WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET32ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงตามภูมิภาค-จับตาจีนหลังเลิกใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์

     นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างติดลบอยู่แต่ก็ไม่มาก โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่จีนที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ภายหลังจากที่จีนได้ยกเลิกการการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ และมีการออกมาตรการเสริมในการห้ามผู้ถือหุ้นขายหุ้นออกเกิน 1% จากมาตรการเดิมที่มีการห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นออกเป็นระยะเวลา 6 เดือนและได้ครบกำหนดในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ดังนั้นจะต้องจับตาดูว่าการปรับตัวลงของดัชนีฯแล้วจะสามารถเด้งขึ้นมาได้หรือเปล่า

       นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบถ้ายังเป็นขาลงอยู่ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานยังปรับตัวลงได้ และการไถ่ถอนหน่วยลงทุนของกองทุน LTF, RMF จะยังเป็นตัวที่ทำให้ Upside ของตลาดฯมีจำกัด

      อย่างไรก็ดี นักลงทุนก็ยังสามารถเลือกเล่นหุ้นได้เป็นรายตัว พร้อมให้แนวรับ 1,200 จุด ส่วนแนวต้าน 1,250 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(7 ม.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,514.10 จุด ลดลง 392.41 จุด(-2.32%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,689.43 จุด ลดลง 146.34 จุด(-3.03%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,943.09 จุด ลดลง 47.17 จุด(-2.37%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 205.11 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 69.63 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 158.54 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 40.86 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 14.91 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 19.58 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 4.10 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ ลดลง 30.80 จุด

       - สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ประกาศระงับการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ โดยมีผลตั้งแต่วันนี้

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(7 ม.ค.59)1,224.83 จุด ลดลง 35.21 จุด(-2.79%)

      - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,507.99 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ม.ค.59

      - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(7 ม.ค.59) ปิดที่ 33.27 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 70 เซนต์ หรือ 2.1%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(7 ม.ค.59)ที่ 10.51 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 36.25 กลับมาแข็งค่าตามภูมิภาค หลังจีนปรับค่ากลางเงินหยวน

   - "ธนวรรธน์ พลวิชัย"รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนช่วงปีใหม่และมาตรการช็อปปิ้งลดหย่อนภาษี 1.5 หมื่นบาท จากกลุ่มตัวอย่าง 208 ตัวอย่าง พบว่ามีผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 1.86 ล้านคน จากผู้มีสิทธิที่เสียภาษี 3.25 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัด 1.75 หมื่นล้านบาท ได้อานิสงส์ไป 6,957 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินที่มีการซื้อเพิ่มเติมถึง 1.09 หมื่นล้านบาท รัฐเสียรายได้ไป 3,188 ล้านบาท

    - แบงก์ชาติมองปัจจัยภายนอก "จีน-ตะวันออกกลาง" ทำตลาดค่าเงินผันผวน ยอมรับความเสี่ยงในตลาดการเงินโลกมากขึ้น แต่ค่าบาทยังเกาะกลุ่มภูมิภาค แนะเอกชนจับตาใกล้ชิด

     - กสทช.โชว์มูลค่าตลาดทีวีดิจิตอล 11 เดือนปี'58 อยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท พร้อมเผยการลงโฆษณาในช่องฟรีทีวีใหม่ชิง ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 70% สวนทาง 6 ช่องฟรีทีวีเดิมลดลงกว่า 12% ส่วนช่อง 7 เอชดียังแชมป์เรตติ้งเดือน ธ.ค.

     - "พิชัย ถิ่นสันติสุข"ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)เผยวันที่ 8 มกราคมนี้ จะหารือร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)เพื่อประชุมร่างประกาศข้อกำหนดเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรม รวม 550 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนรวม 82,500 ล้านบาท ก่อนที่ กกพ.จะออกประกาศข้อกำหนดอย่างเป็นทางการ เพื่อให้การออกข้อกำหนดผลิตไฟฟ้าจากขยะให้เกิดความรัดกุมและรอบคอบ เพราะล่าสุดมีกระแสข่าวว่ามีนายหน้าในวงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เริ่มออกมาเร่ขายใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากขยะประมาณ 70% ของปริมาณไฟฟ้าที่ 357 เมกะวัตต์ หลังมีการประสานกับเทศบาลต่างๆ ที่เป็นเจ้าของขยะ เพื่อขายต่อให้กับ ผู้ที่สนใจลงทุนแต่ไม่มีความสามารถหรือไม่มีเครือข่ายเพียงพอ

