- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 14 October 2015 10:34
- Hits: 3533
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้ามีโอกาสปรับตัวลงจากแรง take profit หลังไร้ประเด็นใหม่
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้จากแรง take profit เนื่องจากตลาดฯยังไม่มีประเด็นใหม่เข้ามา ประกอบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ แต่จะอยู่ในแดนลบมากกว่า
ทั้งนี้ ตลาดเริ่มหันกลับมามองที่เศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจจีน หลังจากที่ตัวเลขการนำเข้าของจีนออกมาปรับตัวลงมาก 17-18% ทำให้มีการมองถึงไทยที่มีการส่งออกไปยังจีนมากเหมือนกัน อย่างไรก็ดีให้ติดตามตัวเลขการส่งออกของไทยในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในปลายเดือนนี้ ซึ่งก็คิดว่าจะยังไม่น่าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ แต่ก็ให้ไปลุ้นอีกทีในการประชุมเฟดช่วงกลางเดือนธ.ค.
พร้อมคาดดัชนีฯคงแกว่งแถวบริเวณ 1,400 จุด หากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 1,380-1,390 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,410 จุด
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(13 ต.ค.58) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,081.89 จุด ลดลง 49.97 จุด(-0.29%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,796.61 จุด ลดลง 42.03 จุด(-0.87%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,003.69 จุด ลดลง 13.77 จุด(-0.68%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 128.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 13.21 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 201.64 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 22.78 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 4.58 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 3.64 จุด
ด้านตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวัน Awal Muharram
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(13 ต.ค.58)1,406.69 จุด ลดลง 5.80 จุด(-0.41%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 144.48 จุด เมื่อวันที่ 13 ต.ค.58
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(13 ต.ค.58) ปิดที่ 46.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 44 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(13 ต.ค.58)ที่ 5.93 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิดวันนี้ 35.65/67 แนวโน้มอ่อนค่า มองกรอบ 35.30-35.70
- ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 13 ต.ค. อนุมัติ 3 มาตรการ กระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลดค่าโอนและจดจำนอง และให้ผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท และนำ 20% ของราคาบ้านไปหักลดหย่อนภาษีได้เป็นเวลา 5 ปี
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% เป็นการถาวร เพื่อสร้างความมั่นใจและคลายความกังวลให้กับภาคธุรกิจที่เกรงว่าเดิมสิ้นปี 2558 อาจกลับไปจัดเก็บอัตราเดิม 30% โดยพิจารณาว่าหากรัฐกลับไปจัดเก็บอัตราเดิม รายได้ของรัฐจะเพิ่มขึ้นปีละ 179,000 ล้านบาท แต่จะกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ จึงเสนอให้ปรับแก้กฎหมายด้วยการออกเป็นร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือ 20% เป็นการถาวร เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ปี 2559 จะทำให้รถกระบะ รถพีพีวี และรถยนต์นั่งขนาดใหญ่มีราคาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2-3% เนื่องจากโครงสร้างของภาษีใหม่จะคิดจากราคาหน้าโรงงาน แต่การที่ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะผลิตเพื่อตุนให้ได้ราคาเดิมนั้นทำได้บางกรณี เพราะผู้ผลิตมีต้นทุนและต้องบริหารสต๊อกแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่จะต้องขายรถให้ได้ไม่เกิน 15 วัน
- บริษัท ทริส เรทติ้ง เปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 59 ประเมินว่าจะขยายตัว 2.5-3% โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเป็นปัจจัยหลักที่จะกำหนดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้หรือไม่เพียงใด สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้หรือไม่ รวมทั้งไม่เกิดปัญหาทางการเมืองภายในประเทศปะทุขึ้นมาอีก ซึ่งจะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากขึ้น
- ธปท.ชี้ในปีงบประมาณ 59 นโยบายการคลังจะมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น เน้นการลงทุนโครงการขนาดเล็กช่วยสร้างงานในระยะสั้นช่วงอุปสงค์ในประเทศชะลอ รวมถึงรัฐวิสาหกิจเองเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แนะภาครัฐต้องสร้างความสมดุลระหว่างประสิทธิผลการใช้จ่ายกับระยะเวลาการส่งผ่านของนโยบายคลังสู่เศรษฐกิจ หวังเกิดความคุ้มค่าและตรงเป้าหมายที่สุด
*หุ้นเด่นวันนี้
- AOT(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)"ซื้อลงทุน"เป้า 366 บาท ธุรกิจมั่นคงเป็นผู้ประกอบการสนามบินรายเดียวของไทย และมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 58/59 จากการเปิดบริการอาคาร 2 ของดอนเมืองในเดือนพ.ย.58 และส่วนของสนามบินภูเก็ตในปี 59 จะรองรับผู้โดยสารของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 83.5 เป็น 95 ล้านคน/ปี และเป็น 101 ล้านคน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 14% และ 21% ฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิทำให้ EV/EBITDA อยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุน(ปี 58-59 อยู่ที่ 15 และ 13 เท่า ตามลำดับ)
