- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 24 September 2018 13:50
- Hits: 2372
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้มีโอกาสซึมลงตามตลาดภูมิภาค จับตาผลกระทบหลังสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมีผลวันนี้
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะซึมตัวลง คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ซึมตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากมีปัจจัยที่สำคัญอยู่ 2-3 ปัจจัยที่จะต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ เรื่องที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลในวันนี้ ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ ยังจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ด้วย ตลาดฯคาดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ต้องรอดูแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร
ส่วนตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับขึ้นไปมากแล้ว ดังนั้นอาจจะต้องเผชิญแรงทำกำไรเป็นรายหลักทรัพย์ได้ อย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานได้มีการเข้ามาเล่นเก็งกำไรกันมากในช่วงที่ผ่านมาตอบรับราคาพลังงานที่สูงขึ้น และด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้มองว่าค่าไฟจะปรับขึ้นด้วยส่งผลบวกต่อกลุ่มพลังงานในระดับหนึ่งไปแล้ว ต่อไปก็หันไปมองกลุ่มพลังงานทดแทน อย่างกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งที่ผ่านมาก็พักตัวมานาน ตอนนี้คนเริ่มหันมาสนใจ เพราะกลุ่มนี้ก็มีกำไรที่มีเสถียรภาพ อย่างหุ้น GUNKUL, PSTC, SSP, PTTCH เป็นต้น และที่น่าสนใจหุ้นที่ยังมีการซื้อขายไม่แพง อย่างหุ้น SCC, AEONTS, M เป็นต้น
พร้อมให้แนวรับ 1,750-1,740 จุด ส่วนแนวต้าน 1,762 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,743.50 จุด เพิ่มขึ้น 86.52 จุด (+0.32%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,929.67 จุด ลดลง 1.08 จุด (-0.04%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,986.96 จุด ลดลง 41.28 จุด (-0.51%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 169.73 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปรค์ ลดลง 1.99 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.41 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 21.42 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง, ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 ก.ย.61) 1,756.12 จุด เพิ่มขึ้น 4.01 จุด (+0.23%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 605.15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ก.ย.61) ปิดที่ 70.78 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ หรือ 0.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ก.ย.61) ที่ 5.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.47 จับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน หลังจีนยกเลิกแผนเจรจา-การประชุม FED สัปดาห์นี้
- รมว.พลังงาน จะแถลงวันนี้ ยันไม่เลื่อนประมูล ปตท.สผ.-เชฟรอน ควงพันธมิตร พร้อมยื่นชิงหลุมก๊าซ 25 ก.ย.นี้
- รฟท.จ่อขายซองทีโออาร์ ไฮสปีดไทย-จีน ล็อตละ 6 สัญญารวด รวม 12 สัญญาภายในปีนี้
- "ไอพีโอ" ปีนี้พลาดเป้ากว่า 2 แสนล้าน หลัง 9 เดือน ระดมทุนเพียง 10 บริษัท มูลค่า 2.2 หมื่นล้าน ขณะเป้าหมายทั้งปี 40 บริษัท 2.8 แสนล้าน วงการโบรกฯ ชี้ผลจากเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใหม่เข้มงวดขึ้น หลายบริษัทต้องเลื่อนแผนระดมทุน หวังหุ้นใหญ่ "โอสถสภา" ปลุกตลาดท้ายปีคึกคักขึ้น
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.75-2.00% เป็น 2.00-2.25% ในวันที่ 25-26 กันยายน 2561 ตลอดจนประกาศเพิ่มระดับการลดขนาดงบดุลไปที่ระดับสูงสุดที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีพัฒนาการที่แข็งแกร่ง รวมทั้งทิศทางของเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด คงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้งการลดขนาดงบดุลในระดับที่เร่งขึ้น คงเป็นปัจจัยท้าทายต่อประเทศในตลาดเกิดใหม่ ที่อาจจะเผชิญกับความผันผวนของกระแสเงินทุนมากขึ้น
- สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยว่า ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 61/62 ที่จะประกาศเดือน ต.ค.นี้ มีแนวโน้มเฉลี่ย 680 บาทต่อตัน เนื่องจากราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกตกต่ำ ซึ่งเตรียมเสนอแนวทางการช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ส่งเสริมให้ผู้ค้าน้ำมันนำน้ำตาลส่วนเกินที่ส่งออกในราคาต่ำไปผลิตเอทานอล เพื่อผสมน้ำมันเบนซินในการจำหน่ายเป็นแก๊สโซฮอล์มากขึ้นอาจต้องปรับราคาน้ำมันขึ้นประมาณ 2-3 สตางค์ต่อลิตร ให้มีเงินเข้าระบบมาช่วยเหลือชาวไร่อ้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- SCP (กรุงศรี) "ซื้อเก็งกำไร" ราคายัง under value เมื่อเทียบกับ SEAFCO และ PYLON ซึ่งทำธุรกิจใกล้เคียงกัน โดยที่ฐานกำไรสุทธิของ SCP สูงกว่า SEAFCO และ PYLON แต่ PE และ Market cap ต่ำกว่ามาก อีกทั้ง SCP ยังมีปันผลสม่ำเสมอให้ yield ประมาณ 4% ต่อปี
- CK (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 31 บาท ปัจจุบันมีงานในมือไม่สูงนักประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท แต่ในช่วงที่เหลือของปี 2561 และครึ่งแรกของปี 2562 คาดหวังจะมีงานประมูลของรัฐบาลออกมามากขึ้นร่วม 0.7-1 ล้านล้านบาท CK มีจุดเด่นที่มูลค่าของบริษัทลูก คือ BEM, CKP, TTW มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 36 บาทต่อหุ้น และบริษัทลูกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังช่วยหางานให้ CK ด้านเทคนิคลุ้นรีบาวน์ ต้าน 29 รับ 27 บาท
