- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 29 November 2018 11:49
- Hits: 5087
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับตัวขึ้นต่อ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณผ่อนคลายปรับขึ้นดอกเบี้ย-หุ้นน้ำมันอาจถ่วง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดวันนี้น่าจะปรับตัวขึ้นต่อได้ ปัจจัยหลักมาจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ส่งสัญญาณผ่อนคลายการขึ้นดอกเบี้ย โดยกล่าวเมื่อคืนว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง ทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) ลดลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง ส่งผลดีต่อตลาด Emerging Market และตลาดภูมิภาคปรับตัวขึ้น
แต่ตลาดหุ้นไทยคาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานถูกถ่วงจากราคาน้ำมันโลกที่เมื่อคืนปรับตัวลงกว่า 2.5%
อย่างไรก็ตามภาพตลาดโดยรวมมองว่าตลาดยังปรับตัวขึ้นได้จากปัจจัยดอกเบี้ย และติดตามการประชุมผู้นำ G20 ในวันพรุ่งนี้ ว่าจะมีการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอย่างไร
ให้แนวรับที่ 1,630-1,635 จุด แนวต้านที่ 1,650-1,655 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (28 พ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,366.43 จุด เพิ่มขึ้น 617.70 จุด (+2.50%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,291.59 จุด เพิ่มขึ้น 208.89 จุด (+2.95%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,743.79 จุด เพิ่มขึ้น 61.62 จุด (+2.30%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 183.96 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 12.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 221.65 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 75.56จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 25.73 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 29.32 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 8.30 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 26.92 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 พ.ย.61) 1,640.63 จุด เพิ่มขึ้น 6.36 จุด (+0.39%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 833.95 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 พ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (28 พ.ย.61) ปิดที่ 50.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.27 ดอลลาร์ หรือ 2.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 พ.ย.61) ที่ 3.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.90 แข็งค่าตามภูมิภาค หลังดอลล์อ่อนขานรับประธานเฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย
- ธุรกิจสหรัฐ 150 กลุ่ม เรียกร้อง"ทรัมป์"ใช้โอกาสหารือทวิภาคีกับผู้นำจีนยุติสงครามการค้าระหว่างกันด้านนักลงทุนในตลาดหุ้นหวังปิดฉากกรณีพิพาทการค้า หนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดแดนบวก ขณะราคาหุ้นค่ายรถยุโรปดิ่งหนัก รับข่าวสหรัฐเตรียมเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์สัปดาห์หน้า
- กนง.เกาะติดภาคอสังหาฯห่วงแนวโน้มการเงินตึงตัว กระทบการต่ออายุเงินกู้ โดยเฉพาะกลุ่มเรทติ้งต่ำ พร้อมจี้ติดตามเศรษฐกิจจีน หวั่นชะลอตัวฉุดดีมานด์ซื้อคอนโดมิเนียมลดลง ด้าน สศค. จ่อทบทวน"จีดีพี" ปีนี้ ขณะเศรษฐกิจเดือนต.ค.ดีขึ้นจาก "บริโภค-ลงทุนเอกชน" หนุน
- ค่ายรถชี้โค้งสุดท้าย ตลาดรถยังแรง ดันยอดขายปีนี้เกิน 1 ล้านคัน คาดปีหน้าโตต่อ 3-5% จับตาปัจจัยลบ สงครามการค้า ค่าเงินผันผวน ด้านทิศทางพลังงานไฟฟ้าเริ่มชัดเจน ด้าน"นิสสัน"เคาะราคา "ลีฟ" 1.99 ล้าน "บีเอ็มดับเบิลยู"ประกาศแผนประกอบแบตเตอรีแรงดันสูงปีหน้า
- คลังมั่นใจเศรษฐกิจยังขยายตัวดี ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 เดือน ได้บริโภคและลงทุนเอกชนดัน
- โพล ม.รังสิตชี้'บิ๊กตู่'จ่อนายกฯ 'พปชร.' กวาดคะแนนเสียงทิ้งห่าง 'เพื่อไทย' 'วิษณุ' เผยแบ่งเขตเสร็จแล้ว จ่อลงราชกิจจาฯ แย้มคนเห็นต่างเปิดช่องร้อง ศาลปกครองได้
*หุ้นเด่นวันนี้
- ASK (ฟินันเซียไซรัส) "ซื้อ"เป้า 28.60 บาท คาดว่า ROE จะปรับขึ้นสู่ 18% ในปี 62 ซึ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี และดีกว่าค่าเฉลี่ยใน 10 ปีย้อนหลังที่ราว 15% โดยคาดกำไรทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 62 และการเติบโตของกำไรปี 62-63 คาดโตเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตในอดีต 5 ปีย้อนหลังที่เพียง 5% ต่อปี และ Dividend Yield ที่ราว 7% ต่อปี สิ่งเหล่านี้ทำให้ ASK จัดเป็นหุ้นปันผลชั้นเยี่ยมและ Valuation น่าสนใจเพราะราคาล่าสุดซื้อขายที่ 62 PER 9 เท่า ต่ำกว่าอดีตที่ 9-10 เท่า บนฐาน ROE ที่สูงขึ้น
- EGCO (เอเซียพลัส)"ซื้อ" เป้า 260 บาท ยังคงประมาณการกำไรทั้งปี 61 โดยคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวดไตรมาส 4/61 จะปรับตวลดลงเล็กน้อยจากงวดไตรมาส3/61 ตามผลของฤดกาลที่เข้าสู่ช่วง low season ของ
ความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวมที่จะปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามส่วนของแนวโน้มกำไรสุทธิยังต้องขึ้นอยู่กับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลักซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องติดตาม สำหรับภาพระยะยาวนั้นหากพิจารณา Backlog ในมือปัจจุบันพบว่า ต้องรอปลายปี62 ที่จะเริ่มรับรู้ XPCL (160 MW) และ SBPL (245 MW) และในปี 65 สำหรับโครงการน้ำเทิน 1 (161 MW)
-อินโฟเควสท์