- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 07 October 2015 11:02
- Hits: 2692
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นขึ้น เล็งรับผลจากราคาน้ำมันพุ่ง-เงินทุนไหลเข้า
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันได้กระโดดขึ้นมา 2 เหรียญฯกว่า น่าจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ อีกทั้งราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานก็มี valuation ที่น่าสนใจแล้วหลังจากที่ได้ปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหุ้น PTT
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่ามีกระแสเงินทุนเริ่มไหลกลับเข้ามาบ้างแล้ว โดยเฉพาะตลาดในกลุ่ม TIP ที่มีการซื้อโดยรวมถึง 100 ล้านเหรียญฯ ทั้งนี้ Flow ที่ไหลเข้ามาก็เชื่อว่าน่าจะเข้ามาที่หุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว อย่างหุ้นในกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน รวมทั้งได้เห็นสัญญาณซื้อสุทธิในตลาดฟิวเจอร์ด้วย
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยวันนี้ให้ติดตามการประชุม BOJ และในวันพรุ่งนี้ก็ให้ติดตามการประชุม ECB
พร้อมให้แนวรับ 1,368-1,367 จุด ส่วนแนวต้าน 1,380 จุด
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(6 ต.ค.58) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,790.19 จุด เพิ่มขึ้น 13.76 จุด(+0.08%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,748.36 จุด ลดลง 32.90 จุด(-0.69%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,979.92 จุด ลดลง 7.13 จุด(-0.36%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 17.90 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 53.11 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 4.43 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.22 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.35 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.86 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(6 ต.ค.58) 1,370.69 จุด เพิ่มขึ้น 7.52 จุด(+0.55%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,205.66 จุด เมื่อวันที่ 6 ต.ค.58
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(6 ต.ค.58) ปิดที่ 48.53 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.27 ดอลลาร์ หรือ 4.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(6 ต.ค.58)ที่ 6.92 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิดวันนี้ 36.28/29 แข็งค่าตามภูมิภาคหลังตัวเลขศก.สหรัฐกดดอลล์อ่อน-คาดเฟดชะลอขึ้นดบ.
- ครม.ไฟเขียว ให้ รฟม.ใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 56 คัดเลือกเอกชนเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย "คมนาคม"เร่งสรุปผลศึกษารูปแบบลงทุน PPP-Net Cost (สัมปทานเดินรถ) แทน PPP-Gross Cost (จ้างเอกชนเดินรถ) เสนอ สคร.และกก. PPP ภายใน 3 เดือน "อาคม" เผย กก.มาตรา 35 จะเคาะว่าจะประมูลหรือเจรจา
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงจาก 3.3% เหลือ 3.1% โดยเตือนว่า เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2009 เนื่องจากแรงฉุดของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และลดคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้เหลือ 2.5% และปีหน้าลดเหลือ 3.2%
- ธปท.จับตาการค้าและเศรษฐกิจโลกหลัง12 ประเทศลงนามกลุ่มประเทศ TPP ส่วนอนาคตไทยจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่ เป็นเรื่องระดับนโยบาย ระบุปัจจุบันไทยได้ทำ FTA ส่วนใหญ่กับประเทศ TPP อยู่แล้ว ยกเว้น สหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก แต่ไทยผ่อนผัน GSP จากสหรัฐฯแนะเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า เพื่อประโยชน์ในการเป็นห่วงโซ่การผลิตกับประเทศสมาชิก TPP และรองรับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้น
- โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเลื่อนแผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปจนถึงปี 2559 หรืออาจจะนานกว่านั้น อันเป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด โดยดัชนี ภาคการผลิตและการจ้างงานที่เริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกออกไปก่อน
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเมินเวิลด์แบงก์ลดจีดีพีไทย ยืนได้แน่ 3% เชื่อมาตรการอัดฉีดของรัฐช่วยปีหน้าโตขึ้น ขณะที่แบงก์พาณิชย์คงคาดการณ์ต่ำกว่า 3% ด้าน กกร.หดเป้ารอบใหม่เหลือ 2.5% ยกปัจจัยรุมเร้าส่งออกติดลบสูง
*หุ้นเด่นวันนี้
- ORI บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เทรดวันนี้วันแรกในตลาด SET หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ราคาขาย IPO ที่ 9.00 บาท/หุ้น
บริษัทฯประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุดและบริการรับจ้างบริหารโครงการนิติบุคคลอาคารชุดแก่โครงการที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเท่านั้น
