WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET11ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้พักตัว เล็งกลุ่มพลังงานกดดันหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง

     นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่า จะพักตัวหลังจากที่เมื่อวันศุกร์ดีดตัวแรง เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงน่าจะไปกดดันการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่เชื่อว่าดัชนีฯไม่น่าจะหลุดแนวรับ 1,430 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,450 จุด

   ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะติดลบ ภายหลังจากที่ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตของจีนออกมาปรับตัวลง และหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานของแต่ละตลาดฯ

   อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 5 ส.ค. และติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาถึง 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(31 ก.ค.58) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,689.86 จุด ลดลง 56.12 จุด(-0.32%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,128.28 จุด ลดลง 0.50 จุด(-0.01%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,103.84 จุด ลดลง 4.79 จุด(-0.23%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 45.03 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 48.74 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 103.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 28.81 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 3.91 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.09 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 6.15 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(31 ก.ค.58) อยู่ที่ 1,440.12 จุด เพิ่มขึ้น 22.63 จุด (+1.60%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,927.26 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ก.ค.58

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(31 ก.ค.58) ปิดที่ 47.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.4 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(31 ก.ค.58)ที่ 4.59 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเช้านี้เปิด 35.06/07 กลับมาแข็งค่าจากแรงขายทำกำไร แต่แนวโน้มยังอ่อนค่า

                - สศค.เตรียมเสนอต่ออายุแอลทีเอฟ จาก 5 ปี เป็น 10 ปี หลังครบกำหนดในปีนี้ ด้านสมาคมบลจ. ชี้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ช่วยเพิ่มทางเลือกการออมเงิน ขณะกสิกรไทย คาดหากไม่ต่ออายุ กระทบตลาดหุ้นไม่มาก เหตุเม็ดเงินทยอยครบเงื่อนไข 5 ปี

                - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายของประเทศในเดือน มิ.ย.นี้ ว่า เงินทุนยังไหลเข้าสุทธิ 1,655 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.8 หมื่นล้านบาท (คิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 35.18 บาท/เหรียญสหรัฐ) เป็นการไหลเข้าต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ไหลเข้าสุทธิ 1,212 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท

                - แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 3 ส.ค. จะมีการพิจารณาโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือน ส.ค. โดยเบื้องต้นราคาแอลพีจีตลาดโลกที่จะนำมาคำนวณเฉลี่ยอยู่ที่ 369 เหรียญสหรัฐ/ตัน เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 407 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือ ลดลงประมาณ 38 เหรียญสหรัฐ/ตัน

                - พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในเดือน ส.ค.นี้ กระทรวงฯ จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ระยะทาง 194 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และกรุงเทพฯ-หัวหิน 211 กิโลเมตร วงเงินราว 9.8 หมื่นล้านบาท

                - ธปท.เผยภาคธุรกิจส่วนใหญ่คาดการบริโภคกลับมาฟื้นตัวลากยาวไปถึงปี 59 ลุ้นนโยบายรัฐ การท่องเที่ยวจะดีขึ้นหลังเห็นสัญญาณจองห้องพักล่วงหน้าไปถึงไตรมาส 4 ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่หันไปกลุ่ม CLMV และเริ่มเห็นสัญญาณการเก็งกำไรในคอนโดฯ บางจุด ด้านต้นทุนแรงงานภาคบริการมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น แต่บางกลุ่มธุรกิจจะมีการลดการใช้แรงงานชั่วคราว

*หุ้นเด่นวันนี้

     - ITD(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ทยอยสะสม"เป้า 12 บาท คาดว่าราคาหุ้นจะ Outperform ตลาดสัปดาห์นี้ จากปัจจัยบวกคือการเซ็นสัญญา SPV เอกชน-รัฐบาลเพื่อพัฒนาโครงการทวาย 5 ส.ค.คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างใน 2H58 จากประมูลงานขนาดใหญ่ภาครัฐฯ นอกจากนั้น ITD เป็นตัวเต็งที่จะได้งานสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 6.2 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง Upside Risk ที่มีนัยสำคัญคือโครงการเหมืองแร่โปรแตซที่คาดคืบหน้าใน 3Q58

    - CENTEL(ซื้อ)เป้า 45 บาท ให้เป็น Top pick ของกลุ่ม แนวโน้มกำไร 2Q15 ดีต่อเนื่อง แม้คาดจะลดลง 72% Q-Q ตามฤดูกาล แต่โตก้าวกระโตต 456% Y-Y จากทั้งโรงแรมและอาหาร ธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฟื้นแรงจากปีก่อนมีเหตุการณ์การเมือง ส่วนธุรกิจอาหารแม้ Same store sales จะกลับมาติดลบ 1% Y-Y แต่ margin ดีขึ้นมากฃ จะดีต่อเนื่องใน 2H15 กำไรทั้งปีคาดโต 48% Y-Y อาจต่ำเกินไป (สวนทาง MINT ที่กำไร 2Q15 หด Y-Y และกำไรทั้งปีโตต่ำ)