- TIPCO(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 24.50 บาท บริษัทมี TASCO ที่ต้นทุนต่ำจึงมีกำไรยังไม่รับรู้เป็นจำนวนมากที่ราคาหุ้น TASCO มีกำไรที่ยังไม่รับรู้หลังภาษีถึง 9.3 พันล้านบาท ด้านราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานได้อีก 14% พร้อมคาดการณ์ปันผล TASCO ปีนี้ที่ 0.60 บาท นั่นคือ TIPCO จะได้รับ 200 ล้านบาท น่าติดตามว่าหลังจากไม่ได้ปันผลมานานปีนี้จะมีปันผลหรือไม่ อีกทั้งมีเหลือ TASCO ที่เป็นพอร์ตเทรดดิ้ง 2% หากขายไปจะได้กำไรมาก
- SAWAD(เคเคเทรด)เป้า 49.75 บาท คาดผลประกอบการ 2H58 เติบโตโดดเด่นต่อเนื่องจาก 1H58 จากนโยบายการขยายสาขาเชิงรุกและต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการออกหุ้นกู้
- ADVANC(เคเคเทรด)เป้า 288 บาท ได้รับ Sentiment เชิงบวกจากข่าวเลื่อนวันประมูลคลื่น 900MHz ให้เร็วขึ้น
- QTC (โกลเบล็ก)เป้า 5.90 บาท ได้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าทดแทนทั้ง แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล และชีวภาพ ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วและจะเริ่มฟื้นตัวตัวตั้งแต่ 3Q58 คาดมีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท เติบโตสูงมากจากช่วง 2Q58 ซึ่งเป็นช่วง Low-season คาดการณ์กำไรทั้งปี 58 ประมาณ 99 ล้านบาทเติบโต 80% YoY
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาเงินเฟ้อจีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจจีนในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. และ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย. ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.4% แตะ 132.35 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,106.66 จุด ลดลง 128.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,280.02 จุด ลดลง 13.21 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,398.82 จุด ลดลง 201.64 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,545.14 จุด ลดลง 22.78 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,014.47 จุด ลดลง 4.58 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,981.24 จุด ลดลง 3.64 จุด ด้านตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการเนื่องในวัน Awal Muharram
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 28.90 จุด เหตุวิตกศก.จีนชะลอตัว
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับลงเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากข้อมูลการค้าจีนที่น่าผิดหวังได้ตอกย้ำถึงความวิตกเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และได้กดดันหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์
ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 28.90 จุด หรือ 0.45% ที่ 6,342.28 จุด
นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะอ่อนของเศรษฐกิจจีน หลังสำนักงานศุลกากรของจีนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การส่งออกของจีนในเดือนก.ย.ลดลง 1.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.3 ล้านล้านหยวน หลังจากที่ร่วงลง 6.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่การนำเข้าเดือนก.ย.ร่วงลง 17.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 9.24 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงกว่าเดือนส.ค.ที่ลดลง 14.3%
หุ้นเกลนคอร์ร่วงลง 2.6% หลังจากบริษัทมีแผนจะขายเหมืองทองแดงในออสเตรเลียและชิลี โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดภาระหนี้และและฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆต่างก็ร่วงลง โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ติดลบ 1.8% ขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ อ่อนแรงลง 1% และหุ้นบีพี ปรับลง 0.5%
อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวลงไม่มากนัก เนื่องจากหุ้น SABMiller พุ่งขึ้น 9% หลังจากบริษัทตกลงในหลักการเกี่ยวกับข้อเสนอเทคโอเวอร์จากบริษัท Anheuser-Busch InBev
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : วิตกเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากข้อมูลการค้าที่ซบเซาของจีน โดยเฉพาะยอดส่งออกที่ร่วงลงอย่างหนักนั้น ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.9% ปิดที่ 358.47 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,643.38 จุด ลดลง 45.32 จุด หรือ -0.97% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,032.82 จุด ลดลง 87.01 จุด หรือ -0.86% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,342.28 จุด ลดลง 28.90 จุด หรือ -0.45%
ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนแรงลงหลังจากสำนักงานศุลกากรของจีนเปิดเผยว่า การส่งออกของจีนในเดือนก.ย.ลดลง 1.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.3 ล้านล้านหยวน หลังจากที่ร่วงลง 6.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่การนำเข้าเดือนก.ย.ร่วงลง 17.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 9.24 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงกว่าเดือนส.ค.ที่ลดลง 14.3%
ทั้งนี้ การร่วงลงอย่างหนักของยอดการนำเข้าส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 96.1% สู่ระดับ 3.762 แสนล้านหยวน (5.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากระดับ 3.68 แสนล้านหยวนในเดือนส.ค.
