WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET27ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ อิงขาลง เจอปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันร่วง-กังวลเงินทุนไหลออก

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway down เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่อยู่ในแดนบวกได้ เนื่องจากตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นออกมาดีกว่าคาดมาก

      ทั้งนี้ ตลาดฯได้รับปัจจัยกดดันจากราคามันที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง หลังจากที่โอเปกรายงานการผลิตน้ำมันงวดเดือนต.ค.มาอยู่ที่ 33.64 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้ความคาดหวังที่จะเห็นการลดกำลังการผลิตดูเหมือนจะยังไม่เห็น ซึ่งทางกลุ่มโอเปกจะมีการประชุมหารือในวันที่ 30 พ.ย.นี้

    นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องเงินทุนไหลออกด้วย จากที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าสูงสุดในรอบ 9 เดือน และ Bond yield ก็ปรับตัวขึ้นต่อ ซึ่งทำให้มีผลต่อเงินทุนไหลออกใน Emerging Market ส่วนที่ Bond yield ปรับตัวขึ้นมาจากการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะไปกดดันเงินเฟ้อ

พร้อมให้แนวรับ 1,485 ถัดไปก็ 1,478-1,480 จุด ส่วนแนวต้าน 1,510 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,847.66 จุด เพิ่มขึ้น 39.78 จุด(+0.21%),  ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,237.11 จุด เพิ่มขึ้น 28.31 จุด (+0.54%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,164.45 จุด ลดลง3.03 จุด (-0.14%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 92.70 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 8.33 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 186.86 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 2.49 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 1.50 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.26 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 5.76 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 35.78 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 พ.ย.59) 1,494.53 จุด ลดลง 19.73 จุด (-1.30%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,764.09 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 พ.ย.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 พ.ย.59) ปิดที่ 43.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.25 ดอลลาร์ หรือ 2.8%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 พ.ย.59) ที่ 7.93 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.43/45 ทิศทางยังอ่อนค่าต่อเนื่อง มองกรอบ 35.40-35.50

      - อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระ 2 ของกรรมาธิการจะประชุมอีก 2-3 ครั้ง ก็จะส่ง สนช.พิจารณาเห็นชอบวาระที่ 3 ซึ่งประเด็นที่ผู้ประกอบการกังวลต้องส่งโครงสร้าง

       ราคาขายปลีกให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบเนื่องจากเป็นความลับทางการค้า ก็จะให้ส่งโครงสร้างราคาขายปลีกกว้างๆ เช่น ต้นทุนจากการผลิตเท่าไร จากรายการอื่นๆ เท่าไร ไม่ต้องลงรายละเอียดว่าต้นทุนจากการผลิตมาจากวัตถุดิบแต่ละอย่างเท่าไร

     - รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เผยมีแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในภาคธุรกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2560 โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากขณะนี้เริ่มขาดสภาพคล่อง เพราะยอดขายทั้งการส่งออกที่ปี 2559 ภาพรวมติดลบหรืออาจโต 0% ประกอบกับกำลังซื้อภายในประเทศทิศทางยังคงไม่ขยายตัวจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยจากราคาข้าวที่ตกต่ำซึ่งจะกระทบเป็นห่วงโซ่ต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตอื่นๆ

        - ธปท.เผยธุรกิจบัตรเครดิตมียอดคงค้างเอ็นพีแอลแตะ 1.19 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.71 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแบงก์พาณิชย์ ส่วนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลยอดคงค้างในระบบ 1.15 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.20 พันล้านบาท หนี้เสียลดทุกผู้ประกอบการ ส่วนยอดปล่อยสินเชื่อนาโนเพิ่มขึ้น 1,495% แต่เอ็นพีแอลเริ่มขยับไตรมาส 1-3 ปีนี้ตั้งแต่เปิดให้บริการ 15 เดือน

      - ตลท.เผยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นต่อเนื่องตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา เพราะปรับพอร์ตระยะสั้น เชื่อตลาดทุนไทยเป็นตลาดเกิดใหม่ ดึงนักลงทุนสนเหตุต้นทุนต่ำ สวนทางการสร้างรายได้อัตราสูง พร้อมเดินหน้าประสานความร่วมมือระหว่างตลาดทุนในกลุ่ม CLMV อย่างต่อเนื่อง หวัง Dual Listing จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับหลักทรัพย์ ยันไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางการระดมทุนในกลุ่มอาเซียน

     - คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เผยกรณีปัญหาดาวเทียมไทยคม 7 ของบมจ.ไทยคม ที่มีข้อถกเถียงกันว่านอกจากจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมในอัตราปีละ 5.75% ของรายได้แล้ว ควรจ่ายค่าสัมปทานให้รัฐในฐานะคู่สัญญาสัมปทานด้วยนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่จะต้องเจรจากับไทยคม เนื่องจากเป็นคู่สัญญาสัมปทาน และเมื่อสัญญายังไม่สิ้นสุด ทางไทยคมต้องปฏิบัติตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งต้องจ่ายค่าสัมปทาน ส่วนจะจ่ายในอัตราเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงดีอี

*หุ้นเด่นวันนี้

      - FN (บมจ. เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดหมวดพาณิชย์ โดยราคาเสนอขาย IPO อยู่ที่ 3.88 บาท/หุ้นบมจ. เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท ดำเนินธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าประเภท เอ๊าท์เลท ภายใต้ชื่อ "เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท"ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ประเภทเสื้อผ้า เครื่องนอน เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ภายในบ้านภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ และตราสินค้าอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น International Brand รวมไปถึงสินค้าบริโภคของโครงการหลวง และสินค้าเกษตร OTOP ที่วางจำหน่ายอยู่ในร้าน "ต้นกล้า"

      - QH (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 3.10 บาท กำไรสุทธิ Q3/59 ตามคาดที่ 768 ล้านบาท หดตัว 14%QoQ  แต่เพิ่ม       ขึ้น 35%YoY จากรายได้การขายอสังหาฯ สูงขึ้นกว่า 5%YoY และความสามารถในการบริการต้นทุนและค่าใช่จ่ายที่ดีขึ้น ทั้งนี้ QHปรับลดเป้ายอดขายลง 20% จากการขายโครงการ Q สุขุมวิทช้ากว่าคาด และลดการเปิดตัวโครงการใหม่ตั้งแต่ต้นปีแล้วราว 4 แห่ง ทั้งนี้ 10M59 มียอดขายสะสม 74%ของเป้าใหม่ มองยังเสี่ยงที่จะพลาดเป้ายอดขายทั้งปี  โดยจากการคาดการณ์ผลประกอบการปี 60 ที่จะกลับมาเติบโตได้ 8%YoY เทียบกับกำไรที่ทรงตัวในปี 59 และคาด Dividend Yield 6%

     - TU (ยูโอบี เคย์เฮียน) กำไรปี 2560 เติบโต 16.6% สูงสุดในกลุ่มอาหาร ได้ปรับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน และการเติบโตมีโอกาสดีกว่าคาดจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในอนาคต สำหรับดีลล่าสุด Red Lobster ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดบริษัทสามารถพลิกให้ธุรกิจกลับมากำไรได้ในปี 2560

     - TMT (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 15.60 บาท กำไรสุทธิ Q3/59 ทำได้ดีใกล้เคียงคาดที่ 144 ล้านบาท แม้จะลดลง 49% QoQ เนื่องจากกำไรงวด Q2/59 สูงเป็นพิเศษ จากราคาเหล็กที่ปรับขึ้นมาก แต่คาดกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นถึง 71% YoY แนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/59 ดีกว่าคาดจากอานิสงส์ของประกาศ AD ท่อเหล็ก ปรับคาดการณ์กำไรปี 59 ขึ้นจากเดิม 9% เป็น 857 ล้านบาท เพิ่มขึ้นโดดเด่น 167% YoY พร้อมปรับคาดการณ์เงินปันผลงวดปี 59 เป็น 1.45 บาท จากเดิม 1.40 บาท

    - SYNTEC (โกลเบล็ก) เป้า 5.10 บาท คาดกำไร 3Q59 อยู่ที่ราว 257 ล้านบาท +11YoY และ+32%QoQ ได้รับแรงหนุนรายได้ก่อสร้างคาดโต 6%QoQ และอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวสูงที่ 17 % และมีการโอนกลับหนี้สงสัยจะสูญอีกราว 30-40 ล้านบาท ส่วนรายได้ก่อสร้างคาดอยู่ที่ 1.86 พันล้านบาท โต 6%QoQ และรายได้บริการห้องพักคาดโต 50%QoQ สู่ระดับ 120 ล้านบาทจากรับรู้ The 8 Thonglor พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกำไรเพิ่ม 33% สู่ 846 ล้านบาทจากการพัฒนาของอัตรากำไรขั้นต้นจากฐานเดิม 12-13% สู่ระดับ 17-18% (ยังไม่รวมมีสินทรัพย์แฝงมูลค่าราว 600 ลบ.หรือคิดเป็น 0.5 บาทต่อหุ้น

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ จากคาดการณ์เฟดขึ้นดอกเบี้ยปีนี้

       ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟด แสดงความคิดเห็นหนุนการขึ้นดอกเบี้ย

      ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 17,467.49 จุด เพิ่มขึ้น 92.70 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,187.71 จุด ลดลง 8.33 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,344.23 จุด ลดลง 186.86 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,955.27 จุด ลดลง 2.49 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,982.93 จุด ลดลง 1.50 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,807.34 จุด ลดลง 7.26 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,628.43 จุด ลดลง 5.76 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,939.31 จุด ลดลง 35.78 จุด