- SYNEX (ทรีนีตี้)"ซื้อ"เป้า 5.60 บาท ไตรมาส 3 เป็น High Season คาดรายได้และกำไรสุทธิโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเพิ่ม Gross margin ได้ที่ 5.2% และกลยุทธ์ที่เน้นขายสินค้าตามเทรน อาทิ Smart phone และ tablet แทน PC และ laptop และเน้นขายสินค้าให้แก่กลุ่ม commercial ที่มีกำลังซื้อมาก ในไตรมาส 3 คาดมีกำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเนื่องจากทำ Forward ไว้และทั้งปี 58 รายได้ส่งออก Indochina คาดเกินกว่า 1 พันล้านบาท
- EPG(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 12 บาท คาดกำไรสุทธิ 2Q16 (ก.ค.- ก.ย. 2015) ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง +10% Q-Q, +124% Y-Y นอกจากนี้ EPG ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และต้นทุนเม็ดพลาสติกที่จะยังอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย
- CPN(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)"ซื้อลงทุน"เป้า 60 บาท คาดรับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวของไทยไม่มาก เมื่อพิจารณาจากอัตราเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม(SSSG)ในรอบ 1H58 ที่ยังขยายตัว 3.9% y-o-y และเมื่อรวมผลดีจากการเปิดสาขาใหม่ทำให้รายได้เพิ่ม 7% y-o-y การบริหารต้นทุนดำเนินงานดีและดอกเบี้ยจ่ายลดลง ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17% y-o-y กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากความสำเร็จในการบริหารศูนย์การค้า 28 แห่ง และจะเป็น 29 แห่งหลังจากเปิดให้บริการโครงการใหม่ที่รามอินทรา
- PTT(เคเคเทรด)เป้า 363 บาท Valuation ไม่แพง ซื้อขายที่ P/BV 1 เท่า, ได้รับผลบวกเชิง Sentiment จากการฟื้นตัวระยะสั้นของราคาน้ำมัน, คาดงบ 3Q58 ได้รับผลกระทบเชิงลบน้อยกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มพลังงานเนื่องจากมีการถือหุ้นในบริษัทลูกกระจายในหลายธุรกิจ
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ ขณะจับตาผลประชุมแบงก์ชาติญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตาดูธนาคารกลางญี่ปุ่นเปิดเผยมติการประชุมนโยบายการเงินเดือนต.ค. ในวันนี้
ดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้น 0.2% แตะ 129.23 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,168.20 จุด ลดลง 17.90 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,884.73 จุด เพิ่มขึ้น 53.11 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,398.53 จุด เพิ่มขึ้น 4.43 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,995.87 จุด เพิ่มขึ้น 5.22 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,897.06 จุด ลดลง 0.35 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,658.65 จุด ลดลง 3.86 จุด ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการเนื่องในวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 27.24 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มน้ำมัน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ๆ ที่ปรับตัวแข็งแกร่งตามราคาน้ำมัน ขานรับความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
ดัชนี FTSE 100 ปิดเพิ่มขึ้น 27.24 จุด หรือ 0.43% ที่ 6,326.16 จุด
หุ้นกลุ่มน้ำมันทะยานขึ้นนำตลาด หลังจากนายอับดัลลา ซาเล็ม เอล-บาดรี เลขาธิการโอเปก ระบุว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มดีดตัวขึ้น เนื่องจากการที่บริษัทพลังงานพากันลดการลงทุน จะทำให้ปริมาณน้ำมันลดลง
ขณะเดียวกัน นายเอล-บาดรีกล่าวว่า เขาพร้อมที่จะหารือกับสหรัฐเกี่ยวกับภาวะราคาน้ำมันที่กำลังตกต่ำอยู่ในขณะนี้
หุ้นทูลโลว์ ออยล์ ทะยานขึ้น 6.9% ขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่ง 3.6% และหุ้นบีพี เพิ่มขึ้น 2.7%
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมือง ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดด้วย โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ดีดขึ้น 4.3% และหุ้นเฟรสนิลโล ปรับขึ้น 3.1%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับมุมมองธนาคารกลางเดินหน้าผ่อนคลายการเงิน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ต.ค.) โดยตลาดปิดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.6% ปิดที่ 360.41 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,660.64 จุด เพิ่มขึ้น 43.74 จุด หรือ +0.95% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,902.83 จุด เพิ่มขึ้น 88.04 จุด หรือ +0.90% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,326.16 จุด เพิ่มขึ้น 27.24 จุด หรือ +0.43%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากมุมมองที่ว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในขณะนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานที่ขยายตัวได้น้อยกว่าการคาดการณ์
