WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

3ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามภูมิภาค เล็งรับข่าวดีสหรัฐฯจะเจรจาการค้ารอบใหม่กับจีน-คืบหน้าเลือกตั้งในปท.ชัดเจน
 
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ปรับตัวขึ้นกันเกือบยกแผง ตอบรับข่าวดีที่เริ่มเข้ามา จากการที่สหรัฐฯกำลังหาทางเริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่จีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า และค่าเงินใน Emerging Market เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเงินรูปีของอินเดียเริ่มแข็งค่าขึ้น และรูเปียห์ของอินโดนีเซียก็เริ่มนิ่ง ทำให้เงินทุนไหลออกจาก Emerging Market เบาลง
 
นอกจากนี้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการได้มาซึ่งส.ว. ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทำให้มีความชัดเจนในการเลือกตั้งมากขึ้น และเท่าที่ดูก็มีกระแสตอบรับเรื่องนี้มาก ซึ่งตลาดฯเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อการเลือกตั้งมากขึ้น โดยแนะนำหุ้นที่เกี่ยวข้อง STEC, ROBINS, MACO เป็นต้น
 
พร้อมให้แนวต้าน 1,695 จุด ส่วนแนวรับ 1,675 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,998.92 จุด เพิ่มขึ้น 27.86 จุด (+0.11%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด (+0.04%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,954.23 จุด ลดลง 18.25 จุด (-0.23%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 53.34 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 23.10 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 453.35 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 4.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.36 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.27 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.70 จุด
 
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ก.ย.61) 1,679.39 จุด เพิ่มขึ้น 6.97 จุด (+0.42%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,639.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ก.ย.61) ปิดที่ 70.37 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.6%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ก.ย.61) ที่ 5.57  ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.63 แข็งค่าจากวานนี้ รับเม็ดเงินไหลเข้าจากประเด็นการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจน
- คนร.ไฟเขียวควบรวม "ทีโอที-กสท"เป็นบริษัทโทรคมนาคม แห่งชาติ เตรียมเสนอ ครม.เดือนพ.ย.นี้ คาดจัดตั้งบริษัทใหม่ได้ก.พ.ปีหน้า เผยเหตุสหภาพทั้ง 2 แห่งยอมเปิดทางควบรวม จากมติให้ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เชื่อได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
 
- ราชกิจจาฯ ประกาศใช้กฎหมาย ส.ส.-ส.ว. แต่ยังไม่นับ ถอยหลังสู่ศึกเลือกตั้ง เหตุ ม.หน่วงเวลาให้ต้องพ้น 90 วัน ก่อนจะนับถอยหลังอีก 150 วันเป็นทางการ คาดเลือกตั้งช่วงเดือน เม.ย.หรือ พ.ค. 62 "บิ๊กตู่" ลั่นประชาธิปไตยเกิดแน่ แต่ต้องเลิกความขัดแย้งให้ได้ "โอด" ตัวเอง ทน อึด เหมือนยาง มิชลิน ฝันอยากเป็นเหมือน "ป๋า" ไม่ตอบโต้ใคร
 
- เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยปัจจุบันมูลค่าตลาดทุนไทยคิดเป็น 115% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% แต่มีนักลงทุนที่ลงทุนผ่านตลาดทุนเพียง 3-4 ล้านรายเท่านั้น เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศเพราะเข้าใจยาก เมื่อลงทุนแล้วก็ขาดทุน เนื่องจากไม่ได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพราะธุรกิจที่ให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุน มุ่งดูแลกลุ่มผู้มีเงินลงทุนสูงเป็นหลักแต่ครั้งนี้จะทำให้คนที่มีเงินไม่มากก็สามารถมาใช้บริการได้
 
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผย ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดิมที่ระดับ 46.3 ในเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ระดับ 46.5 ในเดือน ส.ค. เนื่องจากครัวเรือนเกษตรบางส่วนมีความกังวลลดลงต่อประเด็นเรื่องภาระหนี้สินในอนาคต ส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ อย่างมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย
 
- รมว.คลังระบุขณะนี้ธปท.ยังไม่มีความจำเป็นขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจไปสั่งธปท.ได้แต่ดูภาพรวมกว้างๆ แล้วเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลที่จะขึ้นดอกเบี้ย เพราะอัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่ได้ตามกรอบที่วางไว้
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- BKD-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.บางกอก เดค-คอน (BKD)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน  358,726,992 หน่วย ราคา 0.00 บาท/หน่วย อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 4 ปี 3 เดือน อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาใช้สิทธิ ปีที่ 1 เท่ากับ 4 บาท/หุ้น, ปีที่ 2 เท่ากับ 4 บาท/หุ้น, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.50 บาท/หุ้น, ปีที่ 4 เท่ากับ 5 บาท/หุ้น และปีที่ 5 เท่ากับ 5.50 บาท/หุ้น กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 30 พ.ย.61 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 30 พ.ย.65
 