      - คมนาคมสั่งศึกษา ความคุ้มค่ารถเมล์ไฟฟ้านำร่อง 200 คัน เตรียมเสนอ ครม.พิจารณา ก.พ.นี้ ด้าน ขสมก.เดินหน้าพิจารณาทีโออาร์ซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน คาด ก.พ. ประกวดราคา รับรถ ส.ค.นี้

      - หอการค้า เผย ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 76.1 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างต่อเนื่องเป็น 3 และสูงสุดรอบ 7 เดือนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจช็อปปิ้งลดหย่อนภาษี ช่วยกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เผยเงินสะพัด 1.75 หมื่นล้านหนุนจีดีพีเพิ่ม 0.1% จับตาเศรษฐกิจโลกผันผวน-ส่งออกเดี้ยง-ภัยแล้งฉุด

*หุ้นเด่นวันนี้

     - KCE(ธนชาต)"ซื้อ"เป้า 85 บาท ธุรกิจ PCB ในอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตแกร่ง 7.4% ต่อปี และอัตรากำไรเร่งตัว จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 23% ต่อปี ช่วง 2016-18

    - SVI(ยูโอบี เคย์เฮียน)งบ Q3 ออกมาดีแล้ว ต่อไปงบ Q4 จะเข้าสู่ช่วงพีค ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ส่งออกง่ายขึ้นและไม่ส่งออกไปจีน ทำให้ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวมีค่อนข้างน้อยต่อ SVI ส่วนปีนี้จะเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่เหมือนก่อนช่วงไฟไหม้ ประกอบกับ demand จากยุโรปยังแข็งแกร่งอยู่และปีหน้าจะได้ลูกค้าใหม่จากอเมริกามา 6 ราย เป็นรายได้เสริมถึง 1,200 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรมีโอกาสจะโตถึง 32%ในปีหน้า แถม PE ของSVI ปัจจุบัน 11.6 เท่า ถูกกว่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 12.6 เท่าด้วย

     - CPN(โกลเบล็ก)เป้า 65 บาท คาดการณ์กำไรปี 58 +16%YoY เป็น 8.5 พันล้านบาท จากแผนเปิดสาขาใหม่ปีละ 2-3 แห่ง โดยปี 58 จะเปิดสาขาใหม่ 3 แห่งที่ระยอง บางใหญ่ และสาขาถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ล่าสุดมีแผนเข้าซื้อโครงการเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ตเฟส 1 มูลค่า 6.3 พันลบ.เพื่อต่อยอดพัฒนาร่วมกับเฟส 2 ที่จะเปิดในปี 60

     - TPCH(ซีไอเอ็มบี)"ซื้อ"เป้า 29 บาท มีมูลค่าหุ้นน่าสนใจหลังถูกเทขาย และเล็งเห็น upside เพิ่มเติมเมื่อการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จและ PTG ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการทั้งหมดยังคืบหน้าตามแผน

     - AP(เออีซี)"ซื้อ"เป้า Consensus 8.0 บาท ปี 59 คาดกำไรโต 10%YoY และโตต่อ 21.9%YoY ในปี 60 จากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆที่มากขึ้น รวมถึงการรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมทุนราว 1 พันลบ.ในปี 60 ขณะที่ปัจจุบัน Trade ที่ Forward PER 5.8x +มี Upside 45% และคาดให้ Div. yield ปีละ 6.1%

     - MAJOR(เออีซี)"ซื้อ"ป้า 35.7 บาท ปี 59 คาดกำไรปกติโต 22%YoY จาก Blockbuster ที่โดดเด่น โดยเฉพาะหนังแนว superhero หลายเรื่องที่จะเข้าฉายปีนี้  รวมถึงการขยายสาขาเชิงรุก โดยปี 58 ขยายไปแล้ว 80 โรง รวมเป็น 600 โรง และตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 1,000 โรงใน 5 ปีนี้  และปัจจุบันราคามี Upside 10.6% และคาดให้ Div. yield 3.8%

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงต่อเนื่อง ขณะนักลงทุนยังวิตกสถานการณ์จีน

     ตลาดหุ้นเอเชียยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของจีน แม้ว่าจีนได้ประกาศระงับใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์แล้วก็ตาม

      ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.2% สู่ระดับ 123.81 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.05 น.ตามเวลาโตเกียว

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 17,562.23 จุด ลดลง 205.11 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,194.63 จุด เพิ่มขึ้น 69.63 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,491.88 จุด เพิ่มขึ้น 158.54 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,811.20 จุด ลดลง 40.86 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,889.42 จุด ลดลง 14.91 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,710.33 จุด ลดลง 19.58 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,651.03 จุด ลดลง 4.10 จุด

      ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดค่ากลางเงินหยวนลงสู่ระดับระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนผันผวนอย่างหนัก จนจีนต้องประกาศระงับการซื้อขายตามกลไกเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 2 ครั้งในเวลาเพียง 4 วัน

     อย่างไรก็ดี คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ประกาศระงับการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์แล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดร่วง 119.30 จุด หลังตลาดหุ้นจีนทรุดหนัก

  ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) นำโดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมือง ท่ามกลางความปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลก อันเป็นผลมาจากการที่ตลาดหุ้นจีนระงับการซื้อขายอีกครั้งเมื่อวานนี้

    ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 119.30 จุด หรือ 1.96% ที่ 5,954.08 จุด   บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเป็นไปอย่างย่ำแย่ หลังจากการดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นจีน

    ดัชนี ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงไปกว่า 7% ในช่วงเช้าวานนี้ จนส่งผลให้ตลาดต้องใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ และประกาศยุติการซื้อขายตลอดทั้งวัน

     ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ในสัปดาห์นี้ที่จีนประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักนั้น มาจากการที่ธนาคารกลางจีนปรับลดค่ากลางเงินหยวนลงสู่ระดับระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อวานนี้

       ในเวลาต่อมา เมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ประกาศระงับการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ ซึ่งการประกาศระงับใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์มีขึ้น หลังจากที่เพิ่งมีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ในตลาดหุ้นจีนได้เพียง 4 วัน

       หุ้นกล่มเหมืองร่วงลงหนักสุด จากความวิตกเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้ทรัพยากรรายใหญ่ โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ดิ่งลง 11% และหุ้นเกลนคอร์ ร่วงกว่า 8% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวลง 5%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง เหตุวิตกตลาดหุ้นจีนดิ่งหนัก

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนประกาศระงับการซื้อขายเมื่อวานนี้ อันเนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนได้ฉุดหุ้นกล่มเหมืองแร่และกลุ่มรถยนต์ในตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงด้วย

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 2.2% ปิดที่ 346.51

     ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,979.85 จุด ร่วงลง 234.17 จุด หรือ -2.29% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,403.58 จุด ลดลง 76.89 จุด หรือ -1.72% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,954.08 จุด ดิ่งลง 119.30 จุด หรือ -1.96%

      ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้ประกาศระงับการซื้อขายเมื่อวานนี้ ตามกลไกเซอร์กิตเบรกเกอร์ ภายหลังดัชนีหุ้นร่วงลงไปกว่า 7%

      ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ในสัปดาห์นี้ที่จีนประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักนั้น มาจากการที่ธนาคารกลางจีนปรับลดค่ากลางเงินหยวนลงสู่ระดับระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อวานนี้

       ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนได้ฉุดหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน และหุ้นเกลนคอร์ ร่วงลง 8.3%

      ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู และหุ้นเดมเลอร์ ต่างก็ร่วงลงไปกว่า 3.8% ส่วนหุ้นโฟล์คสวาเกน ปรับลง 3.3% โดยราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องหลังจากมีรายงานว่า โฟล์คสวาเกน ค่ายรถสัญชาติเยอรมัน อาจถูกสั่งปรับเป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งฐานฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยอากาศบริสุทธิ์ (Clean Air Act) หลังพบว่ามีการแอบติดตั้งอุปกรณ์โกงการตรวจจับมลพิษไอเสียในรถยนต์ดีเซลเกือบ 600,000 คัน

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 392.41 จุด วิตกหุ้นจีน, ราคาน้ำมันดิ่ง

   ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดหุ้นจีน หลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนประกาศระงับการซื้อขายเมื่อวานนี้ อันเนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,514.10 จุด ลดลง 392.41 จุด หรือ -2.32% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,689.43 จุด ลดลง 146.34 จุด หรือ -3.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,943.09 จุด ลดลง 47.17 จุด หรือ -2.37%

    ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างตื่นตระหนก เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้ประกาศระงับการซื้อขายเมื่อวานนี้ ตามกลไกเซอร์กิตเบรกเกอร์ ภายหลังดัชนีหุ้นร่วงลงไปกว่า 7%

    ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ในสัปดาห์นี้ที่จีนประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักนั้น มาจากการที่ธนาคารกลางจีนปรับลดค่ากลางเงินหยวนลงสู่ระดับระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อวานนี้

     อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ประกาศระงับการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ โดยมีผลตั้งแต่วันศุกร์นี้ ซึ่งการประกาศระงับใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์มีขึ้น หลังจากที่เพิ่งมีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ในตลาดหุ้นจีนได้เพียง 4 วัน