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 15.6% ในเดือนส.ค. สู่ระดับ 4.833 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดิ่งลง และการขยายตัวที่ซบเซาในต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ยังระบุว่า การส่งออกลดลง 2% ในเดือนส.ค. สู่ 1.851 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2012 ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.2% สู่ 2.334 แสนล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นโททาล และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างน้อย 3.3%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเรโนล์ท พุ่งขึ้น 5.8% หลังจากมีรายงานว่าเรโนลท์วางแผนที่จะปรับโครงสร้างการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับนิสสัน มอเตอร์ ขณะที่หุ้นเอสพีเอ เปอร์โยต์ ซีตรอง พุ่งขึ้น 3.9% และหุ้นเดมเลอร์ ปรับขึ้น 2.5%
หุ้นเอสเอ็มบีมิลเลอร์ ร่วงลง 3.8% หลังจากมีรายงานว่าเอสเอ็มบีมิลเลอร์ปฏิเสธข้อเสนอเทคโอเวอร์จากบริษัท Anheuser-Busch InBev
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวกเพียง 13.76 จุด หลัง IMF ลดคาดการณ์ศก.โลก
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) โดยภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ และข้อมูลที่บ่งชี้ว่ายอดขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนทุบขายหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,790.19 จุด เพิ่มขึ้น 13.76 จุด หรือ +0.08% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,979.92 จุด ลดลง 7.13 จุด หรือ -0.36% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,748.36 จุด ลดลง 32.90 จุด หรือ -0.69%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจาก IMF เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) เมื่อวานนี้ โดยได้ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้สู่ระดับ 3.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2009 โดยลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 3.3% และต่ำกว่าการขยายตัวในปีที่แล้วที่ 3.4%
ทั้งนี้ IMF ระบุว่าการร่วงลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความผันผวนในตลาดการเงิน ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อตลาดโลก ขณะที่ความเสี่ยงในช่วงขาลงได้ปรากฎเด่นชัดขึ้นมากกว่าในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ IMF ยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าสู่ระดับ 3.6% โดยลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 3.8%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันมากขึ้น หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานวันนี้ว่า ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 15.6% ในเดือนส.ค. สู่ระดับ 4.833 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดิ่งลง และการขยายตัวที่ซบเซาในต่างประเทศ
นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ ซึ่งได้ฉุดดัชนี S&P500 และ NASDAQ ปิดตลาดร่วงลงด้วย โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวร่วงลงนับตั้งแต่นางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครทที่ระบุว่า บริษัทเวชภัณฑ์มีการกำหนดราคาที่สูงเกินไป พร้อมกับให้คำมั่นว่า จะปรับลดต้นทุนราคายา หากเธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หุ้นไบโอเจน อิงค์ หุ้นเซลจีน คอร์ป และหุ้นเวอร์เท็กซ์ ฟาร์มาซูติคอล ต่างก็ร่วงลงกว่า 3.6% ขณะที่หุ้นไฟเซอร์ ดิ่งลง 2.1%
อย่างไรก็ตาม หุ้นเป๊ปซี่โค ดีดตัวขึ้น 1.32% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรในไตรมาส 3 ลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ เป๊ปซี่โค เปิดเผยว่า บริษัทมีผลกำไร 533 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หรือ 36 เซนต์ต่อหุ้น เทียบกับ 2.01 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.38 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายกำไรในปีนี้ โดยอ้างอิงจากผลประกอบการตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ และแนวโน้มจนถึงสิ้นปีนี้
หุ้นดูปองท์ ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ ทะยานขึ้น 7.66% หลังจากนายเอลเลน คัลแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดูปองท์ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนนี้
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 3.5% และหุ้นทรานส์โอเชียน ปรับขึ้น 7.2% โดยหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่ลดลงจะช่วยให้ภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดนั้น คลี่คลายลงด้วย
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 5.8% หลังจากมีรายงานว่าทางบริษัทเตรียมแยกธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงสินเชื่อผู้บริโภคเดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, รายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 16-17 ก.ย. , ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.ย. และต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนส.ค.
อินโฟเควสท์