WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

31ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับตัวลงตามภูมิภาค หลังจีนเล็งคว่ำบาตรสหรัฐฯ ,หวังราคาน้ำมันขึ้นช่วยประคองตลาด
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้เปิดมาอาจจะปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะติดลบกัน หลังจากที่จีนจะขออำนาจคว่ำบาตรสหรัฐในการประชุมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO ในวันที่ 21 ก.ย. โดยจะหารือเรื่องมาตรการคว่ำบาตรสหรัฐฯหลังจากขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก  2.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นฮ่องกงเช้านี้ต่างปรับตัวลงกัน เนื่องจากรับผลโดยตรง
อย่างไรก็ดี การปรับตัวของดัชนีฯน่าจะจำกัด ซึ่งก็มีลุ้นรีบาวด์ขึ้นได้เมื่อลงแถว 1,665 จุด โดยอาจรีบาวด์ตามตลาดในกลุ่ม TIP ที่เช้านี้อยู่ในแดนบวกกัน และหุ้นในกลุ่มพลังงานก็อาจเด่นในวันนี้หลังจากที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น จากที่มีพายุเฮอริเคนจะพัดเข้าชายฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ไปหนุนราคาน้ำมัน
แต่การฟื้นตัวของตลาดฯอาจจำกัดด้วย เพราะยังมีเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน พร้อมให้แนวรับ 1,665 จุด ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,971.06 จุด เพิ่มขึ้น 113.99 จุด (+0.44%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,887.89 จุด เพิ่มขึ้น 10.76 จุด (+0.37%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,972.47 จุด เพิ่มขึ้น 48.31 จุด (+0.61%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 38.02 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.06 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 40.27 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 10.61 จุด,ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 3.08 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 2.92  จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 11.62 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 12.81 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ก.ย.61) 1,672.42 จุด ลดลง 19.09 จุด (-1.13%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,406.58 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ก.ย.61) ปิดที่ 69.25 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.71 ดอลลาร์ หรือ 2.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ก.ย.61) ที่ 5.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.79 แข็งค่าจากวานนี้เล็กน้อยตามภูมิภาค หลังมีแรงขายดอลล์จากความกังวลสงครามการค้า
- ศาลปกครองกลาง ซักข้อมูล"กสทช.-ดีแทค" ยาว 5 ชั่วโมงแต่ยังไร้คำสั่ง คาดรอผลประชุมบอร์ดกสทช.วันนี้ ให้เยียวยาลูกค้าดีแทค ที่หมดสัมปทานวันที่ 15 ก.ย.นี้หรือไม่ "วงใน"เผยในห้องไต่สวนคู่กรณีปะทะอารมณ์ดุเดือด เอกชนระบุ 2 มาตรฐานหาก ไม่ยอมให้คุ้มครองลูกค้า เชื่อมติบอร์ด ส่อออกมาเป็นข่าวร้าย
- ครม.อนุมัติให้รฟม.ก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาที่ "ภูเก็ตและเชียงใหม่" คาดพ.ย.นี้สรุปผลศึกษาเปิดร่วมทุน PPP รถไฟฟ้าภูเก็ต 3.9 หมื่นล.ก่อน ส่วนจ.เชียงใหม่ เร่งจ้างศึกษารูปแบบร่วมทุน สรุปปี 62 เพื่อเริ่มสร้างสายสีแดง ช่วงรพ.นครพิงค์-บิ๊กซีหางดง ระยะ 12.54 กม.วงเงินกว่า 2.4 หมื่นล.
