- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 14 September 2018 12:10
- Hits: 2585
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้น รับกระแสเงินทุนมีสัญญาณบวกหลังคืบหน้าการเลือกตั้ง-ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่มีเสถียรภาพขึ้น
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกเล็กน้อย เนื่องจากกระแสเงินทุนต่างประเทศมีสัญญาณเป็นบวกหลังจากที่มีความคืบหน้าการเลือกตั้งชัดเจนขึ้น โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิ และได้มีการทำ Long ในตลาดฟิวเจอร์ด้วย รวมถึงนักลงทุนสถาบันก็เข้ามาซื้อสุทธิ แสดงให้เห็นว่ามี Fund Flow ไหลเข้ามา
นอกจากนี้ ค่าเงินใน Emerging Market มีเสถียรภาพมากขึ้น และก็มีการแข็งค่าขึ้นด้วย หลังจากที่ธนาคารกลางตุรกีได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 6.25% มาสู่ระดับ 24% ทำให้ค่าเงินตุรกีแข็งค่าขึ้น และส่งผลดีต่อค่าเงินใน Emerging Market รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯเมื่อวานนี้ออกมาขยายตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาด ทำให้เห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องรีบเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดียังต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ จีน ซึ่งล่าสุดทางจีนได้ตอบรับคำเชิญจากสหรัฐฯแล้ว แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ออกมาระบุว่ายังไม่ต้องรีบเจรจาก็ได้ ท่าทีของ"ทรัมป์"ทำให้สร้างความสับสนให้กับตลาดฯ ดังนั้นจึงติดตามดูต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,710 จุด ส่วนแนวต้าน 1,725-1,730 จุด ที่บริเวณแนวต้านระวังการแกว่งตัวด้วย
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,145.99 จุด เพิ่มขึ้น 147.07 จุด (+0.57%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,013.71 จุด เพิ่มขึ้น 59.48 จุด (+0.75%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.18 จุด เพิ่มขึ้น 15.26 จุด (+0.53%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 214.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.20 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 215.30 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49.30 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 18.47 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 14.45 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.04 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ก.ย.61) 1,717.96 จุด เพิ่มขึ้น 38.57 จุด (+2.30%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,992.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ก.ย.61) ปิดที่ 68.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ก.ย.61) ที่ 5.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.61 แนวโน้มแข็งค่าจากแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 32.55-32.65 รอดูยอดค้าปลีกสหรัฐฯคืนนี้
- ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2561 ได้อนุมัติลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงาน 4 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน 1.67 แสนล้านบาท
- ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 4 แห่ง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นำเสนอข้อมูลกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ เพราะเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่มีความมั่นคงระยะยาว ไม่ต้องปรับพอร์ตตลอดเวลา และมีความเสี่ยงต่ำ
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปรับประมาณการ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2561 ใหม่ มาอยู่ที่ 4.6% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ 4.4% โดยมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังโตต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
- ก.ล.ต.เผยหลังปรับปรุงเกณฑ์กำกับการออกตราสารหนี้ใหม่ ฉุดแนวโน้มการออกตั๋ว B/E ลดลง โดยยอดคงค้างปัจจุบันแตะ 2.6 แสนล้านบาท ลดลง 1.3 แสนล้านบาท ขณะบริษัทค้างชำระหนี้เหลือ 11 บริษัท
- "คมนาคม" เร่งแผน เบิกจ่ายงบลงทุน 3 หน่วยหลัก กรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท-รฟท. ปี 61 วงเงินกว่า 1.46 แสนล้าน หลังกรมทางหลวง และรฟท.ยังเบิกจ่ายล่าช้า เหตุติดปัญหาเวนคืน "มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี" และรถไฟทางคู่
*หุ้นเด่นวันนี้
- MACO-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 1,375,542,814 หน่วย อายุ 3 ปี ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาใช้สิทธิ 2.10 บาท/หุ้น กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 30 ก.ย.63 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 27 ส.ค.64
- ROBINS (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 72 บาท เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่คาดว่าจะได้ผลบวกจากเม็ดเงินหมุนเวียนและสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้งเนื่องจาก ROBINS มีสัดส่วนรายได้จากฐานลูกค้าในต่างจังหวัดคิดเป็น 40% ของรายได้รวมขณะที่ Valuation ถูกสุดของกลุ่ม (PE 23 เท่าเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 26-28 เท่า)
