WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET62ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นดีดขึ้นกรอบแคบ แต่อาจย่อตัวระหว่างเทรด,จับตาแรงซื้อต่างชาติ-ประชุมเฟดสัปดาห์หน้า

     นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีมีโอกาสที่ปรับตัวขึ้นก่อน แต่ระหว่างวันอาจจะย่อตัวลงตามแนวต้านได้ หลังนักลงทุนต่างชาติที่แม้จะยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่เมื่อวานนี้ก็เริ่มเห็นแรงขายในตลาดฟิวเจอร์สบ้างแล้ว ทำให้ภาพตลาดอาจมีความผันผวนได้ ซึ่งสอดคล้องกับภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่แกว่งตัวในกรอบแคบและไร้ทิศทาง ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้อิงแดนลบ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ยังเคลื่อนไหวในแดนลบอยู่เช่นกัน

     อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยอาจจะเผชิญกับแรงขายตามแนวต้านออกมาบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังรอดู FTSE Rebalance ที่ปรับเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทยก่อนหน้านี้ ซึ่งจะมีผลในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ย.) รวมถึงรอดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 20-21 ก.ย.ด้วย ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในวันนี้น่าจะทรงตัวระดับ 5 หมื่นล้านบาท หลังตลาดเอเชียหลายแห่งหยุดทำการ

พร้อมให้แนวต้านบริเวณ 1,464 และ 1,471 และแนวรับบริเวณ 1,447 และ 1,440 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ก.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,034.77 จุด ลดลง 31.98 จุด (-0.18%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,173.77 จุด เพิ่มขึ้น 18.52 จุด (+0.36%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,125.77 จุด ลดลง 1.25 จุด (-0.06%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 101.82 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 46.56 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 10.92 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 1.30 จุด

      ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ก.ย.59)  1,458.19 จุด เพิ่มขึ้น 11.35 จุด (+0.78%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,483.42 เมื่อวันที่ 14 ก.ย.59

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ก.ย.59) ปิดที่ 43.58 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 2.9%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ก.ย.59) ที่ 6.36 หรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.85 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ รอความชัดเจนปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก

                - ฟิทช์เรทติ้งส์เชื่อแบงก์พาณิชย์ไทยมีเสถียรภาพ แม้อันดับเครดิตเป็นลบระบุฐานะเงินทุนยังแข็งแกร่ง รับมือเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นได้ดี พร้อมประเมินการเข้ามาของเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมระยะยาว ขณะที่ระบุกลุ่มตลาดเกิดใหม่เริ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากหนี้นอกที่เริ่มสูงขึ้นในบางประเทศ ส่วนไทยฐานะทางการคลัง-ภาคการเงินต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องดูแล

                - ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ตั้งเป้าการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทุกโครงการของกระทรวงคมนาคมว่า ให้เริ่มดำเนินการได้ทันทีเพื่อช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกำหนดเป้าหมายว่า ทุกโครงการจะต้องดำเนินการประกวดราคาและลงนามในสัญญาภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2560 โดยเฉพาะโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท และโครงการ ที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า 2 ล้านบาท จะต้องลงนามในสัญญา และเบิกจ่ายเงินงวดงานภายในเดือน ธ.ค.2559 ซึ่งมีวงเงินรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท ด้านคมนาคมจ่อชงพีพีพี เคาะแผนบริหารมเตอร์เวย์ 2 สาย ใน 15 ก.ย.นี้ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท วางกรอบเอกชนร่วมทุนระยะเวลา 30 ปี

                - กนง. ปรับเพิ่ม "จีดีพี" ปีนี้โต 3.2% หลังการบริโภคไตรมาส 2 ดีกว่าคาด ชี้ผลจากปัจจัยกระตุ้นชั่วคราว ห่วงเงินบาทบางช่วงที่แข็งค่าเร็วเกินไป สั่ง ธปท. ติดตามผู้เล่นในตลาดใกล้ชิด พร้อมประเมินส่งออกปีหน้า ยังหดตัวต่อเนื่อง ฉุดลงทุนภาคเอกชนชะลอ ยอมรับปราบทัวร์ศูนย์เหรียญกระทบ การท่องเที่ยวบ้าง คาดหายไป 2 แสนคนปีนี้ ขณะที่มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เป็นการตรึงดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 11 เนื่องจากเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ดี

