WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

32ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้พักตัว หวั่นกลุ่ม Global Plays เผชิญผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะพักฐานหลังจากที่ได้ปรับขึ้นไป 3 วันรวม 50 จุด โดยให้ระวังหุ้นกลุ่ม Global Plays อย่างหุ้นในกลุ่มน้ำมัน, กลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากอาจจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่มีข่าวออกมาว่าทางสหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยเก็บในอัตรา 10% ขณะที่ยังต้องติดตามความคืบหน้าว่าทั้งจีนและสหรัฐฯจะมีการเจรจาทางการค้าระหว่างกันหรือไม่ หลังจากที่สัปดาหี์ที่แล้วจีนได้ตอบรับคำเชิญจากสหรัฐฯ หรือจะเลื่อนออกไปก่อน
อย่างไรก็ดีปัจจัยในประเทศในเรื่องความคืบหน้าการเลือกตั้งซึ่งสอดคล้องกับโรดแมพของรัฐบาล ทำให้หุ้นในกลุ่ม Domestic Plays อาจได้รับประโยชน์ตรงนี้ จึงแนะนำให้ลงทุน อย่างหุ้น SCC, MBK รวมถึง PLANB เป็นต้น
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะปรับตัวลงเฉลี่ย 0.5-0.6% โดยตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงแรงเช้านี้ เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากพายุมังคุดด้วย
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,715-1,730 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,154.67 จุด เพิ่มขึ้น 8.68 จุด (+0.03%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด (+0.03%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,010.04 จุด ลดลง 3.67 จุด (-0.05%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.35 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 256.50 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 13.64 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.70 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 11.71 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 11.73 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการเนื่องในวันผู้สูงอายุ และตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการเนื่องในวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ก.ย.61) 1,722.21 จุด เพิ่มขึ้น 4.25 จุด (+0.25%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 328.75 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ก.ย.61) ปิดที่ 68.99 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ก.ย.61) ที่ 5.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.70 มองกรอบวันนี้ 32.65-32.75 จับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯ-จีน ประชุมกนง.กลางสัปดาห์นี้
- สมาคมตราสารหนี้ไทย เผยว่าตั้งแต่ต้นปี 2561 จนถึงปัจจุบันมีเอกชนมาขอขึ้นทะเบียนออกหุ้นกู้แล้ว มูลค่า 6.39 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าในปีนี้น่าจะเป็นปีที่ภาคเอกชนมาออกหุ้นกู้ทำสถิติสูงสุดใหม่ เพราะต้องการล็อคต้นทุนทางการเงินไว้ เนื่องจากประเมินว่าในปีหน้าทิศทางดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
- อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เผยกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มีแผนจะนำโครงการมอเตอร์เวย์นครปฐมชะอำ (M8) เข้าระดมทุนในกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) โดยการแบ่งรายได้ในแต่ละปีจากมอเตอร์เวย์ 2 สายที่เปิดใช้แล้วนำเข้ากองทุนนั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากโครงการนี้ได้เปิดให้เอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) ซึ่งใช้รูปแบบพีพีพี เน็ต คอสต์ คือเปิดประมูลเพียงสัญญาเดียวทั้งงานก่อสร้างและงานระบบ โดยภาครัฐดูแลเรื่องงานเวนคืนและช่วยค่าก่อสร้างบางส่วน ขณะที่เอกชนลงทุนและรับความเสี่ยงเองทั้งหมด โดยแบ่งรายได้ให้รัฐตามที่ตกลงกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้ารูปแบบที่จะระดมทุนผ่าน TFF ได้
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 3-4 เดือนก่อนประกาศวันเลือกตั้งชัดเจน จะเร่งผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมและสำคัญให้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเปิดประกวดราคาให้ได้มากที่สุด และต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งโครงการสำคัญ ๆ นี้มีมูลค่ารวมกันแล้วมากกว่า 3 แสนล้านบาท หากผลักดันออกมาแล้วจะเป็นแรงส่งที่สำคัญของเศรษฐกิจ
- สื่อต่างชาติรายงานว่า รัฐบาลจีนอาจปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่ตามข้อเสนอของสหรัฐ หากคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม ขณะที่มีรายงานข่าวว่าคณะทำงานของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์เตรียมประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนล็อตใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมครั้งนี้ โดยมองว่า ความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมครั้งนี้ยังมีไม่มาก แม้ว่าภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะปรับดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย รวมทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินยังไม่น่าจะเปลี่ยนท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้
