 อยู่ที่ 5.98 ล้านล้านบาท คิดเป็น 42.73% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีหนี้สาธารณะ อยู่ที่ 42.64% ของจีดีพี แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ 4.47 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.87 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการ กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2,230 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของตั๋วเงินคลัง 2.04 หมื่นล้านบาท การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อบริหารหนี้ เพื่อใช้ในการปรับโครงสร้างตั๋วเงินคลัง 2.74 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

      - สศช.คาดจีดีพีปีหน้าขยายตัว 3.5% จาก ส่งออกกลับมาโตได้ 2.4% พลิกบวกในรอบ  3 ปี หลังประเมินเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ขณะลงทุนภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจหนุน หลังมีเม็ดเงินกว่าล้านล้านบาทจ่อรอลงทุน ด้าน"สมคิด"พอใจตัวเลขเศรษฐกิจ พร้อมออกมาตรการเพิ่ม หากสัญญาณชะลอ ขณะธปท.ชี้เป็นไปตามประมาณการ จับตานโยบายสหรัฐ-ผลกระทบ ทัวร์ศูนย์เหรียญ

     - ผุ้บริหารกลุ่มแม่ทองสุก มองแนวโน้มทองปีนี้อาจได้เห็นหลุด 2 หมื่นบาท หลังสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ลุ้นออกมาตรการคิวอีผ่อนคลายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันบาทอ่อนช่วยพยุงราคาทองไม่ตกมาก

*หุ้นเด่นวันนี้

     - SC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 3.80 บาท กำไรสุทธิ 3Q59 ตามคาดที่ 346 ล้านบาท ลดลง 61%QoQ และ 16%YoY จากรายได้การขายอสังหาฯที่หดตัว โดยเฉพาะโครงการแนวสูงหลังบริษัทไม่มีการเปิดโอนใหม่ ทำให้ GPM อ่อนตัวที่ 35.7% จากสัดส่วนการโอนโครงการแนวราบที่สูงขึ้น พร้อมคาดผลประกอบการ 4Q59 ทรงตัว QoQ แต่ลดลง YoY โดยคาด SC ต้องอาศัยรายได้จากการขายโครงการแนวราบเป็นหลัก หลังไม่มีโครงการแนวสูงใหม่เปิดโอน เช่นเดียวกับในปี 60 ที่มี Backlog ในมือที่ต่ำ หรือมีเพียงแผนส่งมอบโครงการใหม่ในปีหน้าเพียง 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์ Chamber และคาด Dividend Yield ที่ 5.5%

     - ADVANC (เคจีไอ) "ซื้อ"เป้า 179 บาท เป็นผู้นำในตลาดมือถือของไทย ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้บริการ และรายได้จากค่าบริการ ซึ่งค่อนข้างมีเสถียรภาพและจะช่วยหนุนการเติบโตในอนาคต และมีกำไรโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในปี 2559-2561 ด้านราคาเป้าหมายของเรายังมี upside จากราคาตลาดอยู่อีกถึง 25% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจอยู่ที่ 7.0% ในปี 2559 และ 5.4% ในปี 2560

     - HMPRO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 11.60 บาท บริษัทอยู่ในช่วงการจัดงาน HomePro Expo ครั้งที่ 2 ของปีนี้ 18-27 พ.ย. แม้บรรยากาศการซื้อขายอาจไม่สดใสนัก แต่ด้วยผลของ High season และการจัดงานดังกล่าว รวมถึงเปิดสาขาใหม่ โดยคาดน่าจะได้เห็นการเติบโตของกำไรต่อเนื่องใน 4Q59 กำไรในงวด 9M59 ที่โต 19% Y-Y จึงคาดทั้งปีโตได้ 13% Y-Y และปีหน้าโตต่อเนื่อง 15% Y-Y ราคาหุ้นมี upside เกือบ 20%

    - CPN (โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาดรายได้ปี 59 ที่ 2.77 หมื่นลบ. (+14%) และกำไรสุทธิ +16% เป็น 9.2 พันลบ. จากการขยายสาขาต่อเนื่องช่วยหนุนรายได้เติบโต พร้อมคาดกำไรปี 60 เป็น 1.04 หมื่นลบ.(+14%YoY) จากการเปิดสาขาใหม่ 3 แห่งที่นครราชสีมา ภูเก็ตเฟส 2 และมหาชัย โดยจะรับรู้รายได้โครงการคอนโดฯใกล้ศูนย์การค้าสาขาเชียงใหม่ ระยอง และขอนแก่นในปี 61 พร้อมคาดแปลง CPNRF เป็นกอง REIT เสร็จราว 2Q59

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับราคาน้ำมันดิบพุ่ง

   ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกือบ 4% ส่วนตลาดหุ้นโตเกียวเปิดปรับตัวลง เนื่องจากความตื่นตระหนกจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 7.3 แมกนิจูดทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเช้าวันนี้

    ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,091.05 จุด ลดลง 14.97 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,220.98 จุด เพิ่มขึ้น 2.83 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,491.71 จุด เพิ่มขึ้น 133.93 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,058.58 จุด เพิ่มขึ้น 17.47 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,976.07 จุด เพิ่มขึ้น 10.02 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,835.91 จุด เพิ่มขึ้น 19.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,628.15 จุด เพิ่มขึ้น 0.87 จุด

    ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 4% ภายหลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวนอกรอบการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ครั้งที่ 24 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า รัสเซียพร้อมที่จะตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงซื้อหุ้นเหมืองแร่ หนุนฟุตซี่ปิดบวก 2.19 จุด

   ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 พ.ย.) โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินสกุลปอนด์

     ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 2.19 จุด หรือ 0.03% แตะที่ 6,777.96 จุด

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่หนุนตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์ส พุ่งขึ้น 7.3% ในขณะที่หุ้นเฟรสนิลโลเพิ่มขึ้น 3.2% และหุ้นอันโตฟากัสตา เพิ่มขึ้น 2.3% หุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 3% และหุ้นเหลนคอร์เพิ่มขึ้น 2.4%

     หุ้นไดเร็ค ไลน์ อินชัวรันซ์ กรุ๊ป ลดลง 2.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์สปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัทลง

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก หลังราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นเกือบ 4% ขานรับความหวังที่ว่า รัสเซียจะให้ความร่วมมือในการตรึงกำลังการผลิต

    ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.3% ปิดที่ 340.23 จุด

     ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,685.13 จุด เพิ่มขึ้น 20.57 จุด หรือ +0.19% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,529.58 จุด เพิ่มขึ้น 25.23 จุด หรือ +0.56% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,777.96 จุด เพิ่มขึ้น 2.19 จุด หรือ +0.03%

    หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นเกือบ 4% เมื่อคืนนี้ ภายหลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียพร้อมที่จะตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน

    ทั้งนี้ หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นบีพี ปรับตัวขึ้น 1.9%

    หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอส พุ่งขึ้น 3.7% หุ้นเฟรสนิลโล ทะยานขึ้น 3.2%

     อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลียังคงร่วงลง เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นก่อนการลงประชามติในวันที่ 4 ธ.ค.เกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจส่งผลให้นายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี หลุดจากตำแหน่ง ขณะที่นักลงทุนวิตกว่าการลาออกของนายเรนซีจะยิ่งสร้างความยากลำบากในการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคาร

     ทั้งนี้ หุ้นบังคา เดอ มิลาโน ร่วงลง 3.9% หุ้นบังโค ป๊อปปูเลร์ ดิ่งลง 3.7% และหุ้นบังโค ป๊อปปูเลร์ เดล เอมิเลีย โรแมกนา ขยับลง 0.4%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 88.76 จุด รับราคาน้ำมันพุ่ง,ดอลล์อ่อน

   ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 พ.ย.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีได้ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังจากรัสเซียประกาศความพร้อมที่จะร่วมมือในการตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออก

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,956.69 จุด เพิ่มขึ้น 88.76 จุด หรือ +0.47% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,368.86 จุด เพิ่มขึ้น 47.35 จุด หรือ +0.89% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,198.18 จุด เพิ่มขึ้น 16.28 จุด หรือ +0.75%

     ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อคืนนี้ โดยดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ NASDAQ ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 4% ภายหลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวนอกรอบการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ครั้งที่ 24 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า รัสเซียพร้อมที่จะตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน

     นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออกสหรัฐ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดอลลาร์ดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 101 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2003 ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.

     หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นขานรับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยหุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 5.5% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 1.4% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 6% และหุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 6.2%

     หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 4.1% หุ้น PayPal ดีดตัวขึ้น 1.4% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.5% หุ้น Amazon.com ปรับขึ้น 2.6%

     อย่างไรก็ตาม หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเนื้อรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ  ร่วงลง 14.5% หลังจากบริษัทรายงานกำไรรายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาด และคาดการณ์กำไรในปีหน้าที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

      ทั้งนี้ ไทสัน ฟู้ดส์รายงานว่า ยอดขายในช่วงไตรมาส 4 ของปีงบการเงินของบริษัทที่สิ้นสุดวันที่ 1 ต.ค.ดิ่งลง 12.8% สู่ระดับ 9.16 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับคาดการณ์ว่า บริษัทจะมีกำไร 4.70-4.85 ดอลลาร์/หุ้นในปีงบการเงินที่สิ้นสุดเดือนก.ย.2017 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.98 ดอลลาร์/หุ้น

     นักลงทุนจับตาประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งรวมถึงนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดที่ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเผชิญกับความเสี่ยง หากเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป

     นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ย. จาก Markit, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!