*หุ้นเด่นวันนี้

      - BCH (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดกำไรไตรมาส 3/59 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากช่วง high season และการรับรู้รายได้ประกันสังคมที่เลื่อนมาจากช่วงไตรมาส 2/59  ทั้งนี้ คาดกำไรปี 59 นี้ จะเติบโตก้าวกระโดดจาก การถึงจุดคุ้มทุนของโรงพยาบาล WMC การเติบโตของโรงพยาบาลในเครือทั้งจำนวนผู้ป่วยนอกและในการขึ้นค่ารักษาพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น

      - SYNTEC (ไอร่า) ให้ราคาเป้าหมาย 5.35 บาท โดยมองเป็น 1 ในผู้นำงานรับเหมาก่อสร้างงานอาคารสูง ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเดิมที่เป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นนำ และจดทะเบียนในตลาดฯ ขณะที่ Gross Profit Margin อยู่ในระดับที่ดี เฉลี่ย 12-15% นอกจากนี้ SYNTEC เริ่มรับรู้รายได้เต็มที่จากโครงการ Apartment ให้เช่า จำนวน 4 โครงการ ตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป ประมาณ 490 ล้านบาท คาดช่วยชดเชยความผันผวนรายได้งานก่อสร้าง

    ทางด้านผลการดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากโครงการที่ SYNTEC รับมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทำให้ฐานของรายได้สูงขึ้นตามลำดับ ขณะที่ Backlog ล่าสุด (13,384 ล้านบาท) คาดสามารถรับรู้รายได้ถึงปี 62 นอกจากนี้ประสิทธิภาพในงานก่อสร้างดีขึ้น จากสัดส่วนสำรองค่าใช้จ่ายในการเก็บงานที่ลดลง ทำให้คาดกำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ดี และคาดน่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในปี 60

     - ILINK (ธนชาต) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาพื้นฐาน 30 บาท โดย ILINK ชนะประมูล 2 โครงการมูลค่ารวม 873 ล้านบาท ส่งผลปรับประมาณการกำไรขึ้น 2-17% ในปี 60-61 นอกจากนี้การประมูลเคเบิ้ลใต้ดินในช่วงปลายปีนี้ยังเป็น Upside Risk ต่อประมาณการเพิ่มเติม

     - IVL (ยูโอบี เคย์เฮียน) โดยแนวโน้มในครึ่งปีหลังยังดีต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา 20% นับตั้งแต่จุดสูงสุด มองว่ารับข่าวร้ายไปพอสมควรแล้ว ในขณะที่การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งจะไม่ได้รับผลลบจากปัจจัยในประเทศมาก นอกจากนี้ยังได้ผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเมื่อคืน

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ เหตุนักลงทุนวิตกทิศทางดอกเบี้ยเฟด

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์ก เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมีความไม่แน่นอน หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาแสดงความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกัน

     ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.3% แตะที่ 136.21 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.05 น.ตามเวลาโตเกียว

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,512.42 จุด ลดลง 101.82 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,237.20 จุด เพิ่มขึ้น 46.56 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,798.43 จุด ลดลง 10.92 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,660.09 จุด ลดลง 1.30 จุด

     ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ด้านตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการเนื่องในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า

     ทั้งนี้ นางลาเอล เบรนนาร์ด หนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ซึ่งมีสิทธิลงคะแนนในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า กล่าวว่า เฟดควรดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป

    การแสดงความเห็นของนางเบรนนาร์ดสวนทางกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆของเฟด โดยนายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน และนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส ต่างก็ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนเฟดให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : หุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่ง หนุนฟุตซี่ปิดบวก 7.68 จุด

       ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น

      ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 7.68 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 6,673.31 จุด

     หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดันตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน หุ้นเกลนคอร์ และหุ้นแองโกล อเมริกัน ที่ต่างก็พุ่งขึ้นมากกว่า 2%

    หุ้นเบอร์เบอร์รี ลดลง 2.6% หลังจากบริษัทเฮอร์เมส อินเตอร์เนชั่นแนล เอสซีเอ ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของบริษัทไม่เปิดเผยเป้าหมายยอดขายช่วงครึ่งปีหลัง

     หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นำโดยหุ้นบาร์แรตต์ ดีเวลล็อปเมนท์ส และหุ้นเทย์เลอร์ วิมพีย์ ต่างก็ลดลงหลังรายงานระบุว่า ยอดขายบ้านหรูหราในกรุงลอนดอนได้ปรับตัวลดลง