- นายกฯสั่งมหาดไทยบริหารจัดการขยะด้วยการแยกประเภท เผยงบฯ กำจัดขยะมีปีละ 2 พันล้าน แต่ใช้จริง 2 หมื่นล้าน ต้องเจียดงบฯปีละ 1.7 หมื่นล้าน ไปช่วยท้องถิ่น ด้าน พพ. ปรับแผน AEDP ใหม่สอดรับแผนพีดีพี ที่ยึดรายภูมิภาค คงเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 30% แนวโน้มเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ และขยะ แต่ลดเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะเอทานอล และไบโอดีเซล เนื่องจากแนวโน้มรถอีวี รถไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่
*หุ้นเด่นวันนี้
- CKP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 4.8 บาท เก็งกำไรงบ Q3/61 โตก้าวกระโดดจากโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ในลาวเดินเครื่องเต็มกำลังผลิต ตามน้ำในเขื่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหน้าฝน
- ATP30 (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.30 บาท คาดกำไร Q3/61 โตทั้ง Q-Q, Y-Y และทำจุดสูงสุดใหม่ จาก High Season ที่มีวันหยุดไม่มาก และการเริ่มให้บริการลูกค้าใหม่อย่าง Mega Bangna ด้วยรถ Shuttle Bus 6 คัน และ SPRC ด้วยรถตู้ 10 คัน บวกกับอัตรากำไรขั้นต้นที่จะเร่งขึ้นจาก Economy of Scale พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2561 +54% Y-Y เป็น 40 ลบ. และ +16% Y-Y เป็น 47 ลบ. ในปี 2019 ด้าน PE2561 อยู่ที่ 24 เท่า และจะลดลงเหลือ 21 เท่าในปี 2562 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 32 เท่า
- SAWAD (กสิกรไทย) คาดกำไรสุทธิของบริษัทฯ แตะระดับต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1 และคาดจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 หนุนจากสินเชื่อที่เติบโตขึ้น, อัตราตอบแทนสินเชื่อที่ผ่านระดับต่ำสุดแล้วและการตั้งสำรองที่ลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ผลจากการเริ่มใช้นโยบายบัญชีใหม่ของ BFIT ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2561-2563 ขึ้น 2-3% ด้วยอานิสงส์หลักจากการปรับเพิ่มอัตราเติบโตของสินเชื่อและอัตราตอบแทน พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 47.50 บาท (จาก 47 บาท) หรือด้วย PBV กลางปี 2562 ที่ 4.1 เท่า
ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ดีดตัวขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืน โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิล ก่อนที่ทางบริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone X ใหม่ 3 รุ่นในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นกว่า 2%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,702.71 จุด เพิ่มขึ้น 38.02 จุด, +0.17% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,659.74 จุด ลดลง 5.06 จุด, -0.19% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,462.82 จุด เพิ่มขึ้น 40.27 จุด, +0.15% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,762.91 จุด เพิ่มขึ้น 10.61 จุด, +0.10% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,286.28 จุด เพิ่มขึ้น 3.08 จุด, +0.13% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,106.99 จุด ลดลง 2.92 จุด, -0.09% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,810.19 จุด เพิ่มขึ้น 11.62 จุด, +0.65% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,505.20 จุด ลดลง 12.81 จุด, -0.17%
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จีนเตรียมขอการอนุมัติจากองค์การการค้าโลก (WTO) ในสัปดาห์หน้าเพื่อทำการคว่ำบาตรสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศที่ลุกลามออกไป
ทั้งนี้ ระเบียบวาระการประชุมของ WTO ระบุว่า จีนจะขออำนาจในการคว่ำบาตรสหรัฐในการประชุมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO ในวันที่ 21 ก.ย. โดยคำร้องของจีนระบุว่า สหรัฐไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของ WTO กรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดจากจีน ซึ่งจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO ในปี 2556
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 5.76 จุด นักลงทุนจับตาอังกฤษ-EU เจรจา Brexit
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขาย พร้อมกับจับตาการเจรจาการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษ ในกรณีที่อังกฤษเตรียมแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นอกจากนี้ ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดเช่นกัน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,273.54 จุด ลดลง 5.76 จุด หรือ -0.08%
นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรปและอังกฤษ ในกรณีที่อังกฤษเตรียมแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์
ทางด้านโฆษกของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า นางเมย์จะเดินทางไปยังเมืองซัลส์บรูกในสัปดาห์หน้าเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการของ EU โดยนางเมย์จะใช้โอกาสนี้ในการเจรจากับผู้นำ EU เกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ผู้นำ EU จะหารือร่วมกันเกี่ยวกับสมุดปกขาวของรัฐบาลอังกฤษซึ่งได้รวบรวมข้อเสนอ Brexit
หุ้นแอนทีด กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทเช่าซื้ออุปกรณ์ พุ่งขึ้น 5.18% ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นไชร์ ดีดตัวขึ้น 1.8% และหุ้นไรท์มูฟ พุ่งขึ้น 1.5%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตบุหรี่รายใหญ่ของอังกฤษร่วงลง โดยนหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ดิ่งลง 3.3% และหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ลดลง  2.7% ส่วนหุ้นเฟรสนิลโล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองทองคำ ปรับตัวลง 2.2%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกข้อพิพาทการค้า ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ล่าสุดที่จีนเตรียมขออนุมัติจากองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อทำการคว่ำบาตรสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.1% ปิดที่ 375.31 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,970.27 จุด ลดลง 16.07 จุด หรือ -0.13% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,283.79 จุด เพิ่มขึ้น 14.16 จุด หรือ +0.27% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,273.54 จุด ลดลง 5.76 จุด หรือ -0.08%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จีนเตรียมขอการอนุมัติจากองค์การการค้าโลก (WTO) ในสัปดาห์หน้าเพื่อทำการคว่ำบาตรสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศที่ลุกลามออกไป
