- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 11 September 2018 13:38
- Hits: 3000
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัวไซด์เวย์ ไร้ปัจจัยใหม่ แต่ยังต้องติดตามประเด็นสงครามการค้าต่อ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเช้าวันนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ โดยที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาส่งผลต่อตลาด อีกทั้งยังต้องติดตามประเด็นของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุน และติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.นี้หรือไม่
ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียช่วงเช้านี้การเคลื่อนไหวมีทั้งปรับตัวขึ้นและปรับลดลง โดยตลาดหุ้นฝั่งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ได้ปรับตัวลดลง จากความกังวลสงครามการค้า และการตอบโต้สงครามการค้าจากทางจีน
พร้อมให้แนวต้าน 1,695 จุด แนวรับ 1,680 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,857.07 จุด ลดลง 59.47 จุด หรือ -0.23% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,877.13 จุด เพิ่มขึ้น 5.45 จุด หรือ +0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,924.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.62 จุด หรือ +0.27%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 1.49 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนลดลง 0.99 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 2.80 จุด,ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 1.75 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 5.45 จุด และดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 96.69 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเอาวัล มุฮัรรอม (มาอัล ฮิจเราะห์)
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ก.ย.61) 1,691.51 จุด เพิ่มขึ้น 2.02 จุด (+0.12%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 189.14 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 ก.ย.61) ปิดที่ 67.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 21 เซนต์
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ก.ย.61) ที่ 5.90 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.84 มองกรอบวันนี้ 32.80-32.90 ตลาดยังรอความชัดเจนปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
- "เครดิต สวิส" ลั่นตลาดทุนไทยไม่น่าลงทุน เหตุหุ้นราคาแพง และมีความผันผวนจากปัจจัยแวดล้อมที่มากระทบ ทำให้มีความเสี่ยง แนะจับตา money supply จากตลาดทุนต่างๆ ไหลมาสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้น
- ผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารภายในเดือนนี้ พิจารณาเรื่องการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อออกมาจัดกองขายให้กับบรรษัทบริหารสินทรัพย์ หรือเอเอ็มซี ส่วนลูกหนี้ที่ ไม่สามารถตกลงกันได้ในชั้นศาล ก็ให้ฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
- สภาธุรกิจตลาดทุนไทยชี้ปัจจัยการเมืองภายในประเทศจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักลงทุนมากขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้นไปถึงระดับ 1,794 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กว่า 74.07% เชื่อว่าการเลือกตั้งจะถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2562
- SPALI มองภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี 2561 ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในทิศทางที่ดีและความต้องการซื้อยังมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามีแนวโน้ม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่การปรับขึ้นไม่ได้มากคือค่อยๆ ทยอยปรับ จึงมองว่าไม่กระทบกับความต้องการซื้อ
- คลังประกาศกดปุ่มขายหน่วยลงทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค.2561 คาดผลตอบแทนปีละ 5% อนุมัติพีพีพีทางหลวงนครปฐม-ชะอำ 7.9 หมื่น ล. ทล.เปิดลงทุนทางด่วน 3 หมื่นล้านบาทเชื่อมสุวรรณภูมิ
- บอร์ดรฟม.อนุมัติสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก 1.4 แสนล้าน เตรียมเสนอกระทรวงคมนาคมและ ครม.พิจารณาภายในเดือน ก.ย.นี้ พร้อมเปิดประมูลภายในต้นปี 2562 มั่นใจให้บริการได้ภายในปี 2568 ด้านบิ๊กทุน BTS-BEM ตบเท้าชิงเค้ก