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ ร่วงลงอย่างน้อย 1.2% ขณะที่หุ้นยูบีเอส กรุ๊ป ปรับตัวลง 1.1% หลังจากกระทรวงการคลังสวิตเซอร์แลนด์วางแผนที่จะกำหนดให้ธนาคารรายใหญ่ของประเทศกันสำรองเงินทุนในสัดส่วน 5% ของสินทรัพย์โดยรวม
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง นำโดยหุ้นเกลนคอร์ ดิ่งลง 2.6% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 1.8%
หุ้น SABMiller พุ่งขึ้น 9% หลังจากบริษัทตกลงรับข้อเสนอเทคโอเวอร์จากบริษัท Anheuser-Busch InBev ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้น Anheuser-Busch InBev ดีดตัวขึ้น 1.7%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 49.97 จุด วิตกข้อมูลการค้าจีนซบเซา
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังจากทางการจีนเปิดเผยตัวเลขการค้าที่ซบเซา รวมถึงยอดการนำเข้าที่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนก.ย. ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,081.89 จุด ลดลง 49.97 จุด หรือ -0.29% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,796.61 จุด ลดลง 42.03 จุด หรือ -0.87% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,003.69 จุด ลดลง 13.77 จุด หรือ -0.68%
ดัชนีดาวโจนส์อ่อนแรงลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจจะฉุดรั้งเศรษฐกิจทั่วโลกให้ถดถอยลงด้วย โดยความกังวลในเรื่องดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสำนักงานศุลกากรของจีนเปิดเผยในวันนี้ว่า การส่งออกของจีนในเดือนก.ย.ลดลง 1.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.3 ล้านล้านหยวน หลังจากที่ร่วงลง 6.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่การนำเข้าเดือนก.ย.ร่วงลง 17.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 9.24 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงกว่าเดือนส.ค.ที่ลดลง 14.3%
การร่วงลงอย่างหนักของยอดการนำเข้าส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 96.1% สู่ระดับ 3.762 แสนล้านหยวน (5.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากระดับ 3.68 แสนล้านหยวนในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่นอนนอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ส่งสัญญาณว่า ขณะนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งขัดแย้งกับที่
นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เฟดไม่ควรรีบเร่งในกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่บริษัทรายใหญ่ของสหรัฐจะเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ในสัปดาห์นี้ รวมถึงโกลด์แมน แซคส์, แบงก์ ออฟ อเมริกัน, ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป
ด้านเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยผลประกอบการเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย โดยระบุว่า กำไรในไตรมาส 3 ปรับตัวขึ้น 22% เนื่องจากบริษัทได้ปรับลดการใช้จ่ายและได้รับประโยชน์ด้านภาษีมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเจพีมอร์แกนปิดตลาดขยับลง 0.7%
หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพร่วงลง โดยหุ้นเซลจีน และหุ้นไบโอเจน ร่วงลง 3.3% ขณะที่เรเจเนรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ ดิ่งลง 3.6% ส่วนหุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับลง 0.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าคาด
นักลงทุนจับตาดูรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย., ยอดค้าปลีกเดือนก.ย. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนส.ค.
อินโฟเควสท์