- STEC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 25 บาท เก็งกำไรภาพการเมืองในประเทศชัดเจน และภาครัฐเตรียมเปิดประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงโครงการ PPP fast track
 
- MINT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 44 บาท คาดกำไร H2/61 โดดเด่นกว่า H1/61 เพราะ Q3 เป็น High Season ของโปรตุเกสและต่อด้วย Q4 ในไทย  ซึ่งต่างจากโรงแรมอื่นที่ Q3 จะทรุดหนัก อีกทั้ง คาดว่าธุรกิจอาหารจะฟื้นทั้งรายได้และมาร์จิ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้งที่มักได้อานิสงส์เชิงบวกเสมอ ด้าน NVDR ซื้อเร่งขึ้นในลักษณะ U-Shape มีต้นทุนเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 39.50 บาท  ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบัน MINT จึงไม่ใช่หุ้นเป้าหมายที่ต่างชาติจะขายทำกำไรรอบนี้
 
- MTC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 50 บาท แนวโน้ม H2/61 ผลประกอบการดีกว่า H1/61 จากสาขาที่เปิดใหม่ในช่วง H1/61 จำนวน 465 สาขา คิดเป็น 16% ของทั้งหมด 2,889 สาขา จะเริ่มรับรู้ได้เต็มไตรมาส และเข้าสู่ช่วง High Season ของสินเชื่อ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่และเด็กนักเรียนเปิดเทอม ทำให้ความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มสูงขึ้น โดย MTC อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำสัญญาเพื่อลดปัญหาที่จะเกิดในอนาคต จากก่อนหน้ากลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ฟ้องร้อง MTC คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ 15% ต่อปี ต่อศาลแพ่งแบบกลุ่ม ปัจจุบันอยู่ระหว่างไต่สวนร้อง ว่าจะรับคำร้องให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือไม่ คาดทราบผลพ.ย.61 โดย MTC แยกออกเป็น 2 สัญญา คือ (1) สัญญาเงินกู้ คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ต่อปี และ (2) นาโนไฟแนนซ์ คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 36% ต่อปี ทำให้ยังคงรักษาระดับ Yield ได้ที่ 23% ด้าน พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน คาดช่วยให้ธุรกิจของ MTC ชัดเจนยิ่งขึ้น
 
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับข่าวสหรัฐเล็งเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน
 
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่าสหรัฐเตรียมเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,657.95 จุด เพิ่มขึ้น 53.34 จุด, +0.24% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,679.21 จุด เพิ่มขึ้น 23.10 จุด, +0.87% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,798.39 จุด เพิ่มขึ้น 453.35 จุด, +1.72% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,726.67 จุด เพิ่มขึ้น 4.10 จุด, +0.04%
 
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,285.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.36 จุด, +0.10% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,129.92 จุด เพิ่มขึ้น 5.27 จุด, +0.17% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,786.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.70 จุด, +0.10%
 
นักลงทุนขานรับรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐกำลังหาทางเริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่จีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า
 
รายงานข่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ภาคธุรกิจสหรัฐได้รวมตัวกันในชื่อ Americans for Free Trade เพื่อต่อต้านนโยบายการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกลุ่มดังกล่าวได้ทำการรณรงค์โดยใช้ชื่อว่า Tariffs Hurt the Heartland โดยมีการซื้อโฆษณา และจัดการประชุมในรัฐต่างๆ พร้อมกับเชิญชวนให้สมาชิกสภาคองเกรสเข้าร่วมงานรณรงค์ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าที่รัฐเพนซิลเวเนีย อิลลินอยส์ และเทนเนสซี
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 39.82 จุด รับแรงซื้อหุ้นบริษัทผลิตบุหรี่
 
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 07:49:37 น.
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทผลิตบุหรี่ยาสูบ หลังจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ขู่ว่าจะห้ามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า หากผู้ผลิตไม่หาทางควบคุมการสูบบุหรี่ดังกล่าวในกลุ่มวัยรุ่น
 
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,313.36 จุด เพิ่มขึ้น 39.82 จุด หรือ +0.55%
 
 
หุ้นบริษัทผลิตบุหรี่ยาสูบทะยานขึ้น โดยหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค พุ่งขึ้น 5.87% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส พุ่งขึ้น 3.1%
 
หุ้นบริษัทผลิตยาสูบบุหรี่ได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า FDA ขู่ว่าจะห้ามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า หากผู้ผลิตไม่หาทางควบคุมการสูบบุหรี่ดังกล่าวในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งขณะนี้กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น
 
ทั้งนี้ FDA สั่งให้ผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้า 5 แบรนด์ ซึ่งได้แก่ Juul, Vuse, MarkTen, Blu E-cigs และ Logic ทำการยื่นแผนภายในเวลา 60 วันในการป้องกันไม่ให้วัยรุ่นสูบบุหรี่ไฟฟ้า และให้บริษัททำการทบทวนยอดขาย และแผนการตลาด รวมทั้งระงับการขายบุหรี่ให้กับร้านค้าปลีกซึ่งจำหน่ายบุหรี่ให้วัยรุ่น
 
