WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

2 1ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมันดิบ Brent ทำ New High รอบเกือบ 4 ปี
 
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์เป็นไปได้ทั้งในแดนบวก-ลบ และยังมีโอกาสที่จะปรับฐานได้อยู่ เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาดาวโจนส์ร่วงแรง ส่วนหนึ่งอาจผิดหวังเรื่องของสงครามการค้า ภายหลังจากที่จีนได้ส่งสัญญาณการยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าคงจะรอไปจนถึงหลังการเลือกตั้งของสหรัฐฯแล้วค่อยว่ากันอีกที อีกส่วนอาจเป็นผลจากที่มองว่า Valuation ตลาดสหรัฐฯสูงแล้ว จึงเป็นโอกาสที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง
 
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. 2557 มายืนเหนือระดับ 81 เหรียญฯ/บาร์เรล ทำให้อาจไปช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และหนุนดัชนีฯได้ด้วย
 
ทั้งนี้ ตลาดฯยังรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ย.นี้ และรอดูจะมีการทำ Window Dressing หรือไม่ก่อนปิดงบฯไตรมาส 3/61 ซึ่งก็คาดว่ารอบนี้ไม่น่าจะทำกันมาก เนื่องจากตลาดฯได้ปรับขึ้นไปมากแล้ว โดยดัชนีฯขึ้นมาราว 5% จึงไม่น่าจะเห็นทำ Window Dressing
 
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้แนวรับ 1,745 จุด ส่วนแนวต้าน 1,757 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 ก.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,562.05 จุด ร่วงลง 181.45 จุด (-0.68%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,919.37 จุด ลดลง 10.30 จุด (-0.35%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,993.25 จุด เพิ่มขึ้น 6.29 จุด (+0.08%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 11.92 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 22.41 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 12.85 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 10.74 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.03 จุด
 
ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 ก.ย.61) 1,749.42 จุด ลดลง 6.70 จุด (-0.38%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 726.02 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 ก.ย.61) ปิดที่ 72.08 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.8%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 ก.ย.61) ที่ 6.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.41 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ รอดูผลประชุมเฟด-สงครามการค้าสหรัฐฯและจีน
- "พลังงาน" เปิดให้ยื่นซอง ประมูลแหล่งเอราวัณ-บงกช วันนี้ (25 ก.ย.) สร้างความมั่นคงพลังงาน ลั่นทุกขั้นตอนโปร่งใส พร้อมสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย ด้าน 3 องค์กร ตบเท้าเข้าพบ "ศิริ" หนุนประมูล ส.อ.ท.ห่วงชะงักฉุดลงทุนอีอีซี ด้านกลุ่มต้าน ปักหลักชุมชนทำเนียบเรียกร้องรื้อ "ทีโออาร์" หันใช้ระบบจ้างผลิต
 
- แบงก์ชาติเตรียมเรียกสถาบันการเงินหารือคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก่อนเกิดฟองสบู่ พร้อมให้ความมั่นใจเฟดขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ ไม่กระทบตลาดเงินและตลาดทุน เหตุมีการรับรู้ล่วงหน้าแล้ว แต่ยังต้องจับตาความผันผวนจากสงครามการค้า มั่นใจเสถียรภาพระบบการเงินไทยแกร่ง รับมือผลกระทบได้
 
- ตลาดหลักทรัพย์ เผย บจ.ที่ทำธุรกิจในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ผลดำเนินงานโดดเด่น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย 31 บริษัท กวาดกำไรสุทธิรวม 1.7 แสนล้าน ขณะ มาร์เก็ตแคป ร่วม 4.4 ล้านล้าน
 
- ธปท.จับตาค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจากเงินไหลเข้า ไม่หวั่นเฟดขึ้นดอกเบี้ยขึ้นอีก ส่งผลส่วนต่างดอกเบี้ยห่างเป็น 0.75%
*หุ้นเด่นวันนี้
- VGI-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 1,711,334,815 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 10 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 4 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (11 กันยายน 61) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 28 ก.ย. 2561 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 9 ก.ย. 2565
 
- ATP30 (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.30 บาท คาดกำไร Q3/61 โตทั้ง Q-Q, Y-Y และทำจุดสูงสุดใหม่ จาก High Season ที่มีวันหยุดไม่มาก และการเริ่มให้บริการลูกค้าใหม่อย่าง Mega Bangna ด้วยรถ Shuttle Bus 6 คัน และ SPRC ด้วยรถตู้ 10 คัน บวกกับอัตรากำไรขั้นต้นที่จะเร่งขึ้นจาก Economy of Scale พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2561 +54% Y-Y เป็น 40 ลบ. และ +16% Y-Y เป็น 47 ลบ. ในปี 2562 โดยลูกค้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ PE กลับอ่อนตัวลง โดย PE2561 อยู่ที่ 24 เท่า และจะลดลงเหลือ 21 เท่าในปี 2562 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 32 เท่า
 
- SVI (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 6.3 บาท ราคาปรับตัวลงเป็นโอกาสทยอยซื้อ คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ Q1/61 และจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องอีกใน Q3/61 และ Q4/61 จากยอดขายและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น
 
- CPALL (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 80.50 บาท แม้คาดว่าไตรมาส 3/2561 จะเป็นอีกไตรมาสที่กำไรสุทธิของ CPALL จะอ่อนตัว แต่คาดว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะยังอยู่ในแนวบวก อย่างไรก็ดีคาดว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/2561 หนุนจากบรรยากาศการบริโภคที่ดีขึ้นตามการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีรายได้ระดับต่ำและ ความคาดหวังต่อการเลือกตั้งที่จะมาถึง
 
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
 
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่เมื่อวานนี้ ขณะที่จีนได้ยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,881.85 จุด เพิ่มขึ้น 11.92 จุด, +0.05% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,775.07 จุด ลดลง 22.41 จุด, -0.80% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,959.56 จุด ลดลง 12.85 จุด, -0.12% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,229.90 จุด เพิ่มขึ้น 10.74 จุด, +0.33% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,798.14 จุด ลดลง 2.03 จุด, -0.11% ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
 
ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงกดดันหลังจากรัฐบาลสหรัฐบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐครั้งใหม่ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียวกัน
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ยกเลิกแผนการส่งนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีกำหนดในสัปดาห์นี้ หลังจากสหรัฐออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ และจากการที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศคว่ำบาตรหน่วยงานด้านกลาโหมของจีนและผู้บริหารของหน่วยงานดังกล่าว
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 31.82 จุด เหตุวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันตลาด อย่างไรก็ตาม หุ้นสกาย และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส พุ่งขึ้นสวนทางการติดลบของตลาด ขานรับข่าวการซื้อกิจการ
 
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,458.41 จุด ลดลง 31.82 จุด หรือ -0.42%
 
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหลังจากรัฐบาลสหรัฐบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐครั้งใหม่ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียวกัน ขณะเดียวกันมีรายงานว่า จีนได้ยกเลิกแผนการส่งนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีกำหนดในสัปดาห์นี้
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้น หลังจากนายโดมินิค ร้าบ รัฐมนตรีอังกฤษฝ่ายกิจการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถทำข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรป (EU) ได้ในที่สุด
 
อย่างไรก็ตาม หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป พุ่งขึ้น 8.7% ขานรับการประมูลขายกิจการให้แก่บริษัทคอมแคสต์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคอมแคสต์ได้เสนอซื้อกิจการสกายด้วยวงเงิน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าวงเงินในข้อเสนอของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ถึง 10%
 
หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ทะยานขึ้น 5.8% หลังจากบริษัทแบร์ริค โกลด์ ประกาศเข้าซื้อกิจการของบริษัทแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ด้วยวงเงิน 6.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่เมื่อวานนี้ อย่าไรก็ตาม หุ้นสกาย และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส พุ่งขึ้นสวนทางการติดลบของตลาด ขานรับข่าวการซื้อกิจการ
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.5% ปิดที่ 382.47 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,350.82 จุด ลดลง 80.06 จุด หรือ -0.64% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,476.17 จุด ลดลง 18.00 จุด หรือ -0.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,458.41 จุด ลดลง 31.82 จุด หรือ -0.42%
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงหลังจากรัฐบาลสหรัฐบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐครั้งใหม่ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียวกัน ขณะเดียวกันมีรายงานว่า จีนได้ยกเลิกแผนการส่งนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีกำหนดในสัปดาห์นี้
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินปอนด์และยูโร โดยเงินยูโรพุ่งขึ้นหลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนจะปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้นหลังจากโดมินิค ร้าบ รัฐมนตรีอังกฤษฝ่ายกิจการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถทำข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรป (EU) ได้ในที่สุด
 
อย่างไรก็ตาม หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป พุ่งขึ้น 8.7% ขานรับการประมูลขายกิจการให้แก่บริษัทคอมแคสต์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคอมแคสต์ได้เสนอซื้อกิจการสกายด้วยวงเงิน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าวงเงินในข้อเสนอของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ถึง 10%
 
หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ทะยานขึ้น 5.8% หลังจากบริษัทแบร์ริค โกลด์ ประกาศเข้าซื้อกิจการของบริษัทแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ด้วยวงเงิน 6.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์
 
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยหุ้นโททาล พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นบีพี ดีดตัวขึ้น 1% และหุ้นลันดิน ปิโตรเลียม ทะยานขึ้นกว่า 3%
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 181.45 จุด วิตกสงครามการค้า,ตลาดจับตาประชุมเฟด
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่เมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข่าวที่ว่าจีนได้ยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย. ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,562.05 จุด ร่วงลง 181.45 จุด หรือ -0.68% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,919.37 จุด ลดลง 10.30 จุด หรือ -0.35% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,993.25 จุด เพิ่มขึ้น 6.29 จุด หรือ +0.08%
 
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงลง หลังจากรัฐบาลสหรัฐบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐครั้งใหม่ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียวกัน
 
ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ยกเลิกแผนการส่งนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีกำหนดในสัปดาห์นี้ หลังจากสหรัฐออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ และจากการที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศคว่ำบาตรหน่วยงานด้านกลาโหมของจีนและผู้บริหารของหน่วยงานดังกล่าว
 
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเนื่องจากสงครามการค้าได้กลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดอีกครั้ง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.1% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 1.5% หุ้น 3M ปรับตัวลง 1.3% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 1.2% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ลดลง 0.7% หุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 1.2% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก ดิ่งลง 3.5%
 
หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคซึ่งมีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่างก็ปรับตัวลง โดยหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ลดลง 0.4% หุ้นพรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ร่วงลง 1.7% หุ้นเป๊ปซี่โค ร่วงลง 2.3% และหุ้นโคคา-โคลา ดิ่งลง 1.1% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ปรับตัวลง 1.5%
 
หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ และเป็นบริษัทแม่ของเอ็นบีซียูนิเวอร์แซล ร่วงลง 6% หลังจากนักวิเคราะห์เตือนว่า ผลประกอบการของคอมแคสต์อาจถูกกระทบ หลังจากคอมแคสต์ได้รับชัยชนะในการเสนอซื้อกิจการของสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป ด้วยวงเงิน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าวงเงินในข้อเสนอของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ถึง 10% โดยฟ็อกซ์เสนอซื้อหุ้นสกายที่ระดับเพียง 15.67 ปอนด์ ขณะที่คอมแคสต์เสนอที่ระดับ 17.28 ปอนด์
 
หุ้นแบร์ริค โกลด์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเมืองรายใหญ่ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 5.4% หลังจากแบร์ริค โกลด์ประกาศเข้าซื้อกิจการของบริษัทแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ด้วยวงเงิน 6.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์
 
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ หลังจากกลุ่มโอเปกและผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้โอเปกเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 1.2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 5.2% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 2.5% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ปรับตัวขึ้น 0.9%
 
ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 1% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 0.6% และหุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 0.4%
 
นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.และมิ.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้
 
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จาก Conference Board, ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
--อินโฟเควสท์ 
OO14203

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!