   ส่วนหุ้นสายการบินนำโดยหุ้นอีซีเท็ทและหุ้นไอเอจี เอสเอ ต่างก็ปรับตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ หลังหุ้นสินค้าแบรนด์ดังร่วงหนัก

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง หลังจาก Cie. Financiere Richemont ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคาร์เทียร์ ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง

     ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.1% ปิดที่ 338.42 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.ปีนี้

    ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,370.26 จุด ลดลง 16.92 จุด หรือ -0.39% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,378.40 จุด ลดลง 8.20 จุด หรือ -0.08% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,673.31 จุด เพิ่มขึ้น 7.68 จุด หรือ +0.12%

      หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังต่างพากันร่วงลง โดยหุ้น Cie. Financiere Richemont ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคาร์เทียร์ (Cartier) ร่วงลง 3.9% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง

     การปรับลดคาดการณ์ผลกำไรของ Cie. Financiere Richemont ได้ฉุดหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มแบรนด์เนมดังร่วงลงด้วย โดยหุ้นแอร์เมส อินเตอร์เนชันแนล ดิ่งลง 8.8% หุ้นคริสเตียน ดิออร์ ร่วงลง 3% หุ้นกุชชี่ ดิ่งลง 1.1% และหุ้นเบอร์เบอร์รี่ ร่วงลง 2.1%

       นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานของยูโรสแตทที่ระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน หดตัวลง 1.1% ในเดือนก.ค.

     อย่างไรก็ตาม หุ้นไบเออร์ ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยา และเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรของเยอรมนี ประกาศเข้าซื้อกิจการมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์พืชของสหรัฐ ในข้อตกลงมูลค่า 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 31.98 จุด วิตกน้ำมันร่วง,ทิศทางดบ.เฟด

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนนี้ราคาน้ำมัน WTI ดิ่งหลุดจากแนว 44 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังคงไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นสวนทางตลาด เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิล หลังจากยอดจองไอโฟน 7 ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,034.77 จุด ลดลง 31.98 จุด หรือ -0.18% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,173.77 จุด เพิ่มขึ้น 18.52 จุด หรือ +0.36% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,125.77 จุด ลดลง 1.25 จุด หรือ -0.06%

        ดัชนี ดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากราคาน้ำมันร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งหลุดจากแนว 44 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลต่อรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งระบุว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกมีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าการคาดการณ์

     นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากทิศทางที่ไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยเฟดหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาแสดงความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกัน โดยนางลาเอล เบรนนาร์ด หนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ซึ่งมีสิทธิลงคะแนนในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า กล่าวว่า เฟดควรดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป

       ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของนางเบรนนาร์ดสวนทางกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆของเฟด โดยนายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน และนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส ต่างก็ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนเฟดให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย

      อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นสวนทางตลาด เพราะได้แรงหนุนจากหุ้นแอปเปิลที่พุ่งขึ้น 3.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดจองไอโฟน 7 และไอโฟน 7 พลัส ทะยานขึ้นมากกว่า 375% ในช่วง 3 วันแรก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนหุ้น Salesforce.com ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 1.7%

    หุ้นมอนซานโต ปรับตัวขึ้น 0.6% หลังจากบริษัทไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยา และเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรของเยอรมนี ประกาศเข้าซื้อกิจการมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์พืชของสหรัฐ ในข้อตกลงมูลค่า 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงหนี้สินของบริษัท

    ทั้งนี้ ข้อตกลงซื้อกิจการดังกล่าวนับเป็นข้อตกลงที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปีนี้ และเป็นข้อตกลงที่มีการใช้เงินสดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และบริษัทที่เกิดขึ้นจากข้อตกลงควบกิจการในครั้งนี้ จะเป็นบริษัทที่ครองสัดส่วนตลาดเมล็ดพันธุ์พืช และยาปราบศัตรูพืชมากกว่า 1 ใน 4 ของตลาดโลก

     หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ร่วงลง 1.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนการกระตุ้นผลกำไรในช่วงหลายปีข้างหน้า แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถดึงดูดแรงซื้อได้

     นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ โดยนับจากนี้เจ้าหน้าที่เฟดจะไม่สามารถออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยก่อนถึงการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันดังกล่าว ตามกฎการห้ามแสดงความคิดเห็นก่อนการประชุมเฟดเป็นเวลา 1 สัปดาห์

     นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค.,ดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2/2559, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค.

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!