WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET12ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ กังวลเฟดจะขึ้นดบ.หลังยอดค้าปลีกสหรัฐดีมาก,จับตา GDP ไทยวันนี้

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย ขณะที่ตลาดสหรัฐฯปิดเมื่อวันศุกร์ติดลบ เนื่องจากมีความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้า หลังจากที่ยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี ด้านตลาดในยุโรปก็ปิดบวก หลังจากที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ออกมาดี โดยเฉพาะ GDP ของเยอรมนีที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่องเศรษฐกิจไป แต่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงก็เป็นส่วนหนึ่งที่กดดันตลาดสหรัฐฯให้ปรับตัวลงด้วย

     อย่างไรก็ดี สำหรับบ้านเราวันนี้ให้ติดตามตัวเลข GDP งวดไตรมาส 1/59 ของไทยที่จะออกมา ซึ่งจะต้องรอดูว่าจะออกมาดีกว่าคาดหรือไม่ โดยทาง"ทิสโก้"คาดจะโต 3.0% แต่ตลาดคาดโต 2.8% ซึ่งหากออกมาดีกว่าคาดจะทำให้มีแรงซื้อหนุนในระยะสั้น เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือน และยังกังวลจะมีการปรับลดพอร์ตตาม MSCI ด้วย

พร้อมให้แนวรับ 1,390-1,394 จุด ส่วนแนวต้าน 1,405-1,410 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 พ.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,535.32 จุด ร่วงลง 185.18 จุด (-1.05%),ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,717.68 จุด ลดลง 19.65 จุด (-0.41%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,046.61 จุด ลดลง 17.50 จุด (-0.85%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 18.48 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 8.60 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.26 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 20.29 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 5.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 10.33 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ ลดลง 16.25 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,382.43 จุด ลดลง 54.36 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 พ.ค.59) 1,394.69 จุด ลดลง 4.62 จุด (-0.33%)

    - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,113.59 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 พ.ค.59

    - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 พ.ค.59) ปิดที่ 46.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 49 เซนต์ หรือ 1.1%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 พ.ค.59) ที่ 4.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 35.43/45 ทรงตัวรอประกาศตัวเลข GDP ไทย Q1/59 มองกรอบ 35.30-35.60

      - วันนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานข้อมูลเศรษฐกิจประจำไตรมาสแรก ปี 2559 เติบโต 3.2% นับเป็นขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส ขณะที่ปรับประมาณการ GDP ปี 59 เป็นเติบโต 3.0-3.5% จากเดิมคาด 2.8-3.8%

      - ทริสประเมินธุรกิจแบงก์ปีนี้ยังมีแนวโน้มการชะลอตัวของสินเชื่อ-กำไรตามภาวะเศรษฐกิจ คาดทั้งปีสินเชื่อโตแค่ 3-5% ห่วงยอดสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันเพิ่มในต่างจังหวัดกระทบเอ็นพีแอล ด้านเช่าซื้อรถทรงตัว

     - ธปท.เผยในระบบมีปริมาณและมูลค่าเช็คทั้งสิ้น 5.3 ล้านฉบับ 2.93 ล้านล้านบาท ผลจากการชะลอตัวเศรษฐกิจไทยส่งผลให้ธุรกรรมเช็คไม่คึกคักในทุกพื้นที่ปริมาณและมูลค่าเช็คลดลง เช็คทุกช่วงมูลค่าทั้งปริมาณและมูลค่าหดตัว พบเช็คเรียกเก็บข้ามจังหวัดหดตัวมากที่สุด รวมถึงมูลค่าเช็คคืนรวมและเช็คเด้งต่อเช็คเรียกเก็บก็เพิ่มขึ้นด้วย

     - นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า สมาคมได้มีการปรับลดเป้าการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยในปีนี้ใหม่เหลือ 2.2% หรือมีเบี้ยรับตรงประมาณ 2.13 แสนล้านบาท จากต้นปีที่ตั้งเป้าเติบโตไว้ 3.5% เท่ากับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ประเมินไว้เมื่อต้นปี

      - กสทช.ยันเอไอเอส-ทรู ยุติลงนามเอ็มโอยูคุ้มครองผู้ใช้บริการกรณีสิ้นสุดสัมปทานคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ หลังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้ ขณะที่บอร์ดเอไอเอสเมินอนุมัติให้ดำเนินการ หวั่นเอ็มโอยูทำให้เสียประโยชน์ ด้านทรูไม่พอใจร่างที่ เอไอเอสส่งให้พิจารณา สวนทางประชุมร่วม 'วิษณุ' ที่โน้มน้าวให้ เอไอเอสลงนาม

     - นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้ไปหารือกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงการดำเนินโครงการสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุในลักษณะการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Reverse Mortgage) ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสังคมชราที่กำลังเกิดขึ้นในไทย กระทรวงการคลังจึงอยากให้แบงก์รัฐ ธนาคารพาณิชย์หรือแม้แต่บริษัทประกันภัย ออกผลิตภัณฑ์มาแข่งขันกัน โดยทางกระทรวงการคลังจะพยายามสรุปให้ได้ภายในปีนี้ เพราะเรื่องนี้มีแนวคิดกันมานาน แต่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในไทย

*หุ้นเด่นวันนี้

      - AAV (ฟินันเซีย ไซรัส) "สะสม"ปรับเป้าขึ้นเป็น 6.90 บาท กำไรที่ดีเกินคาดมากใน 1Q59 จากความสามารถในการบริหารต้นทุนน้ำมัน ทำให้ปรับกำไรปี 2559-2560 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 20% เป็นโต 74% Y-Y ปีนี้และ +4% Y-Y ปีหน้า โดยปรับค่าใช้จ่ายน้ำมันลงเฉลี่ยปีละ 8% ราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นในระยะถัดไปมีผลกระทบจำกัดต่อผลประกอบการปีนี้เพราะบริษัท hedge แล้ว 70% และทยอย hedge สำหรับปีหน้า ทั้งนี้ราคาหุ้นที่พักฐานตาม low season ใน Q2-Q3 จะเป็นโอกาสในการทยอยสะสม

     - ERW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"ปรับเป้าขึ้นเป็น 5.50 บาท กำไรที่แข็งแกร่งกว่าคาดใน 1Q59 (+86% Q-Q, +37% Y-Y) ทำให้ปรับกำไรปกติปีนี้ขึ้นอีก 6% เป็นโตถึง 71% Y-Y แนวโน้ม 2Q-3Q59 ซึ่งเป็น low season ตามปกติมักขาดทุน แต่ในปีนี้อาจมีกำไรจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังเติบโตอย่างโดดเด่น

    - THAI (ยูโอบี เคย์เฮียน) ได้รับผลบวกจากการท่องเที่ยวที่ยังแรงต่อเนื่อง ต้นทุนลดลงจากการปฏิรูปองค์กรในปี 58 และการรับรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่ต่ำเต็มที่เมื่อเทียบกับปี 58 ที่ทำประกันราคาน้ำมันในระดับสูงที่ 80-90 เหรียญ/บาร์เรล

     - KCE (ยูโอบี เคย์เฮียน) ได้ผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนเนื่องจากส่งออกกว่า 95% อีกทั้งคาดผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึง 3Q59 เนื่องจากแนวโน้มคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการลดราคาสินค้า ซึ่งจะไม่กระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นเนื่องจากประสิทธิภาพของเครื่องจักรในโรงงานใหม่ที่ดีขึ้นและผลแห่งการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)

     - HMPRO (โกลเบล็ก) เป้า 8.80 บาท ปี 59 บริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 9-10 สาขา แบ่งเป็นสาขาโฮมโปร 5 สาขารวมเป็น 80 สาขา สาขาเมกาโฮม 3-4 สาขาเพื่อเพิ่มเป็น 10-11 สาขา และสาขาในมาเลเซีย เพิ่มอีก 1 สาขา รวมเป็น 2 สาขาภายในปลายปี พร้อมคาดการณ์รายได้ปี 59 ราว 5.8 หมื่นล้านบาทซึ่งเติบโต 12% กำไรสุทธิปี 59 ที่ราว 3.8 พันล้านบาทซึ่งเติบโต 10% และจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับดีขึ้นจากสาขาเมกาโฮมที่ปรับดีขึ้นจนล้างขาดทุนสะสมได้หมด

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบ หลังจีนเผยข้อมูลศก.ซบเซา, วิตกเฟดขึ้นดอกเบี้ย

     ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากทางการจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมถึงผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า หลังจากสหรัฐเผยยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในรอบ 1 ปี

     ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ปรับตัวลง 0.2% แตะที่  397.3300  จุด เมื่อเวลา 09.10 น.ตามเวลาโตเกียว

       ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,035.21 จุด ลดลง 18.48 จุด, -0.23% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,726.31 จุด ลดลง 8.60 จุด, -0.31% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,628.52 จุด เพิ่มขึ้น 0.26 จุด, +0.02% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,391.92 จุด ลดลง 20.29 จุด, -0.12% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,961.91 จุด ลดลง 5.08 จุด, -0.26%

     ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศษฐกิจที่ซบเซาของจีน โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. ขยายตัว 6% เทียบเป็นรายปี โดยตัวเลขดังกล่าวชะลอตัวลงจากเดือนมี.ค.ที่ขยายตัวแข็งแกร่งถึง 6.8%

     ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 10.1% เทียบเป็นรายปี โดยตัวเลขดังกล่าวชะลอตัวลงจากเดือนมี.ค.ที่มีการขยายตัว 10.5%

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือมิ.ย. หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : หุ้นเทสโก้พุ่งแรง หนุนฟุตซี่ปิดบวก 34.31 จุด

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเทสโก้ รวมทั้งรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ

                ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,138.50 จุด เพิ่มขึ้น 34.31 จุด หรือ +0.56%

                ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงหนุนจากหุ้นเทสโก้ที่พุ่งขึ้น 3.89% ซึ่งปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นบลูชิพ

                ขณะที่หุ้นเฟรสนิลโล พุ่งขึ้น 3.72% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ดีดขึ้น 3.35% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับขึ้น 1.92%

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

                ทั้งนี้ ข้อมูลค้าปลีกที่แข็งแกร่งของสหรัฐและการพุ่งขึ้นของหุ้นเทสโก้สามารถสกัดปัจจัยลบจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ สู่ระดับ 2.0% จากเดิมที่ 2.2% ส่วนในปี 2017 ได้ปรับลดคาดการณ์ลงสู่ระดับ 2.3% จากระดับ 2.4% และในปี 2018 ปรับลดลงสู่ระดับ 2.3% จากระดับ 2.5%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับข้อมูลศก.สหรัฐ,เยอรมนีแข็งแกร่ง

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี รวมทั้งรายงานที่ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวรวดเร็วขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐและเยอรมนี

                ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 334.68 จุด โดยตลอดทั้งสัปาดห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้นทั้งสิ้น 0.9%

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,319.99 จุด เพิ่มขึ้น 26.72 จุด หรือ +0.62% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,952.90 จุด เพิ่มขึ้น 90.78 จุด หรือ +0.92% ดัชนี FTSE 00 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,138.50 จุด เพิ่มขึ้น 34.31 จุด หรือ +0.56%

                ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.5% โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้นแข็งแกร่งนั้น มาจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

                ขณะที่สำนักงานถิติแห่งชาติของเยอรมนีเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัว 0.7% ซึ่งขยายตัวรวดเร็วกว่าช่วงไตรมาส 4/2558 ที่มีการขยายตัวเพียง 0.3% นอกจากนนี้ GDP ไตรมาสแรกของเยอรมนีขยายตัวได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.6%

                รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ปัจจัยที่ช่วยหนุน GDP ไตรมาสแรกให้ขยายตัวอย่างรวดเร็วนั้น มาจากการลงทุนด้านการก่อสร้างและสินค้าทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถชดเชยการชะลอตัวของมูลค่าการค้าต่างประเทศ

                หุ้น EON ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 2.91% หุ้นเมิร์ก ดีดตัวขึ้น 2.25% หุ้นคอนติเนนตัล ปรับขึ้น 1.9% และหุ้นดอยช์ เทเลคอม เพิ่มขึ้น 1.76%

                อย่างไรก็ตาม หุ้นอาดิดาส ร่วงลง 3% หุ้นบีเอ็มดับเบิลยู ร่วงลง 2.58%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดร่วง 185.18 จุด วิตกยอดค้าปลีกสหรัฐพุ่งหนุนเฟดขึ้นดบ.

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี โดยนักลงทุนกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,535.32 จุด ร่วงลง 185.18 จุด หรือ -1.05% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,717.68 จุด ลดลง 19.65 จุด หรือ -0.41% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,046.61 จุด ลดลง 17.50 จุด หรือ -0.85%

                ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 1.2% ดัชนี S&P 500 ปรับลง 0.5% และดัชนี NASDAQ ลดลง 0.4%

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ข้อมูลค้าปลีกที่แข็งแกร่งของสหรัฐอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.5% โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้นแข็งแกร่งนั้น มาจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

                ตลาดได้รับแรงกดดันอยู่แล้ว จากการที่นายเอริค โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตันได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายโรเซนเกรนยังกล่าวด้วยว่า ตลาดการเงินกำลังประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับช่วงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมองในแง่ลบมากเกินไปเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการอ่อนตัวลงของราคาน้ำมันดิบ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงมากกว่า 1% ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ หลังจากมีรายงานว่า แคนาดาเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตน้ำมันดิบได้อีกครั้ง หลังจากที่แหล่งผลิตน้ำมันได้รับผลกระทบจากวิกฤตไฟป่า

                หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง นำโดยหุ้นนอร์ดสตรอม ห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 13% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายช่วงไตรมาสแรกที่อ่อนแอเกินคาด ขณะที่หุ้นเจซี เพนนี ร่วงลง 2.8% หุ้น Nvidia ดิ่งลง 15% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่

                หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์เปิดเผยว่า น้ำมันดิบของบริษัทกว่า 2,100 บาร์เรลได้รั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก

                อย่างไรก็ตาม หุ้นแอปเปิลปิดตลาดดีดตัวขึ้น หลังจากแอปเปิลประกาศลงทุนในบริษัทตีตี ชูสิง (Didi Chuxing) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการเรียกรถแท็กซี่รายใหญ่ของจีนในวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการลงทุนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แอปเปิลให้ความสนใจต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของตีตี และยังสะท้อนความเชื่อมั่นของแอปเปิลที่มีต่อเศรษฐกิจจีนในระยะยาว

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 13 พ.ค.2559

          ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 17,535.32 จุด ลดลง 185.18 จุด, -1.05%

          ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,717.68 จุด ลดลง 19.65 จุด, -0.41%

          ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,046.61 จุด ลดลง 17.50 จุด, -0.85%

          ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,319.99 จุด เพิ่มขึ้น 26.72 จุด, +0.62%

          ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,952.90 จุด เพิ่มขึ้น 90.78 จุด, +0.92%

          ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,138.50 จุด เพิ่มขึ้น 34.31 จุด, +0.56%

          ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 25,489.57 จุด ลดลง 300.65 จุด, -1.17%

          ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,628.26 จุด ลดลง 20.72 จุด, -1.26%

          ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 2,734.91 จุด ลดลง 10.48 จุด, -0.38%

          ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,761.72 จุด ลดลง 41.60 จุด, -0.87%

          ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 19,719.29 จุด ลดลง 196.17 จุด, -0.99%

          ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 7,436.79 จุด เพิ่มขึ้น 111.75 จุด, +1.53%

          ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,827.11 จุด ลดลง 8.75 จุด, -0.31%

          ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,329.00 จุด ลดลง 30.30 จุด, -0.57%

          ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,396.30 จุด ลดลง 27.10 จุด, -0.50%

          ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,966.99 จุด ลดลง 10.50 จุด, -0.53%

          ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 16,412.21 จุด ลดลง 234.13 จุด, -1.41%

          ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 8,053.69 จุด ลดลง 54.36 จุด, -0.67%

          

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี โดยนักลงทุนกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย

          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,535.32 จุด ร่วงลง 185.18 จุด หรือ -1.05% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,717.68 จุด ลดลง 19.65 จุด หรือ -0.41% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,046.61 จุด ลดลง 17.50 จุด หรือ -0.85%

        

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี รวมทั้งรายงานที่ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวรวดเร็วขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐและเยอรมนี

          ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 334.68 จุด โดยตลอดทั้งสัปาดห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้นทั้งสิ้น 0.9%

          ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,319.99 จุด เพิ่มขึ้น 26.72 จุด หรือ +0.62% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,952.90 จุด เพิ่มขึ้น 90.78 จุด หรือ +0.92% ดัชนี FTSE 00 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,138.50 จุด เพิ่มขึ้น 34.31 จุด หรือ +0.56%

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเทสโก้ รวมทั้งรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ

          ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,138.50 จุด เพิ่มขึ้น 34.31 จุด หรือ +0.56%

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) หลังจากมีรายงานว่า แคนาดาเริ่มกลับมาผลิตน้ำมันดิบอีกครั้ง หลังจากที่แหล่งผลิตน้ำมันในฟอร์ท แมคเมอร์เรย์ของแคนาดาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟป่าในช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้

          สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 49 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 46.21 ดอลลาร์/บาร์เรล

          สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 25 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 47.83 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งของสหรัฐอาจเป็นแรงผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้

          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.5 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 1,272.70 ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวลงทั้งสิ้น 1.65%

          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.90 เซนต์ หรือ 0.17% ปิดที่ 17.132 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 1.90 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 1,052.10 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 4.25 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ปิดที่ 592.40 ดอลลาร์/ออนซ์

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกลนี้

          สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.1305 ยูโร จากระดับของวันพฤหัสบดีที่  1.1378 ยูโร และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.4360 ปอนด์ จากระดับ 1.4447 ปอนด์ นอกจากนี้ ยังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลียที่ระดับ 0.7265 ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.7326 ดอลลาร์ออสเตรเลีย

          หากเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 108.65 เยน จากระดับ 108.06 เยน แต่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9757 ฟรังค์ จากระดับ 0.9703 ฟรังค์

ดัชนี ค่าระวางเรือ BDI ปิดวันทำการล่าสุดที่ 600.00 จุด เพิ่มขึ้น 21.00 จุด, +3.63%

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!