นักลงทุนยังคงจับตาการเจรจาการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษ ในกรณีที่อังกฤษเตรียมแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยรายงานล่าสุดระบุว่า นายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่า EU และอังกฤษจะยังคงมีความสัมพันธ์ที่อบอุ่น แม้หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจาก EU แล้วก็ตาม
 
ก่อนหน้านี้ นายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกตามทิศทางตลาดวอลล์สตรีท ขณะนักลงทุนจับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สอง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด แม้มีรายงานล่าสุดว่าสหรัฐพยายามที่จะเจรจาการค้ากับจีนก็ตาม
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.5% แตะที่ระดับ 377.12 จุด
 
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,032.30 จุด เพิ่มขึ้น 62.03 จุด หรือ +0.52% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,332.13 จุด เพิ่มขึ้น 48.34 จุด หรือ +0.91% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,313.36 จุด เพิ่มขึ้น 39.82 จุด หรือ +0.55%
 
หุ้นกาลาปากอส ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ พุ่งขึ้น 16% หลังจากบริษัทประกาศความสำเร็จในการทดสอบยารักษาโรคไขข้ออักเสบ
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หุ้นสายการบินลุฟฮันซา พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นลินด์ ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ ดีดตัวขึ้น 1.5% และหุ้นเฟรเซเนียส เมดิคัล พุ่งขึ้น 1.4%
 
นักลงทุนจับตาข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยรายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐกำลังหาทางเริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่จีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า
 
รายงานข่าวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ภาคธุรกิจสหรัฐได้รวมตัวกันใช้ชื่อว่า Americans for Free Trade เพื่อต่อต้านนโยบายการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกลุ่มดังกล่าวได้ทำการรณรงค์โดยใช้ชื่อว่า Tariffs Hurt the Heartland โดยมีการซื้อโฆษณา และจัดการประชุมในรัฐต่างๆ พร้อมกับเชิญชวนให้สมาชิกสภาคองเกรสเข้าร่วมงานรณรงค์ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าที่รัฐเพนซิลเวเนีย อิลลินอยส์ และเทนเนสซี
 
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 27.86 จุดรับข่าวสหรัฐเล็งเจรจาการค้าจีน ขณะ Nasdaq ปิดลบหลังหุ้นเทคโนฯร่วง
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐเตรียมเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวลง ซึ่งรวมถึงหุ้นแอปเปิล แม้ทางบริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone ใหม่ 3 รุ่นเมื่อวานนี้ก็ตาม
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,998.92 จุด เพิ่มขึ้น 27.86 จุด หรือ +0.11% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด หรือ +0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,954.23 จุด ลดลง 18.25 จุด หรือ -0.23%
 
ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐกำลังหาทางเริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่จีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า
 
รายงานข่าวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ภาคธุรกิจสหรัฐได้รวมตัวกันใช้ชื่อว่า Americans for Free Trade เพื่อต่อต้านนโยบายการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกลุ่มดังกล่าวได้ทำการรณรงค์โดยใช้ชื่อว่า Tariffs Hurt the Heartland โดยมีการซื้อโฆษณา และจัดการประชุมในรัฐต่างๆ พร้อมกับเชิญชวนให้สมาชิกสภาคองเกรสเข้าร่วมงานรณรงค์ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าที่รัฐเพนซิลเวเนีย อิลลินอยส์ และเทนเนสซี
 
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้น  2.4% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดีดตัวขึ้น 1.6% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 1.1% และหุ้นอีตัน คอร์ป ดีดขึ้น 1.07%
 
หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นบอช เฮลธ์ ทะยานขึ้น 14% ขณะที่หุ้นโฟมิกซ์ ฟาร์มาซูติคัล พุ่งขึ้น 3.2%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.2% เนื่องจากนักลงทุนมองว่า ผลิตภัณฑ์ iPhone ใหม่ 3 รุ่นที่แอปเปิลประกาศเปิดตัวเมื่อวานนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก โดย iPhone ทั้ง 3 รุ่นได้แก่ iPhone Xs Max, iPhone Xs และ iPhone XR
 
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.4% หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 3.7% หุ้นอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ลดลง 1.5% หุ้นฟิทบิท ดิ่งลง 6.9% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 4.3% และหุ้นแอพพลายด์ แมทีเรียล ร่วงลง 2%
 
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.961% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.2% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 0.9% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.4% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ลดลง 0.8% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 2.5%
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐขยายตัวในระดับปานกลาง ขณะที่ภาคธุรกิจยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า เนื่องจากการที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเมื่อไม่นานมานี้ ได้ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นทั่วสหรัฐ
 
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว หลังจากทรงตัวในเดือนก.ค.
 
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์ 
OO13731

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!