- กสทช.เตรียมถกอาเซียนหาช่องเก็บภาษีเฟซบุ๊ก-ยูทูบหลังทำธุรกิจ "OTT" ดูดเม็ดเงินโฆษณามหาศาล ทำทีวีดิจิทัลง่อนแง่น ธุรกิจรายเล็กจ่อล้มลามเศรษฐกิจ โลกแน่เพราะแต่ละประเทศเก็บภาษีไม่ได้เช่นกัน
- สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง รูปีอินเดีย ร่วงทำนิวโลว์ ที่ 72.31 รูปีต่อดอลลาร์ เป็นครั้งแรก ด้านเปโซ ฟิลิปปินส์อ่อนค่ากว่า 2% ด้านนักวิเคราะห์เตือน วิกฤติค่าเงินตลาดเกิดใหม่หนุนภาระหนี้ต่างประเทศของชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ทะยาน เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง ด้าน "เครดิตสวิส" ชี้เงินบาทมีเสถียรภาพดี
*หุ้นเด่นวันนี้
- JAS (กสิกรไทย) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 7.88 บาท โดยคาดว่า JAS จะได้ข้อสรุปสำหรับการขายสินทรัพย์ครั้งที่ 2 และ 3 รวมถึงรายการเช่าคืนกับ JASIF ในเดือน ต.ค. ประเมินว่ารายการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) เป็น 1.24 บาทในปี 2562 และ 0.8 บาทในปี 2563 หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (DY) ที่ 40% นอกจากนี้ เล็งเห็นถึงอัตราการเข้าถึงที่สูงขึ้นในธุรกิจ fixed broadband (FBB) ในกลุ่มครัวเรือน และประโยชน์ที่ JAS จะได้รับจากจุดยืนที่แข็งแกร่งในตลาดต่างจังหวัดที่มีการแข่งขันต่ำ ทั้งนี้ ได้รวมข้อตกลงการขายสินทรัพย์และการเช่าคืนเข้ามาในประมาณการแล้ว ซึ่งทำให้มีประมาณการกำไรปกติในปี 2561-63 ลดลง 17-54% แต่ขณะเดียวกันก็ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2562 อิงวิธี SOTP ขึ้น 43% เพื่อสะท้อนถึงรายได้ธุรกิจ FBB ที่เติบโตเร็วขึ้น และมูลค่าส่วนเพิ่มจาก JASIF ที่ปรับสูงขึ้น
- CK (ไอร่า) ให้ราคาเป้าหมาย 32.50 บาท แม้มองว่าจได้รับผลกระทบจากงานประมูลที่ล่าช้า และทำให้รายได้งานก่อสร้างชะลอตัว ทำให้สัดส่วนรับรู้รายได้ยังไม่มาก แต่ CK ได้รับประโยชน์จากบริษัทที่ร่วมทุน ส่งผลให้กำไรสุทธิยังอยู่ในระดับที่ดี คาดกำไรสุทธิปี 61 อยู่ที่ 1,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 60 และคาดเพิ่มขึ้น 4.5% ในปี 62 คาดอยู่ที่ 2,031 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาด Backlog สิ้นปี 61 ประมาณ 47,400 ล้านบาท ยังเพียงพอต่อการรับรู้รายได้งานก่อสร้างปี 62 ประมาณ 31,448 ล้านบาท ขณะที่คาด CK มีโอกาสได้รับงานใหม่เข้ามาจากโครงการต่างๆ ที่ทยอยเปิดประมูลนับจากปลาย 3Q/61 เป็นต้นไป พร้อมคาดอยู่ในช่วงที่ CK เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อเนื่องจากบริษัทร่วมทุน หลังปรับโครงสร้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
- SEAFCO (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 10 บาท คาดกำไร 2H61 พุ่งแรงทั้ง H-H และ Y-Y จากการรับรู้โครงการใหญ่ เช่น One Bangkok และรถไฟฟ้าทั้งสายสีส้มและชมพู โดยตอนนี้มีงานในมือทั้งหมด 2.8 พันล้านบาท คาดรับรู้ทันปีนี้ 1.5 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้ดีกว่าคาด จึงปรับกำไรปีนี้ขึ้นเป็น 305 ล้านบาท +45% Y-Y โตแรงสุดในรอบ 4 ปี สำหรับ PE2561 อยู่ที่ 18 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 22 เท่า
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ นักลงทุนวิตกสงครามการค้าจีน-สหรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยล่าสุดทางการจีนประกาศความพร้อมที่จะตอบโต้ทันที หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,611.93 จุด ลดลง 1.49 จุด, -0.01% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,668.49 จุด ลดลง 0.99 จุด, -0.04% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,723.00 จุด ลดลง 2.80 จุด, -0.03% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,286.91 จุด ลดลง 1.75 จุด, -0.08% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,115.47 จุด ลดลง 5.45 จุด, -0.17% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,469.78 จุด เพิ่มขึ้น 96.69 จุด, +0.43% ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเอาวัล มุฮัรรอม (มาอัล ฮิจเราะห์)
นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนจะตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ต่อสินค้าจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่วงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่มีแผนเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