     - CK (ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 33 บาท ประเมินว่ารัฐบาลจะเร่งใช้จ่ายและลงทุนในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 58 และเร่งเปิดประมูลโครงการขั้นพื้นฐานในระยะต่อไป, ผลประกอบการ 2Q58 แกร่งเพราะมีกำไรจากการขายไซยะบุรีให้ CKP

       - GL(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 19 บาท คาดกำไร 2Q58 เติบโตก้าวกระโดดเป็น 127 ล้านบาทจาก 7 ล้านบาทใน 2Q57 และยังคงขยายตัวแกร่งต่อเนื่อง โดยมาจากธุรกิจเช่าซื้อในกัมพูชาที่ขยายตัว 20-30%QoQ (1Q58 +40%QoQ) ขณะที่ NPL ในกัมพูชาแทบไม่มีเลย เพราะเป็นตลาดที่ใหม่มากๆ ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ในไทยทรงตัว แต่เติบโตดีในส่วนสินเชื่อจำนำ

    - INTUCH(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 90 บาท กำไรปี 58 เติบโตได้ 5-6% โดยมาจาก ADVANC (+4%) และ THCOM (+25%) ฐานะการเงินแกร่ง โดยเป็นเงินสดสุทธิ จ่ายปันผลสูง ปัจจัยที่เป็น Catalyst คือ การเปิดประมูล 4G ในเดือนพ.ย.58

    - KBANK(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 224 บาท ราคาหุ้นได้ปรับลดลงรับความวิตกเรื่องการด้อยค่าของสินทรัพย์ไปมากทำให้ P/E ที่ปรับประมาณการกำไรสุทธิลงแล้วยังต่ำมาก ขณะที่ธนาคารมีความมั่นคงสูงทั้งด้าน Coverage ratio & CAR เชื่อว่าธนาคารเติบโตได้อย่างรวดเร็วเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

      - QH(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 3.80 บาท Valuation จูงใจมาก โดย Market Cap ของหุ้นในปัจจุบันสะท้อนมูลค่าธุรกิจ Property น้อยมาก เมื่อหักมูลค่าเงินลงทุนใน QHHR, QHPF, HMPRO, LHBANK แล้ว P/E ส่วนธุรกิจ Property เหลือเพียง 2 เท่า

     - RATCH(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 60 บาท ผลประกอบการ 2Q58 ดีขึ้น QoQ เพราะใน 1Q58 มีปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า ใน 2H58 และปี 59 มี Catalyst จากการเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าหงสา ทำให้กำไรปี 59 จะเติบโตเป็นเลขสองหลักที่ 12% ได้ และจ่ายปันผลสูง

                - SCC (ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 580 บาท รายได้และกำไรของซีเมนต์ &วัสดุก่อสร้างที่อ่อนแอได้รับการชดเชยจาก Spread ของ HDPE & PP ที่ดีขึ้น และมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อใน 2H58 (รายได้ของกลุ่ม 1H58 โต 9.5% แต่กำไรเพิ่ม 48%)

ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวลงเช้านี้ หลังดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนลดลง

      ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังจีนเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค.ปรับตัวลดลง

      ดัชนี MSCI Asia-Pacific ลดลง 0.3% แตะที่ระดับ 141.67 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.05 น.ตามเวลาโตเกียว

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,540.21 จุด ลดลง 45.03 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,614.99 จุด ลดลง 48.74 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,533.14 จุด ลดลง 103.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,636.53 จุด ลดลง 28.81 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,026.25 จุด ลดลง 3.91 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,205.59 จุด เพิ่มขึ้น 3.09 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,716.99 จุด ลดลง 6.15 จุด

    สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.อยู่ที่ระดับ 50.0 ลดลงจากระดับ 50.2 ในเดือนมิ.ย.

   อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว และหากดัชนีปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 จุดก็จะบ่งชี้ถึงภาวะหดตัว

   ข้อมูลของ CFLP สอดคล้องกับที่มาร์กิตรายงานก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนก.ค.ลดลงแตะ 48.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน จาก 49.4 ในเดือนมิ.ย.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ผลประกอบการเอกชนสดใส หนุนฟุตซี่ปิดบวก 27.41 จุด

     ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของภาคเอกชน หลังจากบริษัทจดทะเบียนบางแห่งรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด

     ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้น 27.41 จุด หรือ +0.41% ปิดที่ 6,696.28 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทบางแห่ง โดยหุ้นบริษัทไอทีวี พีแอลซี หลังจากบริษัทเปิดผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีเกินคาดและยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2558 นอกจากนี้ หุ้นไอทีวียังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า บริษัทลิเบอร์ตี้ โกลบอล ของมหาเศรษฐีจอห์น มาโลน ได้ซื้อหุ้นเพิ่มในไอทีวี

    หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 2.9% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรสุทธิไตรมาส 2 มูลค่า 2.56 พันล้านยูโร (2.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งพลิกกลับมาทำกำไร เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้วที่ขาดทุนถึง 4.22 พันล้านยูโร เนื่องจากบีเอ็นพี พาริบาส์ถูกสั่งปรับเป็นเงินถึง 8.97 พันล้านดอลลาร์ ในข้อหาฝ่าฝืนการคว่ำบาตรจากสหรัฐต่อซูดาน อิหร่าน และคิวบา

    อย่างไรก็ตาม หุ้นอันโตฟากัสต้า ดิ่งลง 2.3% หลังจากอันโตฟากัสต้าตกลงซื้อหุ้น 50% ในบริษัทแบร์ริค โกลด์

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการเอกชนสดใส

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ รวมถึงแอร์บัส อาร์เซลอร์มิตตัล และบีเอ็นพี พาริบาส์ อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ ได้สกัดแรงบวกในตลาด และส่งผลให้ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้นเกือบ 0.1% ปิดที่ 396.37 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,082.61 จุด เพิ่มขึ้น 36.19 จุด หรือ +0.72% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,308.99 จุด เพิ่มขึ้น 51.84 จุด หรือ +0.46% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,696.28 จุด เพิ่มขึ้น 27.41 จุด หรือ +0.41%

      หุ้นแอร์บัสพุ่งขึ้น 3.5% หลังจากเปิดเผยผลกำไรประจำไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 5% แตะ 732 ล้านยูโร (801 ล้านดอลลาร์) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ 696 ล้านยูโร ส่วนยอดขายในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 16% แตะ 1.68 หมื่นล้านยูโร เพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งมอบเครื่องบินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังสายการบินต่างๆมีความต้องการซื้อเครื่องบินใหม่ เพื่อแทนเครื่องบินลำเดิมที่เก่าและกินน้ำมัน

      หุ้นอาร์เซลอร์มิตตัล ดีดตัวขึ้น 1.5% หลังจากอาร์เซลอร์มิตตัล ซึ่งเป็นบริษัทเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ปริมาณการส่งมอบ เปิดเผยว่า กำไรสุทธิของบริษัทในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ อยู่ที่ 179 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ 52 ล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ที่ 30 ล้านดอลลาร์ โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนการระดมทุนและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ปรับตัวลงในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน

    หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 2.9% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรสุทธิไตรมาส 2 มูลค่า 2.56 พันล้านยูโร (2.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งพลิกกลับมาทำกำไร เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้วที่ขาดทุนถึง 4.22 พันล้านยูโร เนื่องจากบีเอ็นพี พาริบาส์ถูกสั่งปรับเป็นเงินถึง 8.97 พันล้านดอลลาร์ ในข้อหาฝ่าฝืนการคว่ำบาตรจากสหรัฐต่อซูดาน อิหร่าน และคิวบา

     อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ได้สกัดแรงบวกของตลาด โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง 0.9% ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นอันโตฟากัสต้า ดิ่งลง 2.3% หลังจากอันโตฟากัสต้าตกลงซื้อหุ้น 50% ในบริษัทแบร์ริค โกลด์ และหุ้นวอลลูเรค เอสเอ ร่วงลง 6.3% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2558

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : หุ้นพลังงานร่วง ฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 56.12 จุด

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากบริษัทพลังงานรายใหญ่ รวมถึงเอ็กซอน โมบิล และเชฟรอน เปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ อันเป็นผลมาจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,689.86 จุด ลดลง 56.12 จุด หรือ -0.32% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,103.84 จุด ลดลง 4.79 จุด หรือ -0.23% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,128.28 จุด ลดลง 0.50 จุด หรือ -0.01%

     ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 0.7% ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้น 1.2% และดัชนี NASDAQ ขยับขึ้น 0.8%

     นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 4.58% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 4.2 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ระดับ 8.8 พันล้านดอลลาร์ โดยผลประกอบการของเอ็กซอน โมบิล ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ

    หุ้นเชฟรอน คอร์ปปอเรชัน ดิ่งลง 4.89% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 571 ล้านดอลลาร์ ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์ โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ของเชฟรอนออกมากย่ำแย่ที่สุดในรอบ 7 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเช่นกัน

    ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มพลังงานนั้น หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ดิ่งลง 3.3% หุ้นเมอร์ฟีย์ ออยล์ ร่วงลง 5% และหุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 4.9%

    หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง โดยหุ้นลิงค์อิน ร่วงลง 11% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2558 ภายหลังจากที่เข้าซื้อเว็บไซต์ Lynda.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์เพื่อการศึกษา หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ปรับตัวลง 4.2% และหุ้นบรอดคอม ร่วงลง 1.4% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยเกินคาด

    นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น

   ขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายด้วยเช่นกัน โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานที่กว้างที่สุด ขยับขึ้นเพียง 0.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 33 ปี และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6%

         อินโฟเควสท์ 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!