- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 08 November 2019 12:40
- Hits: 717
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ผันผวนในแดนลบเล็กน้อย หวั่นรับผลกระทบจากการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสผันผวนในแดนลบเล็กน้อย เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบกัน ยกเว้นตลาดหุ้นจีน แม้ว่าภาพรวมของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะออกมาเป็นบวก แต่การปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาได้มีการเพิ่มน้ำหนักไปที่หุ้นจีน ส่งผลให้หุ้นของตลาดอื่นจะต้องถูกปรับน้ำหนักลงโดยอัตโนมัติ ทำให้ช่วงสั้นตลาดฯอาจผันผวนได้ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ของสหรัฐฯอายุ 10 ปี ได้ขึ้นมาเกิน 1.9% แล้ว ทำให้มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างมีโอกาสที่จะปรับลดน้ำหนักลงทุนทองคำ และหุ้นปลอดภัย อย่างหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวขึ้นมามากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีโอกาสที่จะถูกขายทำกำไรได้ เพราะกลุ่มโรงไฟฟ้าก็เข้าสู่ช่วง Low season ในไตรมาส 3-4 ด้วย
ทั้งนี้ ตลาดฯมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังจากที่ผ่านแนว 1,620 จุดขึ้นไปได้ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,630-1,648 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (7 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,674.80 จุด เพิ่มขึ้น 182.24 จุด (+0.66%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,085.18 จุด เพิ่มขึ้น 8.40 จุด (+0.27%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,434.52 จุด เพิ่มขึ้น 23.89 จุด (+0.28%)
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 219.72 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 15.27 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 47.33 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 14.33 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 9.89 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 12.11 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.24 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 พ.ย.62) 1,640.88 จุด เพิ่มขึ้น 16.89 จุด (+1.04%)
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 269.57 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 พ.ย.62
ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 พ.ย.62) ปิดที่ 57.15 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ หรือ 1.4%
ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 พ.ย.) อยู่ที่ 2.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
เงินบาทเปิด 30.43 อ่อนค่าจากวานนี้ตามภูมิภาค หลังดอลล์แข็งรับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่ง-คลายกังวลสงครามการค้า
"อุตตม" ลั่นมาตรการ "ดูแลเงินบาท" แค่สเต็ปแรก ขณะสรท.พอใจแบงก์ชาติออกมาตรการดูแล ระบุหากยังคุมไม่อยู่ต้องงัดยาแรงใช้เพิ่ม ด้าน "นักวิเคราะห์" ประเมินได้ผลแค่ระยะสั้น ส่วนระยะยาวไม่ช่วย มองแนวโน้มเงินบาทส่อแข็งหลุดระดับ 30 ต่อดอลลาร์ ห่วง "นักค้าทอง" สบช่องเก็งกำไรบาทเพิ่ม
แบงก์ทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ เงินฝาก ตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ออมสิน" นำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้ทันที 0.125% ทั้ง MRR, MOR และ MLR มีผลวันที่ 11 พ.ย.นี้ ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากมีผล 1 ม.ค.63 ด้าน "ไทยพาณิชย์" ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.25% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลง 0.25% มีผล 8 พ.ย.62 เป็นต้นไป
ดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ต.ค. อยู่ที่ 70.7 ต่ำสุดในรอบ 65 เดือน เหตุผู้บริโภคยังกังวลภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ห่วงเสถียรภาพการเมือง ขณะที่ชิมช้อปใช้ยังไม่เห็นผล การใช้จ่าย ลอยกระทงลดลง
ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร วงเงิน 122,000 ล้านบาทว่า ล่าสุดหน่วยงานต่าง ๆ มีข้อสรุปแล้วว่า การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ควรใช้รูปแบบการร่วมทุนกับเอกชน (พีพีพี) จำนวน 1 สัญญาเช่นเดิม เพราะกระทรวงการคลังได้จัดทำคำชี้แจงเพิ่มเติมไปยังสำนักเลขา-ธิการคณะรัฐมนตรีแล้วว่า แม้การกู้เงินมาลงทุนงานโยธาของเอกชน จะมีดอกเบี้ยสูงกว่าภาครัฐแต่ควรเปิดให้เอกชนร่วมทุนงานโยธาของรถไฟฟ้าสายดังกล่าวเช่นเดิม เพราะภาครัฐจำเป็นต้องนำเงินไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ เช่น ภาคเกษตร ภาคการศึกษา ที่เอกชนไม่สนใจร่วมลงทุนด้วย
*หุ้นเด่นวันนี้
PTTEP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 135 บาท ได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัว และไม่มี Over hang จากงบ Q3/62 มากวนใจเพราะประกาศงบไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มงบ Q4/62 จะยังเด่นสุดของกลุ่ม PTT เพราะมีแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการรับรู้การผลิตจากแหล่งเมอร์ฟี่ที่ซื้อเข้ามาเต็มไตรมาส
TOP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 76 บาท กำไร Q3/62 ที่ประกาศวันนี้มีโอกาสต่ำกว่าคาด (คาดกำไร 296 ล้านบาท -48% Q-Q, -93% Y-Y) ตามหุ้นในกลุ่มที่ประกาศงบไปแล้วก่อนหน้า แต่แนวโน้ม Q4/62 ดูดีกว่าโรงกลั่นและปิโตรเคมีอื่นเพราะ TOP ผ่านการซ่อมบำรุงไปแล้วใน Q3/62 และไม่มีหยุดซ่อมอีกใน Q4/62 รับอานิสงส์ค่าการกลั่นที่สูงขึ้นเพราะ IMO พอดี แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวดีกว่ากลุ่มคือ +3% YTD เทียบกลุ่มที่ -17% YTD เพราะมีสัดส่วนสินค้าปิโตรเคมีน้อยกว่ากลุ่ม แต่ราคาหุ้นเทรดเพียง PBV 1.1 เท่า ต่ำสุดในรอบ 5 ปี และคาด Dividend yield 3%
--อินโฟเควสท์