"หากสหรัฐเดินหน้าเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนครั้งใหม่ จีนก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดำเนินการตอบโต้เพื่อใช้สิทธิอันชอบธรรมของเรา" นายเกิงกล่าว
ทั้งนี้ ทั่วโลกกำลังจับตาท่าทีของปธน.ทรัมป์ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อใด หลังจากผ่านพ้นกำหนดเส้นตายในวันที่ 6 ก.ย. สำหรับการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐต่อมาตรการดังกล่าว
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 1.60 จุด รับความหวังอังกฤษ-EU เจรจา Brexit คืบหน้า
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า ขานรับความหวังที่ว่า อังกฤษจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับการแยกตัวออกจาก EU (Brexit) ภายใน 6-8 สัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,279.30 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.02%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้น หลังจากนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาของฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์นี้
ทั้งนี้ นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า "ผมคิดว่าถ้าเรามองในแง่ความเป็นจริง เราจะสามารถบรรลุข้อตกลงในขั้นแรกของการเจรจาสนธิสัญญา Brexit ภายในเวลา 6-8 สัปดาห์ และเมื่อพิจารณาเงื่อนไขของเวลาสำหรับกระบวนการให้สัตยาบันในสภาสามัญชนของอังกฤษ รวมทั้งในรัฐสภายุโรป และคณะมนตรียุโรป เราจะต้องทำข้อตกลงก่อนเริ่มเดือนพ.ย. ซึ่งผมคิดว่าเป็นไปได้"
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หุ้นลอนดอน สต็อก เอ็กซ์เชนจ์ กรุ๊ป ดีดตัวขึ้น 1.77% ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ และหุ้นมอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ตส์ พุ่งขึ้น 1.76% และ 1.62% ตามลำดับ
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นเฟรสนิลโล ดิ่งลง 2.6% และหุ้นเกลนคอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองข้ามชาติ ร่วงลง 1.76%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับความหวังเจรจา Brexit คืบหน้า ขณะตลาดกังวลการเมืองสวีเดน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากความหวังที่ว่า อังกฤษจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับการแยกตัวออกจาก EU (Brexit) ภายใน 6-8 สัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในสวีเดนส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างซบเซา
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.4% ปิดที่ 375.51 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,986.34 จุด เพิ่มขึ้น 26.71 จุด หรือ +0.22% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,269.63 จุด เพิ่มขึ้น 17.41 จุด หรือ +0.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,279.30 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.02%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ หลังจากนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาของฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์นี้
ทั้งนี้ นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า "ผมคิดว่าถ้าเรามองในแง่ความเป็นจริง เราจะสามารถบรรลุข้อตกลงในขั้นแรกของการเจรจาสนธิสัญญา Brexit ภายในเวลา 6-8 สัปดาห์ และเมื่อพิจารณาเงื่อนไขของเวลาสำหรับกระบวนการให้สัตยาบันในสภาสามัญชนของอังกฤษ รวมทั้งในรัฐสภายุโรป และคณะมนตรียุโรป เราจะต้องทำข้อตกลงก่อนเริ่มเดือนพ.ย. ซึ่งผมคิดว่าเป็นไปได้"
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสวีเดนได้สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด โดยสวีเดนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญสุญญากาศทางการเมือง เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น พรรครัฐบาล โซเชียลเดโมแครตและพรรคพันธมิตรอื่นๆ ได้รับคะแนน 40.6% ขณะที่พันธมิตรฝ่ายกลาง-ขวา ซึ่งประกอบด้วยพรรคโมเดอเรต พรรคเซ็นเตอร์ พรรคลิเบอรัล และพรรคคริสเตียนเดโมแครต ได้คะแนนไป 40.3% ด้านพรรคสวีเวนเดโมแครต พรรคชาตินิยมขวาจัดที่ชูนโยบายต่อต้านผู้อพยพ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 3 ที่ 17.6%
หุ้นอาร์พีซี ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 18% หลังจากบริษัทได้ออกมายืนยันข่าวการขายกิจการ