*หุ้นเด่นวันนี้
- EPG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 12 บาท ปีนี้ทุกธุรกิจจะฟื้นตัว EPP (บรรจุภัณฑ์พลาสติก) ดีขึ้นเพราะการแข่งตัดราคาเริ่มลดลง Aeroflex (ฉนวนยาง) ได้แรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐาน และ Aeroklas (ชิ้นส่วนรถยนต์) จะมีการออกสินค้าใหม่เพิ่ม คาดกำไรปี 2562 (เม.ย.61-มี.ค.62) ที่ 1,251 ล้านบาท  +26% Y-Y และคาด +17% Y-Y ทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2563 ที่ 1,460 ล้านบาท ด้านราคาหุ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 8 เดือน และคิดเป็น PE2562-2563 ราว 18-20 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 24 เท่า
- PLANB (เออีซี) "ซื้อ"เป้า Consensus 7.8 บาท ปี 61 คาดกำไรโต 41.5%YoY หนุนด้วยเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ปีนี้ที่ 20%YoY จากแนวโน้มสดใสของธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย และธุรกิจสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ส่งผลให้คาดอัตราการใช้พื้นที่สื่อโฆษณา (Utilization rate) จะเพิ่มเป็น 74-77% จากปี 60 ที่ 69% อีกทั้งบริษัทมีแผนเพิ่มพื้นที่สื่อโฆษณา(Capacity) ขึ้นอีก 10-15% รองรับทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
- CPALL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 80 บาท ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน ทำให้ CPALL กลายเป็นหุ้นเป้าหมายที่นักลงทุนสถาบันจะซื้อคืน
- STA (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้าสูงสุด Consensus 15.5 บาท เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากเป็นผู้ผลิตขั้นกลาง (วัตถุดิบจากผลิตภัณฑ์ยาง) ไปสู่ผลิตภัณฑ์ขั้นปลายน้ำ (ถุงมือยาง) ในสัดส่วนที่มากขึ้น ช่วยลดความผันผวนของรายได้และเพิ่มมาร์จิ้นให้สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันมองว่าตลาดยังไม่ให้ Value จากธุรกิจดังกล่าว จึงเป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,671.29 จุด ลดลง 10.35 จุด, -0.39% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,029.91 จุด ลดลง 256.50 จุด, -0.94% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,881.78 จุด เพิ่มขึ้น 13.64 จุด, +0.13% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,314.55 จุด ลดลง 3.70 จุด, -0.16% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,149.71 จุด ลดลง 11.71 จุด, -0.37% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,424.88 จุด เพิ่มขึ้น 11.73 จุด, +0.16%
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการเนื่องในวันผู้สูงอายุ และตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการเนื่องในวันชาติ
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า รัฐบาลจีนอาจปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่ตามข้อเสนอของสหรัฐ หากคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม
วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์เตรียมประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนล็อตใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: นลท.กลับเข้าซื้อหุ้นก่อนหยุดสุดสัปดาห์ หนุนฟุตซี่ปิดบวก 22.47 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นก่อนหยุดสุดสัปดาห์ ขณะที่แรงกดดันหรือปัจจัยลบในตลาดคลี่คลายลง โดยถึงแม้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินอยู่ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณในทางที่ดีเกี่ยวกับการหันหน้าเจรจาระหว่างสองฝ่าย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันศุกร์ที่ 7,304.04 จุด เพิ่มขึ้น 22.47 จุด หรือ 0.31% ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 0.37%
สำหรับความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนยินดีตอบรับคำเชิญของสหรัฐสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยทั้งสองฝ่ายกำลังหารือกันเกี่ยวกับรายละเอียดของการจัดการประชุมดังกล่าว
นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐมีขึ้นในช่วงเวลาที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ขณะที่สถานการณ์เบร็กซิตนั้น นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ออกโรงเตือนว่า การถอนตัวของอังกฤษจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (Brexit) แบบไร้ซึ่งข้อตกลง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และจุดชนวนให้เกิดภาวะผันผวนด้านการเงินอีกระลอก
ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษได้ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับความเสี่ยงนานาประการจากการถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) อย่างไร้ระเบียบ
ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอังกฤษได้ทดสอบภาวะวิกฤตอยู่เป็นระยะ เพื่อเช็คสภาพระบบการธนาคารว่า จะสามารถรับมือกับภาวะผันผวนด้านการเงินได้หริอไม่ และครั้งล่าสุดที่ได้ดำเนินการทดสอบไปนั้นก็เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และมีการคาดการณ์ว่า ราคาบ้านอาจจะร่วงลงถึง 33% หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด
หุ้นบวกนำโดย TUI ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านการท่องเที่ยว พุ่ง 3.81% ตามด้วยเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป บริษัทสินค้าหรู พุ่ง 3.36% และโรลส์-รอยซ์ โฮลดิงส์ ปรับตัวขึ้น 2.74%
ด้านหุ้นอินเวสเทค ทะยาน 8.36% หลังวาณิชธนกิจรายนี้เผยว่าจะแยกธุรกิจ และจดทะเบียนธุรกิจบริหารสินทรัพย์แยกเป็นอีกบริษัทหนึ่ง
ขณะที่หุ้น SSE บริษัทพลังงานของสกอตแลนด์ ร่วง 3.21% เป็นแกนนำหุ้นลบ หุ้นบริษัทพนันกีฬา Gvc ลบ 2.55% และหุ้นอินฟอร์มา บริษัทสิ่งพิมพ์และจัดงานอีเวนต์ ลบ 2.13%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 ก.ย.) ตามทิศทางตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชีย ท่ามกลางปัจจัยในตลาดที่ค่อนข้างเป็นบวก ภายหลังจากที่จีนตอบรับคำเชิญเข้าร่วมการเจรจาการค้ากับสหรัฐ แม้หุ้นกลุ่มการเงินได้รับแรงกดดันจากหุ้น Danske Bank ที่ร่วงลง หลังมีข่าวว่าธนาคารถูกทางการสหรัฐสอบสวนเรื่องฟอกเงิน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 1.33 จุด หรือ 0.35% แตะที่ระดับ 377.85 จุดในวันศุกร์ และเพิ่มขึ้น 1% ในรอบสัปดาห์
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,352.57 จุด เพิ่มขึ้น 24.45 จุด หรือ +0.46% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,124.33 จุด เพิ่มขึ้น 68.78 จุด หรือ +0.57% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,304.04 จุด เพิ่มขึ้น 22.47 จุด หรือ +0.31%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นตามตลาดส่วนใหญ่ในเอเชียเมื่อวันศุกร์ หลังสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีสัญญาณดีขึ้นบ้าง โดยนายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนยินดีตอบรับคำเชิญของสหรัฐสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยทั้งสองฝ่ายกำลังหารือกันเกี่ยวกับรายละเอียดของการจัดการประชุมดังกล่าว
นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐมีขึ้นในช่วงเวลาที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนส่วนหนึ่งหลังจากเมื่อวันพฤหัสบดี ธนาคารกลางตุรกีประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 6.25% สู่ระดับ 24% จากเดิมที่ระดับ 17.75% เพื่อหนุนค่าเงินลีรา ซึ่งได้ทรุดตัวลงราว 40% เทียบดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปีนี้
ด้านสกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนนี้ จากที่แข็งค่าขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีภายหลังที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศว่าจะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงครึ่งหนึ่ง สู่ระดับ 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือน นับตั้งแต่เดือนต.ค. และจะยุติมาตรการ QE โดยสิ้นเชิงในช่วงสิ้นปีนี้
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในการประชุม ECB เมื่อวันพฤัสบดี โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปที่มีการรายงานวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ต้นทุนด้านแรงงานในยูโรโซนพุ่งขึ้น 2.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2555 จากระดับ 2.1% ในไตรมาสแรก
ส่วนต้นทุนด้านค่าจ้างเพิ่มขึ้น 1.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี
ต้นทุนแรงงานพุ่งขึ้นมากที่สุดในอิตาลี โดยเพิ่มขึ้น 3.6% ส่วนฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 2.4% เยอรมนีเพิ่มขึ้น 2.0% และสเปนเพิ่มขึ้น 0.7%
หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงกดดัน โดยหุ้น Danske Bank ของเดนมาร์ก ร่วง 1.1% หลังมีรานงานข่าวว่า ธนาคารกำลังถูกทางการสหรัฐสืบสวนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการฟอกเงิน นอกจากนี้ รายงานข่าวยังระบุถึงซิตี้กรุ๊ปและดอยซ์แบงก์ว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน
หุ้นดอยซ์แบงก์ ลบ 0.2% ในตลาดหุ้นเยอรมนี ขณะที่หุ้นซิตี้กรุ๊ปบวก 0.5% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นสหรัฐ
ด้านหุ้นอินเวสเทค วาณิชธนกิจของอังกฤษ ทะยาน 8.36% หลังบริษัทประกาศแยกธุรกิจบริหารสินทรัพย์
หุ้นไรอันแอร์ บวก 1.2% หลังสายการบินเผยว่าใกล้บรรลุข้อตกลงแรงงานกับกลุ่มลูกเรือในอิตาลี
หุ้นไบเออร์ บริษัทยาและเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของเยอรมนี บวก 2.23% หุ้นลินเด้ บริษัทเคมีภัณฑ์ บวก 1.65% และหุ้นโฟล์กสวาเกน เพิ่มขึ้น 1.52%
หุ้นเฮงเค็ล บริษัทเคมีและสินค้าอุปโภค ลดลง 1.58% หุ้นเมอร์ค บริษัทยา ลบ 0.87% ในตลาดหุ้นเยอรมนี
