- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 16 August 2018 11:56
- Hits: 2191
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับลงตามตปท. เหตุราคาน้ำมันร่วงแรง-ปัญหาในตุรกียังมีอิทธิพล-Fund Flow ไหลออก
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะยังปรับตัวลงได้อยู่ เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียยังย่อตัวลงอยู่ โดยตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงไปกว่า 200 จุด และดาวโจนส์ก็ปรับตัวลงด้วย นอกจากนี้ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในตุรกียังมีอิทธิพลต่อตลาดฯอยู่ และ Fund Flow ยังคงไหลออกอยู่ด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,660 จุด ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,162.41 จุด ลดลง 137.51 จุด (-0.54%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,818.37 จุด ลดลง 21.59 จุด (-0.76%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,774.12 จุด ลดลง 96.78 จุด (-1.23%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 223.40 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 31.83 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 452.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 53.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 25.86 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 13.27 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.82 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 ส.ค.61) 1,676.29 จุด ลดลง 19.06 จุด (-1.12%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,970.64 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 ส.ค.61) ปิดที่ 65.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.03 ดอลลาร์ หรือ 3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 ส.ค.61) ที่ 7.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.30 แนวโน้มแข็งค่าหลังดอลล์อ่อน มองกรอบวันนี้ 33.25-33.35
- รัฐบาลกระตุ้นท่องเที่ยว 55 เมืองรอง อนุมัติกฎกระทรวงนำค่าใช้จ่าย ที่พัก-แพคเกจทัวร์หักลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ถึงสิ้นปีนี้ กรมบัญชีกลางจัดสรรเงินสงเคราะห์ให้คนชราพกบัตรคนจน 50-100 บาท/เดือน วิกฤตค่าเงินตุรกีป่วนราคาทอง นักลงทุนกังวลลามระดับโลก
- บอร์ด รฟม.ไฟเขียวสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเชื่อมถึงแยกรัชโยธิน 2.6 กม. พร้อมเสนอกระทรวงคมนาคมและ คจร.พิจารณา เล็งเจรจาบีเอสอาร์สร้างเพิ่ม ขณะที่ส่วนต่อขยายสายสีชมพู เชื่อมเส้นทางเข้าเมืองทองธานี อิมแพค-ทะเลสาบ 2.8 กม. เตรียมเสนอผลศึกษาและประชาพิจารณ์ให้บอร์ดอนุมัติภายใน ส.ค.นี้
- พาณิชย์ยืนยันวิกฤติค่าเงินตุรกีไม่กระทบเป้าส่งออก ด้านกสิกรมองกระทบไทยทางอ้อมแต่ไม่มาก จับตาสถานการณ์ธนาคารยุโรป ขณะที่หุ้นไทยช็อก ดัชนีรูด 19 จุด ครึ่งปีใช้สิทธิ์ FTA-GSP ส่งออก 36,435.38 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18%
- เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งจะจัดให้มีการประมูลวันที่ 19 ส.ค.61 มีผู้ผ่านคุณสมบัติและมีสิทธิ์เข้าร่วมการประมูล 2 ราย ได้แก่ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) และ 2.บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN)
*หุ้นเด่นวันนี้
- BEM (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 8.6 บาท กลับสู่กลุ่ม Domestic ซึ่ง BEM น่าสนใจจากแนวโน้มกำไร Q3/61 โตต่อเนื่อง มีโอกาสได้สัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้าเส้นใหม่เพิ่มเติม ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ และปีหน้าเปิดส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินหนุนจำนวนผู้โดยสารและรายได้โตก้าวกระโดด
- CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 84 บาท มองผ่านกำไรต่ำสุดของปีแล้วใน Q2/61 แม้ธุรกิจที่มาร์จิ้นดีอย่าง Counter Service น่าจะยังโตชะลอ รวมถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นใน 2Q61 ก็น่าจะยังมีต่อเนื่องใน H2/61 แต่ในแง่แนวโน้มรายได้ ยังน่าจะทำได้ดีจากฐานต่ำปีก่อน และการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์จะกลับมาหนุน MAKRO พร้อมคาดกำไรสุทธิปีนี้ยังโตได้ 4.8% Y-Y และจะกลับมาโตเด่นมากขึ้นในปีหน้า 15.4% Y-Y นอกจากนี้แรงขายเบาลงทั้งใน SBL และการ Short ผ่าน Block Trade ในทางตรงข้าม NVDR กลับเร่งซื้อในเดือนนี้มากสุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับอัตราเร่งการปรับลงของราคาหุ้นที่เริ่มชะลอ จึงเป็นไปได้ที่จะเห็นการฟื้นกลับระยะสั้น
- CK (แอพเพิล เวลธ์) "ซื้อ"เป้า 30.50 บาท ผลประกอบการทั้งปีนี้ประเมินว่าทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม Sentiment ของกลุ่มจะเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปจึงถึงปีหน้าจากโครงการขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาหนุน Backlog ให้กลุ่ม เพิ่มเติมเรื่องส่วนแบ่งรายได้ จึงคาดว่าปีนี้ BEM และ CKP จะมีผลการดำเนินงานที่ดีและช่วยหนุนหนุนรายได้รวมของ CK ทั้งนี้ CK ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลประจำรอบผลการดำเนินงานครึ่งปี 2561 ที่ 0.20 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 สิงหาคม 2561 และจ่ายจริงวันที่ 10 กันยายน 2561 คิดเป็น Dividend Yield 0.8%