หุ้น Cie. Financiere Richemont ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคาร์เทียร์ ดีดตัวขึ้น 0.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเวลา 5 เดือนซึ่งสิ้นสุด ณ เดือนส.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินยูโรและเงินปอนด์ โดยหุ้นไบเออร์ ร่วงลง 1.14% หุ้นลินด์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ และหุ้นโวโนเวีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ปรับตัวลง 0.82% และ 0.60% ตามลำดับ
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 59.47 จุด เหตุวิตกสงครามการค้า ขณะ Nasdaq ปิดบวกรับหุ้นเทคโนฯพุ่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยล่าสุดทางการจีนประกาศความพร้อมที่จะตอบโต้ทันที หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,857.07 จุด ลดลง 59.47 จุด หรือ -0.23% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,924.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.62 จุด หรือ +0.27% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,877.13 จุด เพิ่มขึ้น 5.45 จุด หรือ +0.19%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยล่าสุดนายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนจะตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ต่อสินค้าจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่วงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่มีแผนเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
"หากสหรัฐเดินหน้าเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนครั้งใหม่ จีนก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดำเนินการตอบโต้เพื่อใช้สิทธิอันชอบธรรมของเรา" นายเกิงกล่าว
ทั้งนี้ ทั่วโลกกำลังจับตาท่าทีของปธน.ทรัมป์ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อใด หลังจากผ่านพ้นกำหนดเส้นตายในวันที่ 6 ก.ย.สำหรับการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐต่อมาตรการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 8.5% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา ประกาศแผนปรับทีมบริหาร ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวขึ้น 0.7% หุ้นทวิตเตอร์ ดีดตัวขึ้น 0.2% หุ้นไมโครอน เทคโนโลยีส์ ปรับตัวขึ้น 0.9%
หุ้นยูไนเต็ด เรนทัลส์ ทะยานขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทประกาศเข้าซื้อกิจการบลูไลน์ เรนทัล ในวงเงิน 2.1 พันล้านดอลลาร์
หุ้นไนกี้ พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากมีข้อมูลระบุว่า ยอดขายออนไลน์ของไนกี้พุ่งขึ้นแกร่งถึง 31% จากการที่บริษัทตัดสินใจเลือกโคลิน เคเปอร์นิค อดีตควอเตอร์แบ็คของทีมซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส ในลีกอเมริกันฟุตบอล NFL ให้แสดงในโฆษณาชุดใหม่ของไนกี้ ภายใต้แคปเปญ "Just Do It"
หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 1.3% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เรียกร้องให้แอปเปิลโยกย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐ หากต้องการหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 29%
หุ้นอาลีบาบา ดิ่งลง 3.7% หลังจากบริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป แถลงว่า นายแจ็ค หม่า จะดำรงตำแหน่งประธานบริหารของอาลีบาบาอีกเพียง 12 เดือน และจากนั้นจะส่งมอบตำแหน่งประธานบริหารให้กับนายแดเนียล จาง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอของอาลีบาบา
หุ้นซีบีเอส คอร์ป ซึ่งเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 1.5% หลังจากนายเลส มูนเวส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซีบีเอสได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังเผชิญข้อกล่าวหาคดีล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวอีก 6 ราย โดยนายโจเซฟ เอียนนิเอลโล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการจะเข้ารับตำแหน่งซีอีโอของซีบีเอสเป็นการชั่วคราว
ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวซึ่งคำนวณในดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลง 1.9% หลังจากศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า พายุเฮอร์ริเคน "ฟลอเรนซ์" เตรียมพัดขึ้นฝั่งอีสต์โคสต์ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO13604