WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET13 copyดัชนี SET ภาคเช้าพุ่งกว่า 10 จุดตามตลาดภูมิภาคหลังฮิลลารีพ้นบ่วงคดี

   ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าพุ่งกว่า 10 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ดีดตัวตอบรับแนวโน้มการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐน่าจะชัดเจนขึ้น หลังจากนางฮิลลารี คลินตัน ตัวเก็งเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐพ้นข้อกล่าวหาทางอาญากรณีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลล์ส่วนตัวขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ

    เมื่อเวลา 9.56 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,497.03 จุด เพิ่มขึ้น 11.33 จุด (+0.76%)

     ล่าสุด เมื่อเวลา 10.09 น.ดัชนี SET อยู่ที่ 1,497.17จุด เพิ่มขึ้น 11.47  จุด  (+0.77%)

     นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่ มองว่าตลาดรีบาวด์จากเรื่องที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ยืนยันว่า นางฮิลลารี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตไม่มีความผิดทางคดีอาญา ทำให้เห็นถึงโอกาสชนะเลือกตั้งมีมากขึ้น อย่างไรก็ดี คงต้องรอผลการเลือกตั้งออกมาก่อนในวันที่ 8 พ.ย.นี้

     ทั้งนี้ เช้านี้จะเห็นได้ว่าหุ้นขนาดใหญ่เริ่มเห็นการกลับตัวฟื้นขึ้น ซึ่งทำให้ดัชนีฯมีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบระดับ 1,500 จุด และคาดว่าวันนี้กองทุนน่าจะเข้ามาซื้อสุทธิ อีกทั้งในช่วงบ่ายวันนี้ที่ตลาดในยุโรปเปิดเทรดมาก็คาดว่าน่าจะปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน

     พร้อมให้แนวรับ 1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,500-1,510 จุด

ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ตามภูมิภาคหลัง FBI แถลงฮิลลารีไม่มีความผิดทางคดีอาญา

    นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกัน เนื่องจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ยืนยันว่า นางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ไม่มีความผิดทางคดีอาญา ทำให้เห็นถึงโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้มากขึ้น แต่ก็ยังคงจะต้องรอดูผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ด้วย อย่างไรก็ดีก็ช่วยลดความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งได้ในระดับหนึ่ง

      นอกจากนี้ สัปดาห์นี้ก็จะมีการประกาศตัวเลขดุลการค้าของจีน ซึ่งก็คาดว่าจะออกมาดี อีกทั้งตลาดยังรอดูการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/59  ของบริษัทจดทะเบียนต่อไป ซึ่งคาดว่าจะออกมามากในวันศุกร์นี้

    อย่างไรก็ดี ทิศทางตลาดโดยรวมน่าจะเป็นลักษณะปรับขึ้นแล้วก็ปรับตัวลง เพื่อรอดูผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯก่อน โดยมีแนวต้านใหญ่ที่ 1,508 จุด หากผ่านได้ก็ให้ Follow buy

สำหรับวันนี้ให้แนวรับ 1,478 จุด ส่วนแนวต้าน 1,492-1,498 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,888.28 จุด ลดลง 42.39 จุด (-0.24%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,046.37 จุด ลดลง 12.04 จุด (-0.24%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,085.18 จุด ลดลง 3.48 จุด (-0.17%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 220.67 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนลดลง 0.43 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 40.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 34.82 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 15.56 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 11.73 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 4.79 จุด

     - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 พ.ย.59) 1,485.70 จุด ลดลง 7.38 จุด (-0.49%)

    - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,477.31 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 พ.ย.59

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 พ.ย.59) ปิดที่ 44.07 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 59 เซนต์ หรือ 1.3%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 พ.ย.59) ที่ 8.68 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 35.02/03 จับตาโค้งสุดท้ายเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

                - สำนักงบประมาณเผย ปี 2560 งบลงทุนด้านโลจิสติกส์ 9.88 หมื่นล้านบาท ผ่านโครงการลงทุนถนนมอเตอร์เวย์ 3 สาย การลงทุนโครงข่าย ทางหลวงแผ่นดิน และลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า 10 สายใน กทม.และปริมณฑล

    - อุตฯ เล็งผุดแผนกำจัดกากแผงโซลาร์เซลล์ หวั่นขยะล้นเมือง คาดสะสมถึงปี 59 อยู่ที่ 3.88 แสนตัน ด้าน พพ.แจก 6 พันล. หนุนราชการติดเพิ่ม

     - การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระบุช่วงต้นปี 2560 จะเปิดประมูลโครงการจัดเช่ารถจักรจำนวน 50 หัว มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมารฟท. เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกวดราคา (TOR) ไปแล้ว ขณะนี้เตรียมรวบรวมข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้เสนอราคาและสเป๊กคาดว่าจะสรุปร่าง TOR ได้ภายในเดือนพ.ย.นี้

     - วางแผนรับมือล่วงหน้าเพื่อกำจัดซากแผงโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันมีสะสมแล้ว 12.9 ล้านแผง หนักกว่า 3.88 แสนตันเริ่มเสื่อมชำรุด เล็งศึกษาตั้งโรงงานกำจัด ขณะที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ เสนอขอใช้งบฯ 6,000 ล้านบาท สนับสนุนหน่วยงานราชการติดตั้งแผง โซลาร์ รูฟท็อป"

     - รองปลัดกระทรวงคมนาคม เผยความคืบหน้าในการโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการให้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ผ่านมามีการเจรจาหารือร่วมกับ กทม.เรื่องโอนทรัพย์สินและหนี้สินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไปให้ กทม. แต่ยังต้องหารือในรายละเอียดอีกหลายส่วน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเงินงบประมาณ, เงินที่กู้มาใช้, เงินของรฟม. รวมทั้งที่ดินที่เวนคืนโดยเฉพาะทางด้านข้อกฎหมาย ซึ่งต้องมีการนัดประชุมหารือกันอีกครั้งในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้เช่นกัน

*หุ้นเด่นวันนี้

       - NEP-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม (NEP)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 208,409,779 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.55 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับจากวันที่ออกเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งตรงกับวันที่ 16 กันยายน 2559 ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 15 ธ.ค. 2559 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 15 ก.ย. 2562

   - MTLS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 28  บาท คาดกำไรสุทธิ 3Q59 +17% Q-Q, +60% Y-Y เป็น 350 ล้านบาท สูงสุดเป็นประว้ติการณ์อีกครั้งตามฤดูกาลของสินเชื่อที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง แนวโน้มกำไร 4Q16 จะยิ่งดีและเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี เพราะเป็นช่วงหยุดเทศกาลและการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร โดยยังคงคาดกำไรปีนี้ +55.6% ปีหน้า +31%

     - รฟม.เปิดรับซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สายสีเหลืองวันนี้ หลังจากนี้จะใช้เวลาพิจารณา 3 เดือน คาดประกวดราคาเดือน ธ.ค. นี้ ทั้ง 2 โครงการมีผู้สนใจซื้อซอง 17 ราย ITD, BEM, STEC, BTS, BTSC, CNT, RATCH, TRC, PLE, NWR, UNIQ และอีก 6 รายต่างประเทศ (ฟินันเซีย ไซรัส)

        - THAI (เคจีไอ) "ซื้อ"เป้าสูงสุดใน Consensus 32 บาท ราคาหุ้นสัปดาห์ที่แล้วลงแรงกว่าตลาดฯ แม้ไร้ข่าวลบ มีแต่ข่าวบวก คือ ราคาน้ำมันปรับฐานแรง คาดการณ์ไตรมาส 3/59 มีกำไรราว ?300 ล้านบาท (พลิกจากขาดทุน 9.9 พันล้านบาทในไตรมาส 3/58), หลังรายงานงบฯ ประเมิน Trailing PE จะต่ำกว่า 10 เท่า จากตอนนี้ติดลบ (ไม่มีความเสี่ยงติดแคชบาลานซ์) และในเดือน มี.ค.60 ลุ้น ICAO ปลดธงแดง

       - SMT (โกลเบล็ก) เป้า Consensus สูงสุด  8.25 บาท โดย Consensus คาดปี 59 Turnaround พลิกมีกำไรราว 200 ลบ.จากสินค้า Value added (margin สูง) โดยเฉพาะ IC Packaging/Wafer dicing และเตรียมเซ็นเป็นตัวแทนขาย Solar Panel ให้บ.ใหญ่ในอเมริกา โรงงานผลิต Solar Panel Generation 3 กำลังการผลิตที่ 40 MW คาดเสร็จ ต.ค.เริ่มเดิมเครื่อง พ.ย. ซึ่งจะรับรู้รายได้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีเป้าขยายถึง 200 MW นอกจากนี้ เตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มในปี 60 อีก 30-40% ในกลุ่มสินค้าประเภท high margin

ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ รับข่าว ฮิลลารี พ้นข้อหาคดีอีเมล

       ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ หลังจากที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ยืนยันว่า นางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ไม่มีความผิดทางคดีอาญา ในกรณีที่นางฮิลลารีใช้อีเมลส่วนตัวเพื่อรับและส่งข้อความในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 17,126.03 จุด เพิ่มขึ้น 220.67 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,124.89 จุด ลดลง 0.43 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,682.71 จุด เพิ่มขึ้น 40.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,102.97 จุด เพิ่มขึ้น 34.82 จุด

    ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,997.58 จุด เพิ่มขึ้น 15.56 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,800.53 จุด เพิ่มขึ้น 11.73 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,643.45 จุด ลดลง 4.79 จุด

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 97.25 จุด หลังปอนด์แข็ง, วิตกเลือกตั้งสหรัฐ

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ รวมถึงความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

    ดัชนี FTSE 100 ลดลง 97.25 จุด หรือ 1.43% ปิดที่ 6,693.26 จุด

      หุ้นแพดดี้ พาวเวอร์ เบตแฟร์ เพิ่มขึ้น 4.14% หุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ บวก 0.84% หุ้นโรลส์-รอยส์ โฮลดิงส์ เพิ่ม 0.71% หุ้นเอสเอสอี เพิ่มขึ้น 0.51% หุ้นยูไนเต็ด ยูทิลิตีส์ กรุ๊ป ขยับขึ้น 0.16%

       หุ้นฮิกมา ฟาร์มาซูติคอลส์ ร่วงลง 6.82% หุ้นดิกซันส์ คาร์โฟน ร่วงลง 5.21% หุ้นเพอร์ซิมมอน ลดลง 4.61% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ กรุ๊ป อ่อนลง 4.59% หุ้นเฟรสนิลโล ลดลง 4.58%

       ทั้งนี้ ตลาดได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังผลสำรวจบ่งชี้ว่าคะแนนนิยมของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน สูสีกันมาก

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุวิตกเลือกตั้งสหรัฐ, คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนหน้า

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) เนื่องจากยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลดลง 2.76 จุด หรือ 0.83% ปิดที่ 328.80 จุด

       ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่ 4,377.46 จุด ลดลง 34.22 จุด หรือ -0.78% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันทำการล่าสุดที่ 10,259.13 จุด ลดลง 66.75 จุด หรือ -0.65% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 6,693.26 จุด ลดลง 97.25 จุด หรือ -1.43%

      หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ ลดลง 1.3% หลังรายงานตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 3 ส่วนหุ้นริชมองต์ ผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่จากสวิส ปรับตัวขึ้น 5% หลังมีรายงานว่าผู้บริหารบางส่วนจะลงจากตำแหน่งในปีหน้า ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นเรื่องดีสำหรับบริษัท ขณะที่หุ้นยูบิซอฟต์ทะยานกว่า 12% หลังรายงานผลประกอบการสดใส

      ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงหลังนักวิเคราะห์ระบุว่า การที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือนต.ค.ที่ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงานที่พุ่งขึ้น และการปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนก.ย. จะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังผลสำรวจบ่งชี้ว่าคะแนนนิยมของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน สูสีกันมาก

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 42.39 จุด เหตุวิตกเลือกตั้งสหรัฐ, คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนหน้า

    ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (4 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 7 วันทำการ ขณะที่ S&P 500 ทำสถิติร่วงลงติดต่อกัน 9 วันทำการ ซึ่งยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 36 ปี เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.นี้ และจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.

      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 42.39 จุด หรือ 0.24% ปิดที่ 17,888.28 จุด ดัชนี S&P500 ลดลง 3.48 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 2,085.18 จุด และดัชนี NASDAQ ลดลง 12.04 จุด หรือ 0.24% ปิดที่ 5,046.37 จุด

      ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.5% ดัชนี S&P500 ลบ 1.9% และดัชนี NASDAQ ร่วงลง 2.8%

      หุ้นสตาร์บัคส์ คอร์ป บริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่ของโลก เพิ่มขึ้น 2% หลังบริษัทเผยผลประกอบการที่สดใส ส่วนหุ้นโกโปร อิงค์ ผู้ผลิตกล้องชื่อดัง ร่วงลง 6.5% หลังผลประกอบการต่ำกว่าคาดการณ์ และหุ้นมอนสเตอร์ เบฟเวอเรจ คอร์ป ลดลง 3.6% หลังเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง

     ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 161,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.9% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์

     ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ได้เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.4% ในเดือนต.ค. จากตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.3% ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตัวเลขรายได้ดังกล่าวจะพุ่งขึ้น 2.8% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีครึ่ง

    กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 191,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 176,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 167,000 ตำแหน่ง

   นักวิเคราะห์ระบุว่า การเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในเดือนต.ค.ที่ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงานที่พุ่งขึ้น และการปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนก.ย. จะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังผลสำรวจบ่งชี้ว่าคะแนนนิยมของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน สูสีกันมาก

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!