  นายเติ้ง เขอ โฆษก CSRC ระบุในแถลงการณ์ว่า "ด้วยเหตุที่ในขณะนี้ ผลกระทบเชิงลบของมาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์มีมากกว่าผลในเชิงบวก ทางคณะกรรมการฯ จึงตัดสินใจที่จะระงับการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ เพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาด"

      นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณจากข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ม.ค. พุ่งขึ้น 17,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.219 ตรงข้ามกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลง

     หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเทคโนโลยีอ่อนแรงลง โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลงกว่า 4.2% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลง 4% ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงกว่า 4.2% และหุ้นยาฮูทรุดฮวบลง 6.2%

    หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นเชฟรอนปรับตัวลง 3.5% และหุ้นอานาดาร์โค ปิโตรเลียร่วงลง 8.4%

     นักลงทุนจับตาดูกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนธ.ค.ในวันนี้

    ส่วนเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้วซึ่งสิ้นสุดวันที่ 2 ม.ค. ปรับตัวลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 277,000 ราย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 275,000 ราย

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 7 ม.ค.2559

          ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 16,514.10 จุด                         ลดลง 392.41 จุด     -2.32%

          ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,689.43 จุด                      ลดลง 146.33 จุด     -3.03%

          ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,943.09 จุด                       ลดลง 47.17 จุด      -2.37%

          ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,954.08 จุด                   ลดลง 119.30 จุด     -1.96%

          ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,979.85 จุด                            ลดลง 234.17 จุด     -2.29%

          ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,403.58 จุด                        ลดลง 76.89 จุด      -1.72%

          ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,068.80 จุด    ลดลง 109.20 จุด     -2.11%

          ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,010.30 จุด          ลดลง 112.80 จุด     -2.20%

          ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 7,852.06 จุด                          ลดลง 138.33 จุด     -1.73%

          ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 17,767.34 จุด                    ลดลง 423.98 จุด     -2.33%

          ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,904.25 จุด                       ลดลง 21.18 จุด      -1.10%

          ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,618.88 จุด           ลดลง 195.02 จุด     -2.86%

          ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 20,333.34 จุด                              ลดลง 647.47 จุด     -3.09%

          ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,530.45 จุด      ลดลง 78.53 จุด      -1.70%

          ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 2,729.91 จุด                       ลดลง 74.36 จุด      -2.65%

          ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,655.13 จุด                      ลดลง 12.84 จุด      -0.77%

          ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 24,851.83 จุด                        ลดลง 554.50 จุด     -2.18%

 

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดหุ้นจีน หลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนประกาศระงับการซื้อขายเมื่อวานนี้ อันเนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง

          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,514.10 จุด ลดลง 392.41 จุด หรือ -2.32% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,689.43 จุด ลดลง 146.34 จุด หรือ -3.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,943.09 จุด ลดลง 47.17 จุด หรือ -2.37%

 

ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนประกาศระงับการซื้อขายเมื่อวานนี้ อันเนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนได้ฉุดหุ้นกล่มเหมืองแร่และกลุ่มรถยนต์ในตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงด้วย

          ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 2.2% ปิดที่ 346.51

          ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,979.85 จุด ร่วงลง 234.17 จุด หรือ -2.29% ดัชนีCAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,403.58 จุด ลดลง 76.89 จุด หรือ -1.72% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,954.08 จุด ดิ่งลง 119.30 จุด หรือ -1.96%

 

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) นำโดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมือง ท่ามกลางความปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลก อันเป็นผลมาจากการที่ตลาดหุ้นจีนระงับการซื้อขายอีกครั้งเมื่อวานนี้

          ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 119.30 จุด หรือ 1.96% ที่ 5,954.08 จุด

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศนำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป หลังจากมีรายงานว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย

          สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 70 เซนต์ หรือ 2.1% ปิดที่ 33.27 ดอลลาร์/บาร์เรล

          สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 48 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 33.75 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลกได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบทั้งในตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลียังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนแรงซื้อทองคำเช่นกัน

          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 15.9 ดอลลาร์ หรือ 1.45% ปิดที่  1,107.80 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 36.8 เซนต์ หรือ 2.63% ปิดที่ 14.344 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 2.5 ดอลลาร์ หรือ 0.29% ปิดที่ 877.50 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 12.50 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 493 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินเยนและยูโรเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) หลังจากการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นจีน ได้ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาต้องการสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น

          ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0925 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0793 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.4617 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4630 ดอลลาร์สหรัฐ

         ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 117.54 เยน จาก 118.43 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9933 ฟรังก์ จาก 1.0064 ฟรังก์

          ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7001 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7059 ดอลลาร์

           

ดัชนี ค่าระวางเรือ BDI ปิดวันทำการล่าสุดที่ 445.00 จุด ลดลง 22.00 จุด, -4.71%

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!