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ วิตกข้อพิพาทสหรัฐ-ตุรกี
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับตุรกีที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,980.82 จุด ลดลง 223.40 จุด, -1.01% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,691.43 จุด ลดลง 31.83 จุด, -1.17% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,871.11 จุด ลดลง 452.48 จุด, -1.66% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,663.57 จุด ลดลง 53.18 จุด, -0.50% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,233.05 จุด ลดลง 25.86 จุด, -1.14% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,220.85 จุด ลดลง 13.27 จุด, -0.41% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,782.12 จุด ลดลง 3.82 จุด, -0.21%
ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วงลงของค่าเงินตุรกีและผลกระทบที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับตุรกี โดยนายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ได้ลงนามในคำสั่งให้ปรับขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐเป็น 120% ขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 140% และขึ้นภาษีบุหรี่เป็น 60% นอกจากนั้นยังได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องสำอาง ข้าว และถ่านหินจากสหรัฐด้วย
รัฐบาลตุรกีประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากสหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากตุรกีขึ้นอีกสองเท่า โดยอัตราภาษีเหล็กนำเข้าจากตุรกีจะอยู่ที่ 50% และอลูมิเนียมอยู่ที่ 20%
ทั้งนี้ ตลาดจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดร่วง 113.77 จุด วิตกค่าเงินตุรกี,ราคาน้ำมันร่วงฉุดหุ้นพลังงาน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างหนัก นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการค่าเงินลีราของตุรกี
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,497.87 จุด ลดลง 113.77 จุด หรือ -1.49%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วงลงของค่าเงินตุรกีและผลกระทบที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและตุรกี หลังจากรัฐบาลตุรกีประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถยนต์โดยสาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้เพิ่มอัตราภาษีต่อเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากตุรกีขึ้นอีกสองเท่า โดยอัตราภาษีเหล็กนำเข้าจากตุรกีจะอยู่ที่ 50% และอลูมิเนียมอยู่ที่ 20%
ทั้งนี้ นายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ได้ลงนามในคำสั่งให้ปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากสหรัฐเป็น 120% และขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 140% ขณะที่ขึ้นภาษีบุหรี่เป็น 60% นอกจากนี้ ตุรกียังได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องสำอาง ข้าว และถ่านหินจากสหรัฐด้วย
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 3% อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดในสหรัฐ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 5.2% หุ้นบีพี ดิ่งลง 1.9% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.9% และหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 3.3%
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆที่ปรับตัวลงนั้น หุ้นโวดาโฟน ร่วงลง 2.1% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ดิ่งลง 2.5% หุ้นพรูเดนเชียล ร่วงลง 2.7% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปรับตัวลง 1.1%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นพลังงานดิ่ง,วิกฤตค่าเงินตุรกี ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตค่าเงินลีราของตุรกี ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างหนัก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.4% ปิดที่ 379.70 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,163.01 จุด ลดลง 195.86 จุด หรือ -1.58% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,305.22 จุด ลดลง 98.19 จุด หรือ -1.82% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,497.87 จุด ลดลง 113.77 จุด หรือ -1.49%
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วงลงของค่าเงินตุรกีและผลกระทบที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและตุรกี หลังจากรัฐบาลตุรกีประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถยนต์โดยสาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้เพิ่มอัตราภาษีต่อเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากตุรกีขึ้นอีกสองเท่า โดยอัตราภาษีเหล็กนำเข้าจากตุรกีจะอยู่ที่ 50% และอลูมิเนียมอยู่ที่ 20%
