WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET13ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์หลังดัชนีภาคบริการสหรัฐโตต่ำสุดในรอบ 6 ปีหนุนเฟดไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย

      นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ได้บ้างในลักษณะเทคนิคเคิลรีบาวด์ โดยอาศัยปัจจัยจากภายนอกประเทศทำให้ฟื้นตัวขึ้น จากที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท หลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เผยภาคบริการของสหรัฐในเดือน ส.ค.ขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปี ทำให้มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้

     ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งแดนบวก-ลบไม่มากนัก โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นติดลบอันเนื่องมาจากเงินเยนกลับมาแข็งค่า อย่างไรก็ดี เชื่อว่าดัชนีฯคงจะไม่ปรับขึ้นไปไกลเนื่องจากคนยังไม่กล้าลงทุนมากนัก

พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,488-1,505 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ก.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,538.12 จุด เพิ่มขึ้น 46.16 จุด (+0.25%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่  5,275.91 จุด เพิ่มขึ้น 26.01 จุด (+0.50%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,186.48 จุด เพิ่มขึ้น 6.50 จุด (+0.30%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 144.60 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.62 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 2.45 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 20.38 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.28 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 9.57 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ก.ย.59) 1,496.90 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด (+0.29%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 818.83 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ก.ย.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ก.ย.59) ปิดที่ 44.83 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.9%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ก.ย.59) ที่ 5.91 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

    - เงินบาทเปิด 34.57/58 กลับมาแข็งค่าตามภูมิภาค จากแรงขายดอลล์หลังตัวเลขศก.สหรัฐอ่อนแอ

     - ครม.ไฟเขียว กทม.ลงทุนสร้างรถไฟฟ้าสายสีทอง วงเงิน 3.8 พันล้านบาท"กรุงธนบุรี-ถนนประชาธิปก"เป็นขนส่งขนาดรองหรือฟีดเดอร์แบบไร้คนขับ เชื่อม BTS สีม่วงใต้ สั่งออกแบบรายละเอียดทำ EIA ก่อนเสนอ ครม.ขอยกเว้นเกณฑ์สร้างใต้ดินเกาะรัตนโกสินทร์ ด้าน ก.คมนาคม คาด ก.ย.ชง ครม.ขออนุมัติประมูลรถไฟทางคู่ 3 สายรวด วงเงินกว่า 7 หมื่นล้าน

     - รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การประชุมหารือกลุ่มย่อยทูตพาณิชย์รายภูมิภาคเพื่อจัดทำแผนปี 2560 ทางทูตพาณิชย์หลายตลาดได้ปรับลดเป้าส่งออกรายตลาดในปีนี้ลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว โดยตลาดสำคัญที่ปรับลด ได้แก่ ตลาดอาเซียน (9 ประเทศ) คาดติดลบ 0.8% จากเดิมขยายตัว 7.4% ตลาดสหรัฐลดจากโต 5% เหลือ 1% ญี่ปุ่น ลดจากโต 1% เหลือ 0% สหภาพยุโรป (อียู)  ขยายตัว 1% จากเดิม 2.8% เป็นต้น แต่ปี 60 คาดว่าจะกลับมาขยายตัว

     - ธปท.เผยแนวทางกำกับดูแลสถาบันการเงินในปี 59 สั่งให้แบงก์จัดทำแผนแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง (Recovery plan) เพิ่มการตรวจสอบภายในและกำกับการปฏิบัติตามกฎเคร่งครัด นอกเหนือติดตามคุณภาพสินทรัพย์และทำแผน Stress test ระบุอยู่ระหว่างขยายกรอบการให้บริการผ่านช่องทางต่างๆ และกรอบการลงทุน FinTech ให้แบงก์

      - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานธุรกรรมการโอนเงินรายย่อยหรือประชาชนทั่วไป ล่าสุด ณ เดือน ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ทั้งระบบมีการโอนทั้งสิ้น 3.49 ล้านรายการ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 10.7% มีมูลค่ารวม 2.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามความนิยมทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์

     - อุปนายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปลายสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ประมาณ 34.81 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยราคาทองคำประกาศครั้งที่ 1 วันที่ 6 กันยายน ทองรูปพรรณขายออกที่บาทละ 22,350 บาท รับซื้อบาทละ 21,360.44 บาท ทองคำแท่งขายออกบาทละ 21,850 บาท รับซื้อบาทละ 21,750 บาท ปรับขึ้นจากต้นเดือนบาทละ 400 บาท และมองเงินบาทแนวโน้มอ่อนค่ายิ่งส่งผลดีต่อราคาทองคำเป็นขาขึ้น เพราะปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.59 กรอบทองคำน่าจะอยู่ที่บาทละ 21,500-22,500 บาท

     - กฟผ.ลุยพลังงานหมุนเวียนจับมือเอกชนผุดโครงการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลม ลำตะคอง ระยะที่ 2 รวมกำลังการผลิต 24 เมกะวัตต์ พร้อมดึงเทคโนโลยีใหม่มาใช้กักเก็บและผลิตไฟ คาดแล้วเสร็จ ต.ค.2560

*หุ้นเด่นวันนี้

    - PTL (ยูโอบี เคย์เฮียน) แนวโน้มผลประกอบการในช่วง Q2/60 (ก.ค.-ก.ย.59) ยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจาก อัตรากำลังการผลิตของโรงงานที่ระดับ 88% เทียบกับ 70-80% ในปีก่อน และ spread ที่อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับช่วง Q4/59 (ม.ค.-มี.ค.59) จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการบริหารโกดังสินค้าเอง และดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชะระหนี้ อีกทั้ง PTL ได้ตั้งสำรองในประเทศตุรกีและอเมริกาไปทั้งหมดแล้วในปี 58

    - ALT (ฟินันเซีย ไซรัส) กำไรที่โตต่ำกว่าคาดเล็กน้อยใน Q2/59 (+9% Q-Q, +7.2% Y-Y) เป็นเพราะลูกค้าซึ่งเป็น Mobile operators ชะลอลงทุนเพราะอยู่ระหว่างรอประมูลคลื่น 900MHz แนวโน้ม H2/59 จะดีกว่าครึ่งปีแรกและดีขึ้นจากปีก่อนหลังประมูล 900MHz เสร็จสิ้น ขณะที่รายได้การให้เช่าจะดีขึ้นหลัง Fiber Optic ตามทางรถไฟเริ่มให้บริการ ส่วนความต้องการเช่าเสาโทรคมนาคมในปั๊มน้ำมันยังสูง โดยอยู่ระหว่างปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปีหน้า เบื้องต้นคาด 8.50-10 บาท อิง PE 22-25 เท่า และกำไรปีนี้ +43% ปีหน้า +24%

     - BKD (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 4 บาท กำไรผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วใน H1/59 ส่วน Backlog ปัจจุบัน 1.1 พันล้านบาท รอเซ็นสัญญา 300 ล้านบาทและรอปิดงานใหญ่อีก 700 ล้านบาทจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้รายได้มากขึ้น มติบอร์ดที่อนุมัติให้ขายที่ดินย่านกรุงเทพกรีฑา คาดมีกำไรหลังภาษี 340 ล้านบาทหรือ 0.3 บาท/หุ้นใน Q2/60 ราคาหุ้นมี PE ปีหน้า 18 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 25 เท่า

     - RJH (เคจีไอ) เป้า Consensus 22 บาท รูปแบบราคาหลัง IPO (วันที่ 1 ก.ย.) เริ่มยกจุดต่ำขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มสร้างรูปแบบ Sideway up ในระดับรายชั่วโมง ขณะที่เป็นโรงพยาบาลใหญ่สุดใน จ.อยุธยา มีส่วนแบ่งตลาดฯลูกค้าประกันสังคม 1 ใน 3 ของจังหวัด และคาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน H2/59-ปี 60 จะทำให้ดีมานด์ในพื้นที่เพิ่มขึ้น

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นเช้านี้ รับคาดการณ์เฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในระยะใกล้

    ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้ หลังจากมีรายงานว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปีในเดือนส.ค.

     ดัชนี MSCI Asia Pacific ไม่รวมญี่ปุ่น ทะยาน 0.4% สู่ระดับ 458.02 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.10 น.ตามเวลาโตเกียว

    ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,937.38 จุด ลดลง 144.60 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,091.33 จุด เพิ่มขึ้น 0.62 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,785.23 จุด ลดลง 2.45 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,202.23 จุด เพิ่มขึ้น 20.38 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,068.81 จุด เพิ่มขึ้น 2.28 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,899.02 จุด เพิ่มขึ้น 2.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,680.35 จุด ลดลง 9.57 จุด

     ทั้งนี้ ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการอยู่ที่ระดับ 51.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2553 และลดลงจากระดับ 55.5 ในเดือนก.ค. รวมทั้งร่วงลงต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 53.37 จุด หลังราคาน้ำมันเบรนท์ร่วง

   ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง

    ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 53.37 จุด หรือ 0.78% แตะที่ 6,826.05 จุด

    ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลงหลังจากที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 47.26 ดอลลาร์/บาร์เรล

    นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่พบว่า ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปีในเดือนส.ค.

    ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 51.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2010 และลดลงจากระดับ 55.5 ในเดือนก.ค. รวมทั้งร่วงลงต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

    ข้อมูลดังกล่าวกระตุ้นความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก

    หุ้นกลุ่มพลังงานนำโดยหุ้นบีพีและหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบเบรนท์

    หุ้นเบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 3.5% หลังจากที่บริษัทคงคาดการณ์กำไรก่อนหักภาษีในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุวิตกข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซน,สหรัฐ

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซน ชะลอตัวลงในเดือนส.ค. รวมทั้งรายงานที่ว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปีในเดือนส.ค. โดยข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก

     ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.3% ปิดที่ 349.46 จุด

     ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,529.96 จุด ลดลง 11.12 จุด หรือ -0.24% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,687.14 จุด เพิ่มขึ้น 14.92 จุด หรือ +0.14% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,826.05 จุด ลดลง 53.37 จุด หรือ -0.78%

   ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงหลังจากมาร์กิต อิโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซน อยู่ที่ 52.9 ในเดือนส.ค. ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 53.3 และลดลงจากตัวเลขเดือนก.ค.ที่ 53.2

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปีในเดือนส.ค.

     ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 51.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2010 และลดลงจากระดับ 55.5 ในเดือนก.ค. รวมทั้งร่วงลงต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

     อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากหุ้นไบเออร์ เอจี บริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 1.8% ภายหลังจากไบเออร์ ประกาศเพิ่มข้อเสนอซื้อกิจการบริษัทมอนซานโต ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชดัดแปลงพันธุกรรมรายใหญ่ของสหรัฐ  เป็น 127.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากเดิม 125 ดอลลาร์ต่อหุ้น

     ขณะที่หุ้นอาร์แคม ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งพิมพ์ 3-D ของสวีเดน ทะยานขึ้นแข็งแกร่งถึง 53% และหุ้นเอสแอลเอ็ม โซลูชั่นกรุ๊ป บริษัทสิ่งพิมพ์ 3-D ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 39% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ของสหรัฐ ประกาศซื้อกิจการของทั้ง 2 บริษัท คิดเป็นมูลค่ารวม 1.4 พันล้านดอลลาร์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 46.16 จุด รับคาดการณ์เฟดยังไม่ขึ้นดบ.

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้ หลังจากมีรายงานว่า ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปีในเดือนส.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน หลังจากอิหร่านออกมาสนับสนุนกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันให้เดินหน้ารักษาเสถียรภาพในตลาด

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,538.12 จุด เพิ่มขึ้น 46.16 จุด หรือ +0.25% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,275.91 จุด เพิ่มขึ้น 26.01 จุด หรือ +0.50% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,186.48 จุด เพิ่มขึ้น 6.50 จุด หรือ +0.30%

     ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค.ที่เพิ่มขึ้น 151,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.

     ส่วนล่าสุดเมื่อวานนี้ ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปีในเดือนส.ค.

     ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 51.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2010 และลดลงจากระดับ 55.5 ในเดือนก.ค. รวมทั้งร่วงลงต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากอิหร่านประกาศสนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในการรักษาเสถียรภาพในตลาด ขณะที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันในการประชุมสุดยอด G20 ที่นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยระบุถึงความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ท่ามกลางภาวะตลาดที่มีความผันผวน

    หุ้นสเปคตรา เอนเนอร์จี พุ่งขึ้นกว่า 13% ขณะที่หุ้นเอ็นบริดจ์ ดีดตัวขึ้น 5.1% หลังจากทั้งสองบริษัทประกาศการควบรวมกิจการ มูลค่าราว 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดตั้งบริษัทสาธารณูปโภคด้านพลังงานรายใหญ่สุดในอเมริกาเหนือ

    หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) อ่อนแรงลง 0.8% หลังจากจีอีประกาศซื้อบริษัทสิ่งพิมพ์ 3-D ของยุโรป 2 แห่งมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้แก่บริษัทอาร์แคม ของสวีเดน และเอสแอลเอ็ม โซลูชั่นกรุ๊ป ของเยอรมนี

     หุ้นมอนซานโต ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชดัดแปลงพันธุกรรมรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 1.4% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทไบเออร์ เอจี บริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของเยอรมนี ได้เพิ่มข้อเสนอซื้อกิจการมอนซานโต เป็น 127.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากเดิม 125 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    นักลงทุนจับตาดูการรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ส่วนในวันพรุ่งนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และในวันศุกร์จะมีการเปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค.

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!