- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 21 November 2016 11:03
- Hits: 4668
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับตัวลงแนวเดียวภูมิภาคเหตุดอลลาร์แข็งค่า-จับตา GDP ไทย
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงบ้าง เนื่องจากโมเมนตัมกรณีเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังคงแข็งค่าและทำ New High แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลงก็จะทำให้คนกล้าเข้าลงทุนมากขึ้น อีกทั้งเก็งว่าธนาคารกลางหลายประเทศอาจเข้าแทรกแซงค่าเงินหากได้รับผลกระทบจากดอลลาร์แข็งค่ามากเกินไป ดังนั้น ภาพสัปดาห์นี้ก็มองว่าคงเป็นลักษณะของการปรับตัวลงสลับรีบาวด์
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเด่นก็ยังคงเป็นกลุ่ม Commodity โดยเฉพาะน้ำมัน เพราะในวันที่ 30 พ.ย.นี้ก็จะมีการประชุมของกลุ่มโอเปก คงต้องดูว่าจะหารือเรื่องใดบ้าง ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างก็ติดลบกันเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ยืนในแดนบวกได้
ส่วนบ้านเราให้ติดตามตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยไตรมาส 3/59 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์จะประกาศเช้านี้ หากออกมาดีก็จะช่วยหนุนตลาด อีกทั้งมองว่าแรงซื้อจากกองทุน LTF และ RMF น่าจะช่วยประคองตลาดฯได้บ้าง แม้ต่างชาติจะยังคงขายอยู่
พร้อมให้แนวรับ 1,455 จุด ส่วนแนวต้าน 1,488 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,867.93 จุด ลดลง 35.89 จุด (-0.19%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,321.51 จุด ลดลง 12.46 จุด (-0.23%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,181.90 จุด ลดลง 5.22 จุด (-0.24%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 70.68 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.36 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 31.17 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 0.99 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.75 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.38 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 พ.ย.59) 1,473.86 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด (+0.00%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 739.73 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 พ.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 พ.ย.59) ปิดที่ 45.669 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 พ.ย.59) ที่ 7.68 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.55 แนวโน้มอ่อนค่า จากแรงกดดันดอลล์แข็ง
- คลังจะเสนอมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงค์ รมว.คลัง พิจารณา 3 มาตรการ คือ มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/ปี เพิ่มเติมจากปกติที่ลดหย่อนได้ 1.5 หมื่นบาทอยู่แล้ว ทำให้ทั้งปีขอลดหย่อนได้ 3 หมื่นบาท มาตรการที่ 2 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการช่วงปลายปีไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท และ มาตรการสุดท้าย คือ ยกเว้นภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าประเภทเครื่องสำอางและน้ำหอม (ช็อปปิ้ง พาราไดซ์) เพื่อช่วยอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลง โดยจะมีภาษี 2 ส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต หากเป็นสินค้านำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเหลือ 0% แต่หากเป็นการผลิตภายในประเทศจะได้รับการยกเว้นภาษีในอัตราเดียวกัน
- สมาคมโรงแรมไทยและสมาคมธุรกิจไทย-จีน จะหารือร่วมกันเพื่อทำหนังสือชี้แจงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายในสัปดาห์หน้าถึง ผลกระทบจากนโยบายการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ เนื่องจากส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยเป็นลูกโซ่ไปยังธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ และอื่นๆ อีกจำนวนมาก
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีเผยความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME ไตรมาส 3 ทรงตัว SME ยังห่วงภาวะเศรษฐกิจในประเทศ แต่ความเชื่อมั่นในอนาคตดีขึ้น จับตาปัจจัยปีหน้า หวังตลาด e-commerce หนุน SME ขยายตัว
- แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รมว.คลัง สั่งเร่งรัดหน่วยงานกระทรวงเสนอกฎหมายสำคัญที่ยังค้างอยู่ให้ทันรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายเพื่อปรับโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่จะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใน 2 เรื่องสำคัญ คือ การยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
- กฟผ.โอดรัฐบาลหั่นงบลงทุนปี 60 เหลือ 50,000 ล้านบาท หลังเผยผุดโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพาไม่คืบ พร้อมเดินหน้าพัฒนาระบบสายส่ง ฟุ้งไตรมาสแรกปีหน้าสามารถเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
*หุ้นเด่นวันนี้
- SQ (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 4.90 บาท กำไร 9 เดือนแรกปี 59 เด่นสูงกว่ากำไรทั้งปีของปีก่อน คาดได้แรงหนุนรับรู้โครงการใหม่ดันกำไรทั้งปีเติบโตก้าวกระโดด พร้อมมองแนวโน้มรายได้ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจากการรับรู้รายได้ที่สูงขึ้นของโครงการใหม่ มี upside จากงานโรงไฟฟ้าในลาว เหมืองอื่น นอกจากนี้ มองน่าสนใจจากกระแสเงินสดที่มั่นคง กำไรเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดต่อเนื่อง
