- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 10 August 2018 12:49
- Hits: 2973
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบ มองโมเมนตัมการเก็งกำไรช่วง H2/61 ชะลอ ,จับตา MSCI ปรับน้ำหนักหุ้นไทย
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากโมเมนตัมของการเก็งกำไรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ น่าจะชะลอตัวลง อันเป็นผลมาจากการปรับน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI คาดว่าจะประกาศในวันที่ 13 ส.ค.นี้ มีความเสี่ยงที่น้ำหนักหุ้นไทยจะถูกปรับลดลง ซึ่งก็จะทำให้เกิดแรงขายปรับพอร์ตของนักลงทุน เพื่อไปเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้น A-Share ของจีน
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเลือกตั้งด้วย หลังจากที่มีการเสนอให้แก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับประเด็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งมีโอกาสที่จะล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ดีเรื่องคงจะต้องรอดูความชัดเจนในวันที่ 24 ส.ค.นี้อีกที
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ บรรยากาศดูชะลอตัว รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ดี ภาพตลาดหุ้นไทยถือว่ายังดี เพียงแต่ดัชนีฯปรับขึ้นมาเกือบ 140 จุดแล้ว ทำให้ต้องเผชิญแรงขายทำกำไรระหว่างทางบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเสร็จสิ้นการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน พร้อมมองตลาดฯมี Upside จำกัดบริเวณ 1,720-1,730 จุด
ทั้งนี้ให้แนวรับ 1,710 จุด ส่วนแนวต้าน 1,730 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,509.23 จุด ลดลง 74.52 จุด (-0.29%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,853.58 จุด ลดลง 4.12 จุด (-0.14%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,891.78 จุด เพิ่มขึ้น 3.46 จุด (+0.04%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 8.52 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 7.43 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 18.11 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 8.50 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 31.01 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.68 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 ส.ค.61) 1,722.48 จุด เพิ่มขึ้น 0.84 จุด (+0.05%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 663.10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 ส.ค.61) ปิดที่ 66.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 13 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 ส.ค.61) ที่ 6.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.24 แนวโน้มอ่อนค่าหลังดอลล์แข็ง คาดกรอบวันนี้ 33.15-33.30 ,จับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ
- กบง.ยื้อเคาะแนวทาง ต่ออายุโรงไฟฟ้าเอสพีพี โคเจนเนอเรชั่น ที่สิ้นสุดสัญญาขายไฟปี 2560-2568 รวม 25 ราย เกือบ 2 พันเมกะวัตต์ อ้างยังไม่ได้ข้อสรุปโยนกพช.ชี้ชะตาต่อ ด้านสมาคม ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนห่วงกระทบความเชื่อมั่น นักลงทุนในอีอีซี หลังต่ออายุซื้อไฟล่าช้ามา 2 ปี
- "อุตตม" ลงพื้นที่ชลบุรีเปