WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET9 copyภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์-เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมันดีดขึ้น,หวังโอเปกรักษาเสถียรภาพราคา

    นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ในช่วงสั้นหลังจากที่ได้ปรับตัวลงไปพอควรแล้วเมื่อวานนี้ โดยตลาดฯยังคงติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลการประชุมในเช้าวันพรุ่งนี้ โดยตลาดฯคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน

    อย่างไรก็ดี ตลาดฯน่าจะได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเช้านี้ได้ปรับตัวขึ้น 1.8% ซึ่งเป็นการเก็งการหารือนอกรอบของโอเปกและรัสเซียที่จะจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ นอกรอบการประชุมพลังงานระหว่างประเทศ (IEF) ที่แอลจีเรีย โดยที่ประชุมจะหารือการตรึงกำลังการผลิต เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน

     ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ อย่างไร้ทิศทาง พร้อมให้แนวรับ 1,467 จุด ส่วนแนวต้าน 1,480 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 ก.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,129.96 จุด เพิ่มขึ้น 9.79 จุด (+0.05%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,241.35 จุด เพิ่มขึ้น 6.32 จุด (+0.12%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.64 จุด (+0.03%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 20.30 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้  ลดลง 1.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 8.00 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 19.66 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 2.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 9.41 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 2.06 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 ก.ย.59) 1,473.78 จุด ลดลง 18.95 จุด (-1.27%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,797.80 เมื่อวันที่ 20 ก.ย.59

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 ก.ย.59) ปิดที่ 43.44 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.3%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 ก.ย.59) ที่ 6.86 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.74/76 ทิศทางแกว่งแคบในกรอบ 34.70-34.80 จับตาผลประชุม FED-BOJ วันนี้

                - อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์เตรียมผลักดันโครงการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาที่ราชพัสดุเพื่อให้มีการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยภายในปี 2559 จะเริ่มดำเนินการได้ 2 โครงการ มีวงเงินลงทุน 3.1-3.5 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต เนื้อที่ 63 ไร่ ของบริษัท บางกอกเทอร์มินอล (BKT) เพื่อพัฒนาพื้นที่เป็นศูนย์กลางคมนาคม และคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ มีมูลค่า 2.6 หมื่นล้านบาท สัญญา 30 ปี

                - สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ หลังจากสำนักงานส่งเสริมการค้าของไทย ณ นครชิคาโก สหรัฐ คาดว่าแนวโน้มการส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐในช่วง 4 เดือนหลังของปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐลงเหลือโต 1% จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2% และเศรษฐกิจสหรัฐจะยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปในปี 2560

                - ธนารักษ์ฟุ้งคาดจัดเก็บรายได้เกินเป้า 2 ปีซ้อน สิ้นปีงบประมาณปี 60 ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าตั้งไว้ 6 พันล้านบาท ผลจากเข้าบริหารที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้น เล็งปรับเพิ่มค่าเช่าที่เชิงพาณิชย์เท่าราคาตลาด หลังสัญญากว่า 20% หมดลง

                - "ศุภชัย พานิชภักดิ์" มองรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจมาถูกทาง แต่ในช่วงต่อไปรัฐบาลไม่ควรให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาระหนี้สิน ซึ่งควรจะมุ่งเน้นไปยังการเพิ่มรายได้ของประชากรให้ดีขึ้น โดยเฉพาะรายได้เกษตรกร และกระตุ้นการลงทุนให้มากขึ้นรวมถึงมีการเพิ่มขีดความสามารถของคน ในการฝึกอบรมแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ การปฏิรูปการศึกษา เริ่มจากการปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มองว่าเป็นรากฐานของปัญหาของเศรษฐกิจไทย

*หุ้นเด่นวันนี้

                - TPCH (เคจีไอฯ) "สะสม"เป้า 22 บาท แนวโน้มกำไรจะทำนิวไฮ 3-5 ไตรมาสติดต่อกัน (โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มี PPA ในมือทยอย COD) และจะมี Catalyst เพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้ คือการเปลี่ยนสัญญา LOI เป็น PPA (20MW ที่ จ.ปัตตานี) พร้อมให้แนวรับ 16.9 บาท และถัดไปที่ 16.7 บาท แนวต้านแรกที่ 17.4 บาท (เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน แบบ EMA) หากผ่านได้มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 18.3 บาท

                - K (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 8.80 บาท พรุ่งนี้ (22 ก.ย.) จะขึ้น XD จ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ และเงินสด 0.006  บาท เป็นปันผลของผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกปีนี้ แม้จะคิดเป็น Yield เพียง 1% แต่หลังจากนี้น่าจะได้เห็นการจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้งทั้งรูปแบบของหุ้นและเงินสดตามกำไรที่เริ่มขยายตัวในอัตราเร่ง โดยคาดกำไรปี 60-61 โตเฉลี่ย 28% จากงาน Shop brand ตามห้างที่เปิดใหม่เช่น Icon Siam, กลุ่มเดอะมอลล์, กลุ่มเซ็นทรัล, และกลุ่ม TCC ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น Forward PE 13.7 เท่า ถูกกว่ากลุ่มที่ 25 เท่า

                - THANI (ฟันันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 6.20 บาท แม้จะคาดว่ากำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งใน 3Q59 และ 4Q59 ตามยอดจดทะเบียนรถบรรทุกใหม่ที่มีโมเมนตัมดี แต่อัตราการเติบโตไม่ได้สูงจนน่าตื่นเต้น โดยคาดกำไร 3Q59 +3% Q-Q, 4% Y-Y เพราะการตั้งสำรองฯยังสูงกว่าปกติ แต่ยังคงคาดกำไรทั้งปีนี้ +18% และปีหน้า +7.8% การฟื้นตัวของการลงทุน การก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชน และการค้าชายแดน เอื้อต่อสินเชื่อของ THANI โดยตรง

ตลาดหุ้นเอเชียซบเซาเช้านี้ ขณะรอผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ,ญี่ปุ่น

     ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในเช้าวันนี้ ก่อนที่ตลาดจะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนั้นนักลงทุนยังจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้เช่นกัน

     ดัชนี MSCI Asia Pacific ขยับขึ้นไม่ถึง 0.1% แตะที่ระดับ 138.72 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาโตเกียว

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,471.85 จุด ลดลง 20.30 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,021.58 จุด ลดลง 1.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,522.86 จุด ลดลง 8.00 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,141.92 จุด ลดลง 19.66 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,022.81 จุด ลดลง 2.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,845.28 จุด ลดลง 9.41 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,653.72 จุด ลดลง 2.06 จุด

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 17.24 จุด หลังหุ้นเหมืองแร่พุ่ง

                ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 ก.ย.) เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์

     ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 17.24 จุด หรือ 0.25% แตะที่ 6,830.79 จุด

    ตลาดหุ้นลอนดอนได้ปรับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาพลาตินัม ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปิดพุ่งแรง โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน เพิ่มขึ้น 2% ในขณะที่หุ้นริโอ ทินโต เพิ่มขึ้น 1.4% และหุ้นจอห์นสัน แมทธีย์ เพิ่มขึ้น 2.4%

   ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบินนำโดยหุ้นอีซีเจ็ท และหุ้นไอเอจี เอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ต่างก็ร่วงลงมากกว่า 1.7% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก นักลงทุนรอผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ,ญี่ปุ่น

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

     ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 341.01 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,388.60 จุด ลดลง 5.59 จุด หรือ -0.13% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,393.86 จุด เพิ่มขึ้น 19.99 จุด หรือ +0.19% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,830.79 จุด เพิ่มขึ้น 17.24 จุด หรือ +0.25%

    ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ขณะที่ตลาดจับตาการประชุมเฟดซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันพุธที่ 21 ก.ย.ตามเวลาสหรัฐ โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

     นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมของ BOJ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้เช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่า BOJ จะผ่อนคลายนโยบายต่อไปในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนที่ว่า BOJ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ติดลบมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคาร

     หุ้นไบเออร์ ปรับตัวขึ้น 0.6% หลังจากบริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายและผลประกอบการ โดยก่อนหน้านี้ไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยา และเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรของเยอรมนี ประกาศเข้าซื้อกิจการมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์พืชของสหรัฐ ในข้อตกลงมูลค่า 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 9.79 จุด ตลาดรอผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ,ญี่ปุ่น

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 ก.ย.) โดยดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ก่อนที่ตลาดจะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้เช่นกัน

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,129.96 จุด เพิ่มขึ้น 9.79 จุด หรือ +0.05% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,241.35 จุด เพิ่มขึ้น 6.32 จุด หรือ +0.12% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.64 จุด หรือ +0.03%

    ดัชนี ดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ขณะที่ตลาดจับตาการประชุมเฟดซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันพุธที่ 21 ก.ย.ตามเวลาสหรัฐ โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนยังจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมเพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้

   นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมของ BOJ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้เช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่า BOJ จะผ่อนคลายนโยบายต่อไปในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนที่ว่า BOJ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ติดลบมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคาร

     หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล พุ่งขึ้น 2.3% ขณะที่หุ้นสตาร์วูด โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ท เวิลด์ไวด์ ปรับตัวขึ้น 2.4% หลังจากทางการจีนได้อนุมัติข้อเสนอของแมริออทในการเข้าซื้อกิจการของสตาร์วูด วงเงิน 1.441 หมื่นล้านดอลลาร์

     หุ้น FedEx ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับขึ้นอัตราค่าระวางสินค้าเดินเรือในปีหน้า

     อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านปรับตัวลง โดยหุ้นเลนนาร์ คอร์ป ดิ่งลง 3.5% หุ้นพัลท์กรุ๊ป ร่วงลง 2.9% หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านร่วงลงมากเกินคาดในเดือนส.ค. โดยดิ่งลง 5.8% สู่ระดับ 1.14 ล้านยูนิต หลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน

    หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปิดตลาดดีดตัวขึ้น 1.2% หลังจากที่นายจอห์น สตัมฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก กล่าวขอโทษ และแสดงความเสียใจต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐเมื่อวานนี้ และยืนยันว่าธนาคารจะทำการแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด หลังจากที่เกิดกรณีอื้อฉาวที่พนักงานของธนาคารได้เปิดบัญชีลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน

     ในช่วงแรกนั้น ราคาหุ้นเวลส์ ฟาร์โกดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในระหว่างที่นางเอลิซาเบท วอร์เรน วุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครต ได้ตั้งคำถามมากมายต่อนายสตัมฟ์ และเรียกร้องให้เขาลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับแนะนำให้กระทรวงยุติธรรมทำการสอบสวนในคดีอาญาต่อนายสตัมฟ์

   นอกเหนือจากการประชุมเฟด และ BOJ แล้ว นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค., ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนส.ค.จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด, ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื่องต้นเดือนก.ย.โดยมาร์กิต

     อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!