หุ้นเรโนลต์ บวก 2.86% ในตลาดหุ้นฝรั่งเศส หุ้นลอรีอัล ลบ 0.74%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 8.68 จุด หลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.,นลท.จับตาความขัดแย้งการค้าจีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) แต่ขยับขึ้นไม่มากนัก เช่นเดียวกับดัชนี S&P ที่บวกขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้าน Nasdaq ปิดขยับลงเล็กน้อย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการซึ่งมีทั้งที่ออกมาดีกว่าและแย่กว่าคาดการณ์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังมีข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,154.67 จุด เพิ่มขึ้น 8.68 จุด หรือ +0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด หรือ +0.03% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,010.04 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.05%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.9% ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สี่ในรอบห้าสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.2% บวกเป็นสัปดาห์ที่ห้าติดต่อกัน และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.4% บวกเป็นสัปดาห์ที่สามในรอบสี่สัปดาห์
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดปรับตัวขึ้น ก่อนพลิกร่วงลงสู่แดนลบอยู่ช่วงหนึ่ง เช่นเดียวกับอีกสองดัชนีที่ขยับขึ้นลงระหว่างแดนบวกและแดนลบตลอดช่วงการซื้อขายในวันศุกร์ หลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เรียกประชุมที่ปรึกษาทางการค้า ซึ่งรวมถึงนายมนูชิน, นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ
รายงานระบุว่า ปธน.ทรัมป์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี เดินหน้าเรียกเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน แม้อีกด้านหนึ่ง สหรัฐจะยังคงใช้ความพยายามที่จะเจรจาแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับจีน
ขณะนี้ได้ผ่านพ้นกำหนดเส้นตายในวันที่ 6 ก.ย.สำหรับการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐต่อมาตรการเรียกเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน แต่ปธน.ทรัมป์ก็ยังคงไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่วงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่มีแผนเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี แม้มีแรงเทขายเข้ามาในตลาดหลังจากมีการรายงานข่าวดังกล่าว แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็ค่อยๆ ดีดตัวขึ้นเป็นลำดับจนปิดแดนบวกได้ในที่สุด
สำหรับความเคลื่อนไหวจากธนาคารกลางสหรัฐ นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ผู้ว่าการเฟด ชิคาโก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐหลายรายคาดการณ์เหมือนกันว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวแข็งแกร่งในช่วงหลายปีข้างหน้า โดยอัตราว่างงานจะลดลง และอัตราเงินเฟ้อจะขยับขึ้นเหนือ 2% เล็กน้อย
ในส่วนของสถานการณ์พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐ (NHC) รายงานว่า พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์พัดขึ้นฝั่งที่แถบชายฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไลนาและเซาท์แคโรไลนา โดยถึงแม้พายุลูกนี้ได้อ่อนกำลังสู่ระดับ 1 แต่ก็ยังคงอันตราย เพราะจะทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก ลมแรง รวมทั้งก่อให้เกิดสตอร์ม เซิร์จ หรือคลื่นลูกใหญ่บริเวณชายฝั่งของรัฐนอร์ทและเซาท์แคโรไลนา ขณะที่มีการประมาณการว่า พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์อาจสร้างความเสียหายแก่ที่ดินและทรัพย์สินเป็นมูลค่า 3-5 พันล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการรายงานเมื่อวันศุกร์มีอยู่หลายรายการด้วยกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. โดยการชะลอตัวของยอดค้าปลีกในเดือนส.ค.ได้รับผลกระทบจากการลดลงของยอดขายรถยนต์และเสื้อผ้า
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนก.ค.
ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค โดยภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.2% และภาคเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น 0.7%
ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 78.1% ในเดือนส.ค. จากระดับ 77.9 ในเดือนก.ค.
ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าร่วงลง 0.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559 หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.
การร่วงลงของดัชนีราคานำเข้าได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งได้พุ่งขึ้นมากกว่า 6% ในปีนี้ และได้ทำให้ต้นทุนการนำเข้าพลังงานลดลง หากไม่นับรวมหมวดพลังงานและอาหาร ดัชนีราคานำเข้าพื้นฐานลดลง 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.5% ในเดือนก.ค.
ด้านผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 100.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96.6 หลังจากแตะระดับ 96.2 ในเดือนส.ค.
ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันเดียวกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.
การดีดตัวขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจในเดือนก.ค.ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของสต็อกรถยนต์
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต
หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ และโบอิ้ง เป็นแกนนำหุ้นบวก โดยพุ่งขึ้น 1.68% และ 1.22% ตามลำดับ
หุ้นแอปเปิล ลบ 1.14% หลังพุ่งแข็งแกร่งวันก่อน
--อินโฟเควสท์
OO13842

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!