- COM7 (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้าสูงสุด Consensus 15 บาท ภาครัฐฯเตรียมนโยบายช้อบช่วยชาติปลายปีนี้ โดยเฉพาะการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการช่วงปลายปีไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท คาดเป็นบวกต่อยอดขายสินค้าใน Q4/59 ที่ปกติเป็น High season อยู่แล้ว นอกจากนี้ คาดแนวโน้มผลงาน Q4/59 ทำนิวไฮต่อเนื่องจาก iPhone7 และรับผลบวกจากการเป็นพันธมิตร TRUE เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกไตรมาส อีกทั้งการเข้าซื้อหุ้นบานานาชัวร์เพิ่มเป็น 100% พร้อมคาด Consensus มีโอกาสปรับประมาณการฯและเป้าหมายขึ้น
- ROBINS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"ราคาหุ้นมี Valuation น่าสนใจสุดในกลุ่ม Modern trade และมี upside มากที่สุดเมื่อเทียบกับราคาพื้นฐานที่ 76 บาท ด้วย PE ปี 60 เพียง 20 เท่า ขณะที่กลุ่มอยู่ที่ 25-30 เท่า แนวโน้มยอดขายต่อสาขาเดิมในช่วง ต.ค.-พ.ย.ยังน่าเป็นบวกได้ 0.5-1% Y-Y และจะเปิด 1 สาขาในไตรมาสนี้และอีก 3 สาขาปีหน้า จึงยังคาดกำไรปีนี้ +26% Y-Y ปีหน้า +15% Y-Y
- TU (ยูโอบี เคย์เฮียน) กำไรปี 60 เติบโต 16.6% สูงสุดในกลุ่มอาหารได้ปรับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน และการเติบโตมีโอกาสดีกว่าคาดจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในอนาคต ดีลล่าสุด Red Lobster ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดบริษัทสามารถพลิกให้ธุรกิจกลับมากำไรได้ในปี 60
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลังจนท.เฟดหนุนขึ้นดอกเบี้ยเดือนหน้า
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า
ดัชนี MSCI Asia Pacific ไม่รวมญี่ปุ่น ปรับตัวลง 0.1% เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,038.09 จุด เพิ่มขึ้น 70.68 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,188.50 จุด ลดลง 4.36 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,313.04 จุด ลดลง 31.17 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,009.78 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,971.03 จุด ลดลง 3.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,836.90 จุด ลดลง 1.75 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,621.42 จุด ลดลง 2.38 จุด
ทั้งนี้ นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า เฟดควรรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มากกว่าที่จะปล่อยเวลาให้ล่าช้าออกไป ขณะที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เขาสนับสนุนการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงขายหุ้นเหมืองแร่ ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 18.94 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ จากความวิตกกังวลที่ว่า การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเหมืองแร่ที่ต้องพึ่งพาการส่งออก
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,775.77 จุด ลดลง 18.94 จุด หรือ -0.28%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 2.9% หุ้นแรนโกลด์ รีซอส ร่วงลง 4.9% และหุ้นเฟรสนิลโล ดิ่งลง 6.9%
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงนั้น มาจากความวิตกกังวลที่ว่าการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเหมืองแร่ที่ต้องพึ่งพาการส่งออก โดยดัชนีดอลลาร์ดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 101 เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2003 เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในตะกร้าเงิน หลังจากมีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
นอกเหนือจากการแข็งค่าของดอลลาร์แล้ว หุ้นริโอ ทินโต ยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า ทางบริษัทได้ประกาศไล่ออกผู้บริหารระดับสูง 2 ราย ได้แก่นายอลัน เดวีส์ ประธานบริหารฝ่ายพลังงานและแร่ธาตุ และนางเดบรา วาเลนไทน์ ผู้บริหารฝ่ายกฎหมายและการกำกับดูแล เนื่องจากพบว่ามีส่วนในเหตุอื้อฉาวจ่ายเงินใต้โต๊ะที่แอฟริกาตะวันตก
ริโอ ทินโต เปิดเผยว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีการติดต่อทางธุรกิจกับที่ปรึกษารายหนึ่ง ซึ่งให้ความช่วยเหลือกับริโอ ทินโต ในการดำเนินงานที่แหล่งสินแร่เหล็กขนาดใหญ่ในแถบ Simandou ของประเทศกินี ซึ่งตั้งอยู่ในแอฟริกาตะวันตก
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปรับตัวลง 0.5% หุ้นบีพี ปรับตัวลง 0.1%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุเงินดอลล์แข็งฉุดหุ้นเหมืองร่วงหนัก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 พ.ย.) โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเหมืองแร่ที่ต้องพึ่งพาการส่งออก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลี
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 339.39 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,504.35 จุด ลดลง 23.42 จุด หรือ -0.52% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,664.56 จุด ลดลง 20.98 จุด หรือ -0.20% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,775.77 จุด ลดลง 18.94 จุด หรือ -0.28%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 1.2% หุ้นเทนาริส ดิ่งลง 1.8% หุ้นแรนโกลด์ รีซอส ร่วงลง 4.9% และหุ้นเฟรสนิลโล ดิ่งลง 6.9%
