WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET8 copyภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวน์ตามตลาดตปท., เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมันปรับขึ้น

   นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวน์ขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวก หลังตลาดสหรัฐฯปรับตัวขึ้น โดยตลาดเอเชียยังได้ประโยชนฺ์จากเม็ดเงินทุนไหลเข้ามาด้วย

      นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นด้วยทำให้ไปช่วยหนุนการลงทุนหุ้นในกลุ่มพลังงานที่จะช่วยผลักดันดัชนีฯได้ อย่างไรก็ดีเชื่อว่านักลงทุนคงจะเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวอยู่ โดยคงจะเล่นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่ปรับตัวลงไปแรงในช่วงก่อนหน้านี้ และหุ้นบมจ.ช.การช่าง (CK) ก็คาดว่าจะได้แรงหนุนจากความคืบหน้าโครงการไซยะบุรี อีกทั้งนักลงทุนคงจะมาเลือกเล่นหุ้นเก็งผลประกอบการในไตรมาส 2/59 ที่จะออกมาด้วย

     พร้อมให้แนวรับ 1,443-1,444 จุด แนวต้าน 1,470 จุด

    ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

   - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ก.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,918.62 จุด เพิ่มขึ้น 78.00 จุด (+0.44%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,859.16 จุด เพิ่มขึ้น 36.26 จุด (+0.75%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,099.73 จุด เพิ่มขึ้น 11.18 จุด (+0.54%)

    - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 32.18 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 7.94 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 111.39 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 29.63 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 10.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 4.86 จุด ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ก.ค.59) 1,452.59 จุด เพิ่มขึ้น 2.57 จุด (+0.17%)

    - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,203.61 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ก.ค.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ก.ค.59) ปิดที่ 47.43 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.8%

   - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ก.ค.59) ที่ 5.13 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 35.17 แข็งค่าจากวานนี้ นลท.เทขายดอลล์-เยนหันลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง,รอดูตัวเลขศก.สหรัฐ

      - ตลาดหุ้นสำคัญของโลกยังคงทรุดต่อดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้ารูดกว่า 100 จุด เงินปอนด์ต่ำสุดในรอบ 31 ปีและบริษัทประกันรายใหญ่ของอังกฤษ 3 แห่งได้ระงับการซื้อขายและการไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์สหราชอาณาจักรของบริษัท นักกลยุทธ์จาก จูเลียส เบเออร์ กรุ๊ป ไพรเวท แบงก์กิ้ง สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ระบุ ค่าเงินเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นนำหน้าสกุลเงินอื่น และอาจจะแข็งค่าขึ้นรุนแรงในอีก 3 เดือนข้างหน้า แม้ว่าวันที่ 6 ก.ค.จะยังอ่อนค่าอยู่ที่ 100.98 เยน/เหรียญสหรัฐหลังนักลงทุนแห่ซื้อเงินเยนก็ตาม

    - อธิบดีกรมสรรพากร เผยปัจจุบันมีผู้ประกอบการยื่นเสียภาษีและได้ลดหย่อนตามสิทธิของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กับกรมสรรพากรประมาณ 800 แห่ง แต่มีผู้ประกอบการที่ยังเสีย ภาษีไม่ถูกต้องเพียง 40 แห่ง คิดเป็นเงินภาษีที่จะต้องจ่ายให้ถูกต้องประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งทางกรมสรรพากรได้ส่งหนังสือไปถึงกิจการดังกล่าวทุกแห่งให้มาดำเนินการปรับปรุงการเสียภาษีให้ถูกต้อง

      - บอร์ด กนง.มองเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยง พบคนไทยใช้จ่ายน้อยหมวดบันเทิงและนันทนาการ โดยเฉพาะท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งปกติเป็นหมวดนี้มีการใช้จ่ายสูง ห่วงบั่นทอนศักยภาพการขยายตัวเศรษฐกิจไทยระยะยาว ขณะเดียวกัน หนี้เสียเพิ่มกลุ่มลูกค้า SME-อุปโภคบริโภค รวมถึงเริ่มเห็นหนี้ค้างชำระมากขึ้นในสินเชื่อทุกประเภท

      - เอชเอสบีซีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้าเหลือ 2.8% จาก 3% และ 3.1% หลังเศรษฐกิจโลกเสี่ยงมากขึ้น กดดันกนง.ลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ก.ย.เพื่อประคองเศรษฐกิจ-ดูแลค่าบาท

     - สคบ. อยู่ระหว่างปรับปรุงสัญญาธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญาฉบับใหม่ สาระสำคัญคือ การปรับปรุงเกี่ยวกับการคิดอัตราดอกเบี้ยปรับ และการคิดค่าธรรมเนียมการติดตามทวงถามหนี้ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพ.ร.บ. การทวงถามหนี้ฉบับใหม่ และกฎหมายห้ามคิดอัตราดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือไม่เกิน 15% รวมถึงความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันให้เป็นไปตามกฎหมายค้ำประกันฉบับใหม่ด้วย

     - สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือน มิ.ย. 2559 ว่า สามารถจัดเก็บรายได้ 2.36 แสนล้านบาท เกินกว่าเป้าหมาย 1.6 หมื่นล้านบาท หรือ 7.4% โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 6,000 ล้านบาท และมีรายได้พิเศษจากค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มอีก 9,000 ล้านบาท รวมถึงการจัดเก็บภาษีรถยนต์ ภาษีน้ำมัน และ ภาษียาสูบที่มีทิศทางที่ดีขึ้น

*หุ้นเด่นวันนี้

                - TASCO (เคจีไอ) "ซื้อ"เป้า 38.85 บาท แม้กำไรใน 2Q16 มีแนวโน้มต่ำกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งผลของeffective tax rate ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2016 ลง 13.5% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งตั้งแต่ 2H16 เป็นต้นไป คาดจะหนุนให้กำไรฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2017 ราคาหุ้นยังถือว่าถูก โดยคิดเป็น P/E เพียงแค่ 9.5x เท่านั้น ในขณะที่หุ้นอื่นในกลุ่มซื้อขายอยู่ที่ระดับ 12-15x

    - CK (ไอร่า) เป้า 32.75 บาท ลงนามงานส่วนเพิ่มของโครงการไซยบุรี “Variation Order" – VO มูลค่า ประมาณ 19,400 ล้านบาท เกิดจากการปรับแบบจาก Original Design คาด Backlog เพิ่มขึ้นจาก 77,554 ล้านบาท เป็นประมาณ 96,964 ล้านบาท เพียงพอต่อการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปีข้างหน้า คาดช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน/ความล่าช้า/การชะลอเปิดประมูลโครงการภาครัฐได้ในระดับหนึ่ง งานส่วนเพิ่มมูลค่า 14,000 ล้านบาท เป็นงานที่ทำเสร็จแล้ว เบื้องต้นคาด CK มีโอกาสรับรู้รายได้ดังกล่าวทั้งจำนวนใน 3Q/59 ทำให้เติบโตโดดเด่น

   - IVL (แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" เป้า 36.4 บาท มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการเดินหน้ารุกเข้าซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พร้อมคาด 2Q59 กำไรเติบโตสูงจากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น มี GPM ที่ดี หนุนด้วยกำไรจากสต็อกและ M&A เทคนิคประเมินแนวต้าน 33 บาท แนวรับ 31 บาท ตัดขาดทุน 29 บาท

    - TISCO (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เพิ่มเป้าเป็น 53 บาท คาดกำไร 2Q59 ที่ 1,286 ล้านบาท ดีขึ้น 2%QoQ และ 28%YoY โดยสินเชื่ออาจหดตัวต่อ แต่ NIM ยังทรงตัวอยู่ได้ ขณะที่คาดว่า NPL จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อจากไตรมาสก่อน ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญลดลงเล็กน้อย คาดเห็นแนวโน้มลักษณะเดียวกันนี้ไปจนถึงสิ้นปี 59 ขณะนปี 60 คาดว่าสินเชื่อจะกลับมาเป็นบวกได้บ้างแล้ว จึงปรับประมาณการกำไรปี 60 ขึ้นอีกเล็กน้อย

ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ ขานรับเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย

     ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ ขานรับรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า คณะกรรมการเฟดเห็นพ้องให้ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเฟดจะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่อังกฤษลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

   ดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 128.71 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.10 น.ตามเวลาโตเกียว

   ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 15,346.81 จุด ลดลง 32.18 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,009.35 จุด ลดลง 7.94 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,606.68 จุด เพิ่มขึ้น 111.39 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,605.38 จุด เพิ่มขึ้น 29.63 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,963.30 จุด เพิ่มขึ้น 10.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,859.81 จุด ลดลง 4.86 จุด ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ

       นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 56.5 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.9 ในเดือนพ.ค.