ทั้งนี้ นายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ได้ลงนามในคำสั่งให้ปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากสหรัฐเป็น 120% และขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 140% ขณะที่ขึ้นภาษีบุหรี่เป็น 60% นอกจากนี้ ตุรกียังได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องสำอาง ข้าว และถ่านหินจากสหรัฐด้วย
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 3% อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดในสหรัฐ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 5.2% หุ้นบีพี ดิ่งลง 1.9% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.9% และหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 3.3%
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆที่ปรับตัวลงนั้น หุ้นโวดาโฟน ร่วงลง 2.1% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ดิ่งลง 2.5% หุ้นพรูเดนเชียล ร่วงลง 2.7% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปรับตัวลง 1.1%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 137.51 จุด วิตกค่าเงินตุรกี,ผลกระทบข้อพิพาทการค้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) เนื่องจากวิกฤตค่าเงินของตุรกี รวมทั้งข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและตุรกี และผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน ได้ส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของราคาน้ำมันดิบยังได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,162.41 จุด ลดลง 137.51 จุด หรือ -0.54% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,818.37 จุด ลดลง 21.59 จุด หรือ -0.76% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,774.12 จุด ลดลง 96.78 จุด หรือ -1.23%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วงลงของค่าเงินตุรกีและผลกระทบที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและตุรกี หลังจากรัฐบาลตุรกีประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถยนต์โดยสาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้เพิ่มอัตราภาษีต่อเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากตุรกีขึ้นอีกสองเท่า โดยอัตราภาษีเหล็กนำเข้าจากตุรกีจะอยู่ที่ 50% และอลูมิเนียมอยู่ที่ 20%
ทั้งนี้ นายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ได้ลงนามในคำสั่งให้ปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากสหรัฐเป็น 120% และขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 140% ขณะที่ขึ้นภาษีบุหรี่เป็น 60% นอกจากนี้ ตุรกียังได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องสำอาง ข้าว และถ่านหินจากสหรัฐด้วย
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างหนักถึง 3% โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 3.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 3.4% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.7% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.5% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 2.4%
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.2% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ลดลง 2.1% หุ้นอีตัน คอร์ป ลดลง 0.6% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.5%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง หลังจากบริษัทเทนเซนต์ โฮลดิ้งส์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีน และเป็นเจ้าของสื่อสังคมออนไลน์วีแชต เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรและรายได้ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหน้าที่จีนเพิ่มการกำกับดูแลธุรกิจเกมส์ออนไลน์
ทั้งนี้ หุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 0.9% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 2.06% หุ้นอเมซอน ร่วงลง 1.9% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 3.3% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.4% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.4% ขณะที่หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ทรุดตัวลง 6.1%
หุ้นเทสลา ดิ่งลง 2.6% หลังจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐได้เรียกตัวนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา เข้าให้ปากคำในกรณีที่นายมัสก์ทวีตข้อความซึ่งระบุว่า เขากำลังพิจารณานำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์
หุ้นเมซีย์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 16% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 59 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 51 เซนต์/หุ้น และรายได้อยู่ที่ระดับ 5.57 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.55 พันล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนมิ.ย.
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากพุ่งขึ้น 1.0% ในเดือนมิ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO12493