ปัจจัยที่ทำให้หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงนั้น มาจากความวิตกกังวลที่ว่าการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเหมืองแร่ที่ต้องพึ่งพาการส่งออก โดยดัชนีดอลลาร์ดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 101 เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2003 เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในตะกร้าเงิน หลังจากมีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
หุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลีร่วงลง โดยหุ้นบังคา ป๊อปปูเลร์ เดอ มิลาโน ร่วงลง 5.2% หุ้นบังโค ป๊อปปูเลร์ โซเซียตา ดิ่งลง 5.1% และหุ้นยูนิเครดิต ปรับตัวลง 0.9%
สาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารอิตาลีร่วงลงนั้น มาจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นก่อนการลงประชามติในวันที่ 4 ธ.ค.เกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจส่งผลให้นายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี หลุดจากตำแหน่ง ขณะที่นักลงทุนวิตกว่าการลาออกของนายเรนซีจะยิ่งสร้างความยากลำบากในการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคาร
ทั้งนี้ ผลการสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่า ชาวอิตาลีจะลงประชามติคัดค้านแผนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะส่งผลให้นายเรนซีต้องลาออกจากตำแหน่งตามคำสัญญาก่อนหน้านี้
หุ้นโฟล์คสวาเกน ปรับตัวลง 0.3% หลังจากประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยหวังว่าจะช่วยให้บริษัทฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤตการณ์โกงการรายงานผลตรวจสอบไอเสียของรถยนต์ดีเซล ซึ่งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าปรับแก่รัฐบาล และจ่ายเงินชดเชยแก่ลูกค้าจำนวนมาก
โฟล์คสวาเกนระบุว่า บริษัทจะปลดพนักงานจำนวน 23,000 คนในเยอรมนี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประหยัดรายจ่าย 3.7 พันล้านยูโร (4 พันล้านดอลลาร์) ต่อปีจนถึงปี 2020 นอกจากนี้ บริษัทจะมีการปลดพนักงานในอเมริกาเหนือ บราซิล และอาร์เจนตินา
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 35.89 จุด นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นเวชภัณฑ์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (18 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวทะยานขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความหวังที่ว่า นโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์อาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นรายได้หลัก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,867.93 จุด ลดลง 35.89 จุด หรือ -0.19% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,321.51 จุด ลดลง 12.46 จุด หรือ -0.23% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,181.90 จุด ลดลง 5.22 จุด หรือ -0.24%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.1% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.8% และดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 1.6%
นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค บริษัทผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลงกว่า 2% หุ้นอัลเลอร์แกน ผู้ผลิตโบท็อกซ์ ดิ่งลง 4.1% หุ้นแอมเจน ปรับตัวลง 1.4% หุ้นจีเลียด ซายส์ ผู้ผลิตยารักษาไวรัสตับอักเสบ C
ก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขานรับความคาดหวังที่ว่าคณะทำงานของทรัมป์จะผ่อนคลายกฎข้อบังคับด้านการกำหนดราคายา ซึ่งตรงข้ามกับฮิลลารี คลินตันที่พยายามเดินหน้าควบคุมราคายามาโดยตลอด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์อาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นรายได้หลัก โดยดัชนีดอลลาร์ดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 101 เมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2003 เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในตะกร้าเงิน เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กฟื้นตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะสามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ทั้งนี้ หุ้นเชฟรอน ปรับตัวขึ้น 1% และหุ้นโคโนโคฟิลิป พุ่งขึ้น 2.6%
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ และนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ต่างก็ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. พร้อมกับเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญความเสี่ยงหากเฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป เนื่องจากจะทำให้เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วยิ่งขึ้นในอนาคต
ส่วนในการประชุมเมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ มีมติด้วยคะแนนเสียง 8-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ขณะเดียวกัน FOMC ส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. โดยระบุว่าเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อกำลังดีดตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด
อินโฟเควสท์