     ขณะที่บริษัทมาร์กิต อีโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการของสหรัฐ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.4 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 51.3 ในเดือนพ.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : หุ้นกลุ่มแบงก์ร่วง ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 81.78 จุด

    ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) จากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ และหุ้นกลุ่มธนาคาร

      ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 81.78 จุด หรือ 1.25% แตะที่ 6,463.59 จุด

      ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยส่วนหุ้นยูบีเอส กรุ๊ป และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง ปรับตัวลงเช่นกัน

      นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มประกันยังร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบ Brexit โดยหุ้นอวีว่า และหุ้นพรูเดนเชีย ต่างก็ร่วงลงกว่า 4.3%

     ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน อันเป็นผลพวงมาจาก Brexit โดยหุ้นบาร์เร็ตต์ ดีเวลล็อปเมนท์ส และหุ้นเทย์เลอร์ วิมเพย์ ต่างก็ร่วงลงมากกว่า 4.5%

       หุ้นโกรเซอร์ส เทสโก้ และหุ้นดับเบิ้ลยูเอ็ม มอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ตส์ ลดลงมากกว่า 7.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของเอสเอสบีซี โฮลดิ่งส์ ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว

     หุ้นกลุ่มเหมืองแร่นำโดยหุ้นเฟรนิลโล และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4.3% เพราะได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาโลหะมีค่า

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุหุ้นแบงก์ร่วงจากความวิตก Brexit

  ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) โดยตลาดปิดลบติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลที่ว่า การที่อังกฤษลงมติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะภาคธนาคารของอิตาลี

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.7% ปิดที่ 318.76 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,085.30 จุด ลดลง 78.12 จุด หรือ -1.88% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,373.26 จุด ลดลง 159.35 จุด หรือ -1.67% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,463.59 จุด ลดลง 81.78 จุด หรือ -1.25%

     ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงเนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นเครดิต สวิส ร่วงลง 1.7% ปิดที่ระดับต่ำกว่า 10 ฟรังก์สวิส (10.23 ดอลลาร์สหรัฐ) เป็นครั้งแรก ขณะที่หุ้นดอยช์แบงก์ ดิ่งลง 5.6% หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ ปรับลง 3.6% ส่วนหุ้นยูบีเอส กรุ๊ป และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง ปรับตัวลงเช่นกัน

     นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มประกันยังร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบ Brexit โดยหุ้นอวีว่า และหุ้นพรูเดนเชีย ต่างก็ร่วงลงกว่า 4.3%

    ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารอิตาลีที่กำลังเผชิญกับความกดดันหลังจากอังกฤษลงมติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป โดยธนาคารกลางอิตาลีเปิดเผยว่า ภาคธนาคารของอิตาลีกำลังได้รับผลกระทบจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หรือหนี้เสีย ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงราว 3.60 แสนล้านยูโร หนี้เสียดังกล่าวคิดเป็น 18.1% ของเงินกู้ทั้งหมดที่ปล่อยให้กับผู้บริโภค และประมาณ 2.10 แสนล้านยูโรในจำนวนดังกล่าวนั้นเป็นเงินกู้ที่ปล่อยโดยธนาคารที่ใกล้ล้มละลาย

     สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น กระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของเยอรมนีในเดือนพ.ค.ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้น 1%

     นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ก่อนที่เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 26-27 ก.ค.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 78 จุด หลังเฟดยืนยันชะลอขึ้นดอกเบี้ย

    ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) ขานรับรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า คณะกรรมการเฟดเห็นพ้องให้ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเฟดจะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่อังกฤษลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ รวมถึงดัชนี PMI ภาคบริการที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,918.62 จุด เพิ่มขึ้น 78.00 จุด หรือ +0.44% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,859.16 จุด เพิ่มขึ้น 36.26 จุด หรือ+0.75% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,099.73 จุด เพิ่มขึ้น 11.18 จุด หรือ +0.54%

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า คณะกรรมการเฟดเห็นพ้องกันว่าควรมีการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป จนกว่าเฟดจะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจาก Brexit ทั้งนี้ เฟดประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 มิ.ย. ก่อนที่อังกฤษจะลงประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.

   รายงานการประชุมของเฟดยังได้ระบุถึงตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซาของสหรัฐว่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เฟดตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยในเดือนที่แล้ว

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 56.5 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.9 ในเดือนพ.ค.  โดยได้รับแรงหนุนจากการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่ที่พุ่งขึ้น

      ขณะที่บริษัทมาร์กิต อีโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการของสหรัฐ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.4 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 51.3 ในเดือนพ.ค.

    หุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านทะยานขึ้นขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยหุ้น Amazon.com พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นโฮม ดีโปท์ ปรับขึ้น 1.7% หุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ พุ่งขึ้น 3.1% หุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน และหุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ต่างก็ปรับตัวขึ้นกว่า 1%

     ส่วนหุ้นสายการบินอเมริกัน แอร์ไลนส์ ร่วงลง 2% และหุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ดิ่งลง 2.4% หลังจากนักวิเคราะห์ของเครดิต สวิสได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นสายการบินทั้งสองแห่ง

     หุ้น Netflix ร่วงลง 3.4% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เจฟเฟอรีส์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว

     นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ในวันนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย และจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ก่อนที่เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 26-27 ก.ค.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!