     ทั้งนี้ นายฟิสเชอร์คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ใกล้บรรลุภารกิจ 2 ประการของเฟด ได้แก่ การผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% รวมทั้งการจ้างงานในระดับสูงสุด

      นายฟิสเชอร์ยังกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐต่อประเทศต่างๆจะสามารถจัดการได้ ขณะที่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจต่างประเทศ

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ปอนด์แข็งกดฟุตซี่ปิดร่วง 97.55 จุด

    ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (11 พ.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินสกุลปอนด์

     ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 97.55 จุด หรือ 1.43% ที่ระดับ 6,730.43 จุด

    ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงหลังจากค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ หลังจากรายงานระบุว่า ผลผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 240,000 บาร์เรล แตะที่ 33.64 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนต.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.

      หุ้นบีพีลดลง 3% ในขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลดลง 4.6% โดยหุ้นกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนประมาณ 15% ในการคำนวณดัชนี FTSE 100

                หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลดลง หลังจากที่พุ่งแรงในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายที่เกื้อหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ลดลง 2.8% หุ้นริโอ ทินโต ลดลง 2.5% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ลดลง 6.7% และหุ้นเฟรสนิลโลลดลง 9%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ หลังกระแส “ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งซา

    ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (11 พ.ย.) หลังจากกระแสการตอบรับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันเริ่มซาลง

     ดัชนี Stoxx 600 ลดลง 0.4% ปิดที่ 337.50 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่ 4,489.27 จุด ลดลง 41.68 จุด หรือ -0.92% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันทำการล่าสุดที่ 10,667.95 จุด เพิ่มขึ้น 37.83 จุด หรือ +0.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 6,730.43 จุด ลดลง 97.55 จุด หรือ -1.43%

      นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่พุ่งแรงในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากที่นายทรัมป์คว้าชัยนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเหนือนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าเป็นการปรับตัวขึ้นที่สูงเกินไป

     นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ยา ซึ่งพุ่งแรงในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากนโยบายของนายทรัมป์ก็ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน

      หุ้น PostNL NV ร่วงลง 5.1% ที่ตลาดหุ้นเนเธอร์แลนด์ หลังจากบริษัทปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการในวงเงิน 2.5 พันล้านยูโรจากบริษัท Bpost SA โดยระบุว่า มูลค่าเสนอซื้อต่ำเกินไป

     หุ้นอัลไลแอนซ์ เอสอี เพิ่มขึ้น 1.4% หลังจากรายงานว่าบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 เพราะได้รับแรงหนุนจากธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 39.78 จุด ขณะตลาดวิตกเฟดขึ้นดบ.

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (11 พ.ย.) ในขณะที่ตลาดซึมซับการแสดงความเห็นของนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เหตุผลสนับสนุนให้เฟดยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินได้มีน้ำหนักมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ระดับต่ำกว่าปกติ

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 39.78 จุด หรือ 0.21% ปิดที่ 18,847.66 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.03 จุด หรือ 0.14% ปิดที่  2,164.45 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 28.31 จุด หรือ 0.54% ปิดที่ 5,237.11 จุด

                ทั้งนี้ นายฟิสเชอร์คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ใกล้บรรลุภารกิจ 2 ประการของเฟด ได้แก่ การผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% รวมทั้งการจ้างงานในระดับสูงสุด

       นายฟิสเชอร์ ยังกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐต่อประเทศต่างๆจะสามารถจัดการได้ ขณะที่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจต่างประเทศ

      ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อการซื้อขายของตลาดนั้น ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นในเดือนพ.ย. แตะระดับ 91.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 89.5 รวมทั้งสูงกว่าระดับ 87.2 ในเดือนต.ค.

       ผู้บริโภคเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งในระยะใกล้ และระยะไกล สู่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.4% ในเดือนที่แล้ว

       ดัชนีดังกล่าวเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ฐานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล

       นักวิเคราะห์กล่าว ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายการปรับลดภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งโดยปกติจะกระตุ้นเศรษฐกิจ และการครองเสียงในรัฐสภาสหรัฐแบบเบ็ดเสร็จของพรรครีพับลิกัน

     หุ้นวอลท์ ดีสนีย์ พุ่งขึ้น 3% หลังจากคาดว่า บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในปีหน้าและหลังจากนั้น ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในไตรมาสที่ 4

      หุ้นเอ็นวิเดีย คอร์ป ผู้ผลิตชิปกราฟิกคอมพิวเตอร์สำหรับการเล่นเกมใหญ่ที่สุดในโลกพุ่งขึ้น 30% หลังจากคาดว่าบริษัทจะมียอดขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในตลาดคอมพิวเตอร์ รวมทั้งในตลาดใหม่ๆ เช่น ศูนย์ข้อมูล

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!