- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 05 November 2018 11:36
- Hits: 1147
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับลงตามภูมิภาคหลังข่าวข้อพิพาทการค้ายังสับสน-Bond Yield สหรัฐฯ พุ่ง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบกว่า 1% เนื่องจากข่าวข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนสร้างความสับสนให้กับตลาดฯ โดยทางนายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวระบุวาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีน ผิดไปจากข่าวก่อนหน้านี้ อีกทั้งช่วงนี้ยังใกล้การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯในวันที่ 6 พ.ย.นี้ด้วย
นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯก็ออกมาค่อนข้างดีมาก ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมาใกล้ระดับ High เดิมที่ 3.24% โดยมาอยู่ที่ 3.2% แล้ว ทำให้กดดัน Emerging Market และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดฯคาดไว้ด้วย รวมทั้งราคาน้ำมันดิบก็ได้ปรับตัวลงต่อ หลังจากสหรัฐฯได้ผ่อนผัน 8 ประเทศยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้หลังวันที่ 4 พ.ย.
ขณะที่วันนี้ให้ติดตามประธานาธิบดีของจีนจะกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งก็ให้จับตาว่าจะกล่าวถึงประเด็นการค้ากับสหรัฐฯหรือไม่ และติดตามตัวเลข PMI ภาคบริการของจีน และสหรัฐฯด้วย
พร้อมให้แนวรับ 1,660 จุด ส่วนแนวต้าน 1,690-1,700 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,270.83 จุด ลดลง 109.91 จุด (-0.43%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,723.06 จุด ลดลง 17.31 จุด (-0.63%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,356.99 จุด ลดลง 77.06 จุด (-1.04%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 241.19 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 11.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 436.01 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 49.74 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 16.19 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 28.88 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 6.20 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ย.61) 1,681 จุด เพิ่มขึ้น 14.29 จุด (+0.86%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 625.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ย.61) ปิดที่ 63.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 55 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 พ.ย.61) ที่ 5.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.87 อ่อนค่าหลังดอลล์แข็งรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯออกมาดี ตลาดจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
- ททท.ปรับกลยุทธ์ เจาะตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังพบตลาดโลกโตสูง ล่าสุดปี 60 มูลค่า พุ่ง 21 ล้านล้าน คาดปี 65 เพิ่มแตะ 30 ล้านล้าน ขณะ"ไทย"รั้งอันดับ 4 ของโลก พร้อมลุยปรับแผนทำตลาดหันจับลูกค้า CLMV หวังชดเชยกลุ่มตะวันออกกลางที่ลดลง
- รฟท.แจงผู้ชนะโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินสามารถเพิ่มพันธมิตรร่วมทุนภายหลังได้ โดยไม่มีข้อห้ามในทีโออาร์ แต่ต้องไม่กระทบสัดส่วนการเป็นแกนนำกลุ่มเดิม ด้าน"บีทีเอส"ยันหาก ปตท.จะเข้ามาภายหลังต้องขออนุญาตจาก รฟท.ก่อน โดยอาจจะเช่าช่วงเพื่อพัฒนาพื้นที่ทำ"สมาร์ท ซิตี้"ขณะที่ บอร์ด สศช.อนุมัติรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง วงเงินกว่า 2.42 หมื่นล้าน ส่วนรถไฟไทย-จีน เปิดขายซองก่อสร้างช่วง 11 กม. 3.3 พันล้านแล้ว เมื่อ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา กำหนดยื่นซอง 18 ธ.ค.นี้
- ส.อ.ท. ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้าโลกเจาะลึกรายอุตสาหกรรม 45 กลุ่มโฟกัสผลกระทบทางอ้อมที่สินค้าจีนกว่า 6,000 รายการอาจทะลักเข้าไทยได้ หวังเตรียมตั้งการ์ดรองรับปี 62 พร้อมเกาะติดใกล้ชิดหวั่น "ทรัมป์" ประกาศเพิ่มระลอก 3 อีกยิ่งกระทบหนัก "สุพันธุ์"ดัน Made in Thailand ลุ้นเลือกตั้งสงบ เร่งเครื่องลงทุน "อีอีซี"กระตุ้นการขับเคลื่อน ศก.ในประเทศรับมือ