ทั้งนี้ ระเบียบวาระการประชุมของ WTO ระบุว่า จีนจะขออำนาจในการคว่ำบาตรสหรัฐในการประชุมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO ในวันที่ 21 ก.ย. โดยคำร้องของจีนระบุว่า สหรัฐไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของ WTO กรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดจากจีน ซึ่งจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO ในปี 2556
หุ้นอาร์เซลอร์ มิตตัล ร่วงลง 2% หลังจากอาร์เซลอร์ได้เพิ่มข้อเสนอซื้อกิจการบริษัทเอสซาร์ สตีล อินเดีย สู่ระดับ 4.20 แสนล้านรูปี หรือประมาณ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนไบเออร์ ร่วงลง 3% ขณะที่หุ้นไฮเดลเบิร์กซีเมนต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุด้านการก่อสร้าง ร่วงลง 1.9% และหุ้นคอนติเนนตัล ดิ่งลง 2.3%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน นำโดยหุ้นโททาล พุ่งขึ้น 2.1%
นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรปและอังกฤษ ในกรณีที่อังกฤษเตรียมแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์
ทางด้านโฆษกของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า นางเมย์จะเดินทางไปยังเมืองซัลส์บรูกในสัปดาห์หน้าเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการของ EU ซึ่งผู้นำ EU จะมีโอกาสหารือข้อเสนอของนางเมย์เกี่ยวกับ Brexit เป็นครั้งแรก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป หรือ ZEW เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ -10.6 ในเดือนก.ย. จากระดับ -13.7 เมื่อเดือนส.ค. โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวลดลงแตะ -14.0
นอกจากนี้ ZEW ยังได้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ -7.2 ในเดือนก.ย. จาก -11.1 เมื่อเดือนส.ค. โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ว่าจะขยับขึ้นแตะ -10.9
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 113.99 จุด หลังหุ้นแอปเปิลพุ่งหนุนกลุ่มเทคโนฯ,หุ้นพลังงานดีดแรงรับราคาน้ำมันฟื้น
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิล ก่อนที่ทางบริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone X ใหม่ 3 รุ่นในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นกว่า 2% อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่าจีนเตรียมขออนุมัติจากองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อทำการคว่ำบาตรสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,971.06 จุด เพิ่มขึ้น 113.99 จุด หรือ +0.44% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,887.89 จุด เพิ่มขึ้น 10.76 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,972.47 จุด เพิ่มขึ้น 48.31 จุด หรือ +0.61%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น นำโดยหุ้นแอปเปิล ทะยานขึ้น 2.5% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 1.07%  หุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 2.48% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดีดขึ้น 2.1% หุ้นอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.7%
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้นก่อนที่ทางบริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันนี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ หรือตรงกับเวลาเที่ยงคืนตามเวลาไทย ขณะที่สื่อคาดากรณ์ว่าแอปเปิลจะเปิดตัว iPhone X ใหม่ 3 รุ่นในงานดังกล่าว โดยรุ่นหนึ่งจะเป็น iPhone ที่มีขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้วแบบ OLED ซึ่งเป็น iPhone ที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดเท่าที่แอปเปิลเคยผลิตมา ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะมีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้วแบบ OLED เท่ากับ iPhone X ในปัจจุบัน แต่ได้รับการอัพเกรด และอีกรุ่นหนึ่งเป็น iPhone ที่มีราคาไม่แพง แต่เพียบพร้อมด้วยฟีเจอร์หลักๆ ของรุ่นเรือธง โดยมีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้วแบบ LCD
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 2.5% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 2.4% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ปรับตัวขึ้น 1.7%
หุ้นกลุ่มบริษัทที่จำหน่ายวัสดุซ่อมแซมบ้านและกลุ่มบริษัทก่อสร้างปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ผลกระทบที่เกิดจากพายุเฮอร์ริเคน "ฟลอเรนซ์" จะช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยหุ้นโฮม ดีโปท์ พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นลูว์ส ดีดตัวขึ้น 1.6% หุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.8% หุ้นเลนนาร์ คอร์ป พุ่งขึ้น 1% และหุ้นพัลท์ กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น 0.8%
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จีนเตรียมขอการอนุมัติจากองค์การการค้าโลก (WTO) ในสัปดาห์หน้าเพื่อทำการคว่ำบาตรสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศที่ลุกลามออกไป
ทั้งนี้ ระเบียบวาระการประชุมของ WTO ระบุว่า จีนจะขออำนาจในการคว่ำบาตรสหรัฐในการประชุมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO ในวันที่ 21 ก.ย. โดยคำร้องของจีนระบุว่า สหรัฐไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของ WTO กรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดจากจีน ซึ่งจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO ในปี 2556
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. โดยต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นซึ่งระบุว่าเพิ่มขึ้น 0.7% ขณะที่สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมพุ่งขึ้นสู่ระดับ 108.8 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปรับตัวขึ้นจากระดับ 107.9 ในเดือนก.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์ 
OO13672

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!