- IRPC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท กำไร Q3/61 อาจชะลอทั้ง Q-Q และ Y-Y จากการปิดซ่อมโรงกลั่น แต่จะไปเร่งใน Q4/61 ต่อเนื่องถึง Q1/62 จาก GRM ที่เพิ่มขึ้นตามการ COD โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ส่วนเพิ่ม คาดกำไรปกติทั้งปี 1.3 หมื่นล้านบาท +22% Y-Y ด้านราคาหุ้นมีโอกาสถูก Cover Short จากทั้งยอด Short ใน IRPCU18 และ IRPCZ18 ตั้งแต่ต้น ก.ย. 61 ที่มี OI รวมกัน 2.8 หมื่นสัญญา (28 ล้านหุ้น) ราคาเฉลี่ย 6.87 บาท และยอด Short Sales ในช่วงเวลาเดียวกันอีก 14.6 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 6.69 บาท
- BBL (ไอร่า) เป้า 229 บาท ได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนใหม่ในช่วง H2/61 ซึ่ง BBL มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ จากต้นทุนที่ต่ำ ขณะที่สภาพคล่องสูงกว่า ขณะที่อัตราดอกเบี้ย เริ่มเข้าสู่ขาขึ้น คาดส่งผลดีต่อ NIM ของธนาคารขนาดใหญ่ ทางด้านสงครามการปรับลดค่าธรรมเนียม คาด BBL ได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จากความร่วมมือกับ AIA คาดช่วยหนุน Non-NII ของ BBL ในช่วง H2/61 นอกจากนี้คาด NPL Formation เริ่มทรงตัวทำให้คาดตั้งสำรองหนี้ลดลงจากปีที่ผ่านมา พร้อมมองผลประกอบการคาดในปี 61 มีกำไรสุทธิ 35,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ คลายวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,035.78 จุด เพิ่มขึ้น 214.46 จุด, +0.94% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,688.78 จุด เพิ่มขึ้น 2.20 จุด, +0.08% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,229.79 จุด เพิ่มขึ้น 215.30 จุด, +0.80% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,776.53 จุด เพิ่มขึ้น 49.30 จุด, +0.46% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,304.70 จุด เพิ่มขึ้น 18.47 จุด, +0.81% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,146.22 จุด เพิ่มขึ้น 14.45 จุด, +0.46% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,790.56 จุด ลดลง 2.04 จุด, -0.11%
นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จีนยินดีตอบรับคำเชิญของสหรัฐสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่ พร้อมกับกล่าวว่า จีนตระหนักเสมอว่าความขัดแย้งทางการค้าที่ลุกลามออกไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด ซึ่งนับตั้งแต่การเจรจาเบื้องต้นที่กรุงวอชิงตันในเดือนที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงทำการติดต่อกัน และหารือกันเกี่ยวกับความกังวลของแต่ละฝ่าย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของจีนมีขึ้นหลังจากนายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐได้มีการหารือกัน และมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ทางรัฐบาลจีนก็มีความต้องการที่จะเจรจาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาของสหรัฐ จึงได้ส่งจดหมายเชิญไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้น รวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะลดแนวโน้มในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 31.79 จุด เหตุเงินปอนด์แข็งฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับทิศทางตลาดการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัยอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,281.57 จุด ลดลง 31.79 จุด หรือ -0.43%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี BoE ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับตลาดการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัย Brexit
ถ้อยแถลงของ BoE ระบุว่า ภาคธุรกิจได้คุมเข้มการใช้จ่าย และชะลอการลงทุน ก่อนที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU ในช่วงสิ้นเดือนมี.ค.ในปีหน้า ขณะที่กลุ่มผู้ส่งออกคาดว่ามีแนวโน้ม 40% ที่ยอดขายจะได้รับผลกระทบจากปัจจัย Brexit
หุ้นบริษัทผลิตบุหรี่ร่วงลง โดยหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ดิ่งลง 1.9% หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ร่วงลง 2.5%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง โดยหุ้นอันโตฟากัสตา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองทองคำรายใหญ่ ร่วงลง 1.7% ขณะที่หุ้นแองโกล อเมริกัน ดิ่งลง 1.66%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุเงินยูโร,ปอนด์แข็งค่ากดดันบริษัทข้ามชาติ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของเงินยูโรและเงินปอนด์ได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง โดยสกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศว่าจะยุติการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นปีนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.2% แตะที่ระดับ 376.52 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,328.12 จุด ลดลง 4.01 จุด หรือ -0.08% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,281.57 จุด ลดลง 31.79 จุด หรือ -0.43% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,055.55 จุด เพิ่มขึ้น 23.25 จุด หรือ +0.19%
หุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินยูโรและเงินปอนด์ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับรายได้ของบริษัทกลุ่มดังกล่าว โดยหุ้นที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ได้แก่ หุ้นอินฟิเนียน เทคโนโลยี ร่วงลง 3.7% หุ้นเมอร์ก ดิ่งลง 2.1%
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนนี้ หลังจากที่ประชุม ECB ประกาศว่าจะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงครึ่งหนึ่ง สู่ระดับ 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือน นับตั้งแต่เดือนต.ค. และจะยุติมาตรการ QE โดยสิ้นเชิงในช่วงสิ้นปีนี้
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในการประชุม ECB เมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
หุ้นบริษัทผลิตบุหรี่ยาสูบร่วงลง โดยหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ดิ่งลง 1.9% หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ร่วงลง 2.5% โดยหุ้นกลุ่มผู้ผลิตบุหรี่ยาสูบปรับตัวลงหลังจากทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันพุธ อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) จะห้ามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า หากผู้ผลิตไม่หาทางควบคุมการสูบบุหรี่ดังกล่าวในกลุ่มวัยรุ่น
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 147.07 จุด รับความหวังเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน,หุ้นเทคโนฯดีดแรง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้น รวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะลดแนวโน้มในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,145.99 จุด เพิ่มขึ้น 147.07 จุด หรือ +0.57% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,013.71 จุด เพิ่มขึ้น 59.48 จุด หรือ +0.75% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.18 จุด เพิ่มขึ้น 15.26 จุด หรือ +0.53%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเมื่อคืนนี้ ท่ามกลางปัจจัยบวกต่างๆที่ช่วยหนุนตลาด ซึ่งรวมถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน โดยนายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จีนยินดีตอบรับคำเชิญของสหรัฐสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่ พร้อมกับกล่าวว่า จีนตระหนักเสมอว่าความขัดแย้งทางการค้าที่ลุกลามออกไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด ซึ่งนับตั้งแต่การเจรจาเบื้องต้นที่กรุงวอชิงตันในเดือนที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงทำการติดต่อกัน และหารือกันเกี่ยวกับความกังวลของแต่ละฝ่าย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของจีนมีขึ้นหลังจากนายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐได้มีการหารือกัน และมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ทางรัฐบาลจีนก็มีความต้องการที่จะเจรจาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาของสหรัฐ จึงได้ส่งจดหมายเชิญไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นขานรับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นโบอิ้ง เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดีดตัวขึ้น 0.9% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 0.8% และหุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.8% เช่นกัน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 0.9% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 4.5% หุ้นอินเทล ปรับตัวขึ้น 1.4% และหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ดีดตัวขึ้น 0.7%
หุ้นควอลคอมม์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชิพโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ระดับโลก พุ่งขึ้น 4% หลังจากบริษัทประกาศแผนซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนในวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มบริษัทที่จำหน่ายวัสดุซ่อมแซมบ้านและการก่อสร้างปรับตัวลง หลังจากมีรายงานว่า พายุเฮอร์ริเคน "ฟลอเรนซ์" ได้ลดระดับความรุนแรงลงสู่ระดับ 2 หลังจากที่พัดเข้าชายฝั่งรัฐนอร์ธแคโรไลนาเมื่อวานนี้ โดยหุ้นโฮมดีโปท์ ร่วงลง 1.2% หุ้นลูว์ส ดิ่งลง 1.4% หุ้นเบคอน รูฟฟิ่ง ซัพพลาย ร่วงลง 5.9% หุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ร่วงลง 1.6% และหุ้นพัลท์ กรุ๊ป ดิ่งลง 2.3%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% โดยการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดของดัชนี CPI มีสาเหตุจากการร่วงลงของค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสุขภาพ และเสื้อผ้า ขณะที่ราคาค่าเช่า และพลังงานปรับตัวขึ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 204,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 210,000 ราย
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
OO13774