- "แบงก์พาณิชย์"ส่อเผชิญศึกหนักจากมาตรฐานบัญชีใหม่ หลังแบกภาระ "หนี้เอสเอ็ม" ร่วม 3.8 แสนล้าน ส่งผลภาระตั้งสำรองปีหน้าเพิ่มต่อเนื่อง เผยหลายแบงก์เริ่มตุนเงินกองทุน แต่หลายแห่งยังไม่เพียงพอ"บัณฑูร"ยอมรับเกณฑ์ใหม่ทำปล่อยกู้ลำบากขึ้น แต่เชื่อดีต่อระบบป้องแบงก์พังจากการปล่อยกู้เกินตัว
- คมนาคมเคลียร์แผนลงทุน 20 ปี กางมอเตอร์เวย์ 21 สาย ส่วนทางด่วนเน้นแก้จราจรรอบ กทม.-เป็นฟีดเดอร์เชื่อมวงแหวน รอบ 2 และรอบ 3 จ่อผุด ทางด่วนฉลองรัฐ-ลำลูกกา, อุดรรัถยา-รังสิตคลองหก, เชื่อมด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ-ถ.เพชรเกษม ขณะที่เบรกลงทุนทางด่วน อุดรรัถยา-อยุธยา หวั่นแข่งขันกันเอง กระทบเอกชนร่วมลงทุน
- กระทรวงอุตฯ สั่ง ธพว.เร่งปล่อยสินเชื่อกองทุนประชารัฐรอบใหม่ ยื่นคำขอถึง ม.ค. 2562 เผยกองทุนอนุมัติไปแล้วเกิน 60% หนี้เสียต่ำกว่า 1%
*หุ้นเด่นวันนี้
- CENTEL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 45 บาท เก็งกำไรก่อนภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นนักท่องเที่ยว (ฟรีวีซ่าออน อาร์ไรวัล) ในสัปดาห์หน้า ด้านผลประกอบการ Q3/61 คาดมีกำไรสุทธิ 427 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16%yoy
- CK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 34 บาท คาดกำไรปกติ Q3/61 ที่ 646 ลบ. +19% Q-Q, +3% Y-Y จากส่วนแบ่งกำไร BEM และ CKP ขยายตัวเด่นตามฤดูกาล ขณะที่รายได้ก่อสร้างคาด +3% Q-Q ตามการรับรู้ความคืบหน้าของงานที่เพิ่มขึ้น และคาดอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 7.9% ส่วนงานภาครัฐฯมีโอกาสเร่งอนุมัติมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐาน EEC,ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง, รฟฟ.ม่วงใต้, มอเตอร์เวย์ 2 เส้น และรถไฟทางคู่ 9 เส้นทาง คาดว่าจะได้รับงานใหม่อย่างน้อย 2.4 หมื่นลบ.ราคาหุ้น laggard SET100 อยู่ 2% และ STEC อยู่ 7% อีกทั้งยัง Discount NAV ของบริษัทลูก (BEM, CKP, TTW) อยู่ราว 30%
- BEM (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 9 บาท ให้เป็น Stock pick ของเดือน พ.ย.คาดกำไร Q3 (ประกาศวันที่ 9 พ.ย.) ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้ง Core, Net profit ในขณะที่คดีความต่างๆ เริ่มถูกตัดสินเช่น คดีค่าผ่านทาง, ทางด่วนทับซ้อน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากคดีความทั้งหมด 2.8 หมื่นล้านบาท แนะนักลงทุนจับตาการเจรจาสัมปทานคาดเกิดขึ้นใน Q1/62 มีมุมมองเชิงบวก
ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ วิตกเฟดขึ้นดอกเบี้ย, จับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง และค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,002.47 จุด ลดลง 241.19 จุด, -1.08% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,665.43 จุด ลดลง 11.05 จุด, -0.41% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,050.34 จุด ลดลง 436.01 จุด, -1.65% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,856.85 จุด ลดลง 49.74 จุด, -0.50% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,079.81 จุด ลดลง 16.19 จุด, -0.77% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,087.51 จุด ลดลง 28.88 จุด, -0.93% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,720.07 จุด เพิ่มขึ้น 6.20 จุด, +0.36%
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันหลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด
คำกล่าวของนายคุดโลว์มีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 3 รายในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายคุดโลว์ออกมาโต้รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก ปธน.ทรัมป์ก็ได้เผยว่า การพูดคุยกับผู้นำจีนนั้นมีความคืบหน้า และเขาคิดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ ซึ่งคำกล่าวของผู้นำสหรัฐได้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดช่วงลบลงไปได้เป็นอย่างมาก
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ลอนดอนปิดลบ 20.54 จุด ตามตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกันในวันศุกร์ (2 พ.ย.) ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภายหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงค่าจ้างรายชั่วโมงที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,094.12 จุด ลดลง 20.54 จุด หรือ -0.29% ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีพุ่งขึ้น 2.2% มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ย.
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นในช่วงเปิดตลาด ก่อนปรับตัวลดลงในช่วงบ่าย ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่พลิกจากเปิดบวกมาเคลื่อนไหวแดนลบเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ โดยตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังถูกกระทบหลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ออกมาระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีน
คำกล่าวของนายคุดโลว์มีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
นอกจากนายคุดโลว์แล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 3 รายในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเจรจาเบร็กซิตของอังกฤษอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 4.4% หุ้นพรูเด็นเชียล ไฟแนนเชียล บวก 3.8%
ด้านหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ ลดลง 2.2%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก นักลงทุนคลายกังวลข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบ สวนทางภูมิภาค โดยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 1.00 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 364.08 จุด และพุ่งแข็งแกร่ง 3.3% ในรอบสัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2559
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,518.99 จุด เพิ่มขึ้น 50.45 จุด หรือ 0.44% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,102.13 จุด เพิ่มขึ้น 16.35 จุด หรือ 0.32% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,094.12 จุด ลดลง 20.54 จุด หรือ -0.29%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วยุโรปได้รับแรงหนุน ขานรับความคืบหน้าในการเจรจาแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับปธน.สี จิ้นผิง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งการหารือดังกล่าวเป็นไปด้วยดี
"ผมเพิ่งมีการสนทนาที่ใช้เวลานาน และเป็นไปอย่างดีมากกับท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เราได้คุยกันในหลายประเด็น โดยเน้นหนักทางด้านการค้า ซึ่งการหารือดังกล่าวเป็นไปด้วยดี โดยเรามีกำหนดพบปะกันในการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา และเรายังมีการหารือกันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ปธน.ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาคิดว่าสหรัฐจะสามารถทำข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่กับจีน แต่เขาก็เตือนว่าสหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีรอบใหม่ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับจีน
ขณะเดียวกันวานนี้ สำนักงานการธนาคารแห่งยุโรป (EBA) เปิดเผยว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของสหภาพยุโรปทั้ง 48 แห่งต่างก็สามารถผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
การทดสอบดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจวัดความแข็งแกร่งของระบบธนาคารยุโรป ขณะที่พบว่าธนาคารบาร์เคลย์สของอังกฤษ ได้คะแนนต่ำที่สุด และธนาคารลอยด์ก็ได้คะแนนต่ำเช่นกัน ส่วนธนาคารดอยซ์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของยุโรป ได้คะแนนดีกว่าที่คาดไว้
ECB ระบุว่า ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าธนาคารในยุโรปสามารถรับมือได้มากขึ้นกับเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบสวนทางตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค โดยดัชนีฟุตซี่ปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภายหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงค่าจ้างรายชั่วโมงที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปที่มีการเปิดเผยวานนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับ 52.0 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 26 เดือน และต่ำกว่าระดับ 53.2 ในเดือนก.ย.
ดัชนี PMI ยังคงถูกกดดันจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่การส่งออกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีครึ่ง ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2555
อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคการผลิตของยูโรโซนยังคงมีการขยายตัว โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 เป็นเวลา 64 เดือนติดต่อกัน
เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ ออสเตรีย และกรีซ เป็นกลุ่มประเทศที่มีภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง ขณะที่อิตาลี และเยอรมนี ทรุดตัวลง
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 4.4% หุ้นพรูเด็นเชียล ไฟแนนเชียล บวก 3.8%
ขณะที่หุ้นบริษัทสินค้าหรูหราปิดบวกเช่นกัน โดยหุ้นเคอริ่ง เจ้าของแบรนด์ กุชชี่ และ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ พุ่ง 5.5% และหุ้นเบอร์เบอร์รี่ บวก 2.6%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 109.91 จุด หุ้นแอปเปิลดิ่ง,วิตกเฟดขึ้นดบ. ขณะจับตาข้อพิพาทการค้ากับจีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเป็นวันแรกในรอบสี่วันเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ รวมทั้งการที่นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง และค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ภายหลังเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีน ก่อนที่ในเวลาต่อมาไม่นาน ปธน.ได้เผยว่า เขาคิดว่า สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,270.83 จุด ลดลง 109.91 จุด หรือ -0.43% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,723.06 จุด ลดลง 17.31 จุด หรือ -0.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,356.99 จุด ลดลง 77.06 จุด หรือ -1.04%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P ปรับตัวขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.7%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดแดนบวกในการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ แต่พลิกเคลื่อนไหวแดนลบในเวลาต่อมา โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ โดยราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ทรุดตัวลงกว่า 6% หลังจากที่ทางบริษัทเปิดเผยยอดขาย iPhone ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายหุ้นแอปเปิล หลังจากที่บริษัทประกาศปรับการรายงานผลประกอบการ โดยจะยกเลิกการรายงานยอดขายของ iPhone, iPad และ Mac โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสถัดไป ซึ่งสร้างความประหลาดใจต่อนักลงทุน
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่แอปเปิลประกาศเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรายงานผลประกอบการดังกล่าว เป็นการแสดงว่าบริษัทอาจต้องการปกปิดบางสิ่งบางอย่าง ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของบริษัท โดยระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แอปเปิลเปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าคาดประจำเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยระบุว่า บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 6.29 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.258 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.146 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.91 ดอลลาร์/หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.07 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า กำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 2.78 ดอลลาร์/หุ้น
แอปเปิลระบุว่า บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงินบริษัท ที่ระดับ 46.9 ล้านเครื่อง และมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ระดับ 3.72 หมื่นล้านดอลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขาย iPhone จะอยู่ที่ระดับ 47 ล้านเครื่อง และรายได้จากการขาย iPhone จะอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ แอปเปิลยังได้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2562 ของบริษัทในช่วง 8.9-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.29 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันหลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด โดยดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด ทันทีที่นายคุดโลว์ออกมาให้ข่าวดังกล่าว
คำกล่าวของนายคุดโลว์มีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 3 รายในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายคุดโลว์ออกมาโต้รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก ปธน.ทรัมป์ก็ได้เผยว่า การพูดคุยกับผู้นำจีนนั้นมีความคืบหน้า และเขาคิดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ ซึ่งคำกล่าวของผู้นำสหรัฐได้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดช่วงลบลงไปได้เป็นอย่างมาก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ และข้อมูลนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งความวิตกนี้ก็ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์
นอกจากข้อมูลการจ้างงานแล้ว วานนี้ยังได้มีการเปิดเผยตัวเลขดุลการค้าเดือนก.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย. ด้วยเช่นกัน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 5.40 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากแตะระดับ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.70 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 8.63 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
สำหรับการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.126 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.666 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รายงานระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 4.3% สู่ระดับ 4.02 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปี สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนคิดเป็นวงเงิน 3.014 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากพุ่งขึ้น 2.6% ในเดือนส.ค.
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน ลดลง 0.1% ในเดือนก.ย. หลังจากที่ลดลง 0.2% ในเดือนส.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลร่วง 6.6%
หุ้นสตาร์บัคส์ พุ่งกว่า 9% หลังบริษัทเผยยอดขายเติบโตแข็งแกร่ง
หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ร่วงกว่า 9% หลังบริษัทเผยกำไรไตรมาสสามที่ผิดไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
หุ้นไซแมนเทค พุ่ง 4% หลังบริษัทเผยตัวเลขขาดทุนน้อยกว่าคาด
-อินโฟเควสท์