- PCSGH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 11 บาท ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่มยานยนต์อยู่ราว 9% ทั้งที่แนวโน้มกำไรสุทธิ H2/61 จะโตแรงสุดในกลุ่ม +20% Y-Y (คาดกลุ่ม -6% Y-Y ถึง -14% Y-Y) จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และคาดว่าโรงงานในยุโรปจะเริ่มทำกำไรได้ พร้อมคาดกำไรปีนี้ +23% Y-Y อยู่ที่ 790 ลบ. ปีหน้า +13% Y-Y อยู่ที่ 894 ลบ. โดยชิ้นส่วน EV จากยุโรปจะเริ่มผลิต Q4/62 และมีแนวโน้มได้คำสั่งจากกลุ่มลูกค้าในเอเชีย ตามเม็ดเงินลงทุนด้าน EV ของทั้ง Toyota และ Nissan ที่เพิ่มสูงขึ้น
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ จับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยนักลงทุนต่างจับตาสหรัฐและจีนเตรียมบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้ารอบใหม่วันนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาคปิดทำการในวันนี้
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,783.85 จุด ลดลง 169.73 จุด, -0.61% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,215.69 จุด ลดลง 1.99 จุด, -0.06% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,809.23 จุด ลดลง 1.41 จุด, -0.08% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,361.58 จุด ลดลง 21.42 จุด, -0.29%
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่สหรัฐและจีนจะนำมาใช้ตอบโต้กันนั้น จะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จีนได้ยกเลิกแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีแผนว่าจะเจรจาร่วมกันในสัปดาห์นี้ที่กรุงวอชิงตัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ เวลา 12.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ขณะที่รัฐบาลจีนได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 5-10% คิดเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้เช่นกัน
ในขณะที่เส้นตายของการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐและจีนกำลังใกล้เข้ามานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองกลับยังคงตึงเครียด โดยสื่อต่างประเทศหลายสำนักซึ่งรวมถึงวอลล์สตรีท เจอร์นัล และบลูมเบิร์ก รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จีนได้ยกเลิกแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีแผนว่าจะเจรจาร่วมกันในสัปดาห์นี้กรุงวอชิงตัน นอกจากนี้ จีนจะไม่หันหน้าเจรจากับสหรัฐจนกว่าจะถึงช่วงหลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ
สื่อระบุว่า จีนได้ยกเลิกแผนการส่งนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ให้เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจากับสหรัฐ โดยให้เหตุผลว่า นอกเหนือไปจากการที่สหรัฐออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้แล้ว การที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศคว่ำบาตรหน่วยงานด้านกลาโหมของจีนและผู้บริหารของหน่วยงานดังกล่าวนั้น ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จีนตัดสินใจยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐในครั้งนี้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดพุ่ง 122.91 จุด เงินปอนด์อ่อนหนุนบริษัทข้ามชาติ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างอังกฤษ และสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากที่นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรปได้แสดงความคาดหวังว่า การประนีประนอมในประเด็น Brexit ยังคงมีความเป็นไปได้
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,490.23 จุด เพิ่มขึ้น 122.91 จุด หรือ +1.67%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
นักลงทุนจับตาการเจรจา Brexit อย่างใกล้ชิด หลังจากนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวว่า เขายังคงมีความเชื่อมั่นว่า การประนีประนอมในประเด็น Brexit ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายนั้น ยังคงมีความเป็นไปได้
นายทัสค์กล่าวว่า ข้อเสนอของสหราชอาณาจักรแข็งกร้าวจนเกินไป และไม่มีการประนีประนอม โดยข้อเสนอเกี่ยวกับชายแดนไอร์แลนด์ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องมีการจัดทำใหม่ อย่างไรก็ดี นายทัสค์ยืนยันว่า สหราชอาณาจักรยังคงเป็นมิตรที่ใกล้ชิดของเขา และเขามีความชื่นชมต่อนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
การแสดงความหวังของนายทัสค์มีขึ้น แม้ว่านางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่า EU และสหราชอาณาจักรกำลังประสบภาวะชะงักงันในการเจรจา Brexit โดยนางเมย์ย้ำว่าสหราชอาณาจักรพร้อมที่จะถอนตัวจากการเจรจา Brexit กับ EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง และสหราชอาณาจักรจะไม่มีการทำประชามติครั้งใหม่เกี่ยวกับ Brexit
หุ้นคิงฟิสเชอร์ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่ทำธุรกิจตกแต่งบ้าน พุ่งขึ้น 5.6% ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นเกลนคอร์ และหุ้นอันโตฟากัสตา พุ่งขึ้น 4.7% และ 4.4% ตามลำดับ
ส่วนหุ้นที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ หุ้นจัสอีท ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหารทางออนไลน์ ร่วงลง 4.8% หลังจากมีรายงาน อูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารผ่านทางแอปพลิเคชัน กำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการบริษัทเดลิเวอรู ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหาร
ขณะที่หุ้นสมิธ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรม ร่วงลง 4.4% และหุ้นบาร์แรทท์ ดิเวลล็อปเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ร่วงลง 2.9%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หลังหุ้นพลังงานพุ่ง,นักลงทุนขานรับดาวโจนส์ทำนิวไฮ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนขานรับดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนี Stoxx Europe ปิดบวก 0.4% แตะที่ระดับ 384.29 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,490.23 จุด เพิ่มขึ้น 122.91 จุด หรือ +1.67% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,494.17 จุด เพิ่มขึ้น 42.58 จุด หรือ +0.78% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,430.88 จุด เพิ่มขึ้น 104.40 จุด หรือ +0.85%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อันเนื่องมาจากการที่นักลงทุนมองว่า ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจจะไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากสหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเอชเอสบีซี พุ่งขึ้น 2.2% ขณะที่หุ้นอัลลิอันซ์ ดีดตัวขึ้น 1.4%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 2.2%
หุ้นจัสอีท ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหารทางออนไลน์ ร่วงลง 4.8% หลังจากมีรายงาน อูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารผ่านทางแอปพลิเคชัน กำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการบริษัทเดลิเวอรู ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหาร
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน อยู่ที่ระดับ 54.2 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 54.5 ในเดือนส.ค.
ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของเยอรมนี ปรับตัวลดลงแตะ 55.3 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 55.6 ในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ มาร์กิตยังระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของฝรั่งเศส ปรับตัวลดลงแตะ 53.6 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 21 เดือน จากระดับ 54.9 ในเดือนส.ค.
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 86.52 จุด,ทำนิวไฮวันที่สอง หลังนักลงทุนคลายกังวลสงครามการค้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นบริษัทโบอิ้งซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากในจีนนั้น ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดร่วงลงกว่า 0.5% หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,743.50 จุด เพิ่มขึ้น 86.52 จุด หรือ +0.32% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,929.67 จุด ลดลง 1.08 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,986.96 จุด ลดลง 41.28 จุด หรือ -0.51%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.2% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.8% ส่วนดัชนี Nasdaq ลดลง 0.3%
ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วันที่ 2 เมื่อวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากทั้งสหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ไม่มากเท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ ขณะที่รัฐบาลจีนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 5-10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 24 ก.ย.เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีของทั้งสหรัฐและจีนอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดคลายความกังวลข้อพิพาทการค้า โดยหุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการค้าของสหรัฐ เนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศนั้น พุ่งขึ้น 1.3% และ 0.9% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.2% และหุ้น 3M ปรับตัวขึ้น 0.5%
หุ้นแมคโดนัลด์ พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสให้กับผู้ถือหุ้นเพิ่มอีก 15%
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ ปรับตัวขึ้น 2.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ นอกจากนี้ ราคาหุ้นยังได้แรงหนุนจากการที่บริษัทประกาศปรับลดจำนวนพนักงานลง 3% ตามแผนการกระตุ้นรายได้ของบริษัท
หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.2% ก่อนที่คอมแคสต์จะร่วมประมูลซื้อกิจการบริษัทสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป โดยนอกเหนือจากคอมแคสต์แล้ว ยังมีบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดร่วงลง หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.8% หุ้นแอปเปิล ลดลง 1.08% หุ้นอเมซอน ร่วงลง 1.5% และหุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวลง 1.6% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.1% หุ้นไมโครอน เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 2.9% หุ้นอินเทล ปรับตัวลง 1.4% หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 4.5% หุ้นสแนป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสแนปแชท ลดลง 0.7%
หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.04% หลังจากเวลส์ ฟาร์โก ประกาศปลดพนักงานราว 10% คิดเป็นจำนวน 26,500 คน ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยนายทิม สโลน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเวลส์ ฟาร์โก กล่าวว่า การที่ธนาคารปรับลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้ มีสาเหตุจากลูกค้าหันไปนิยมใช้ระบบธนาคารออนไลน์ และเป็นไปตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของทางธนาคาร
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 53.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของภาคบริการ แม้ว่าภาคการผลิตปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่
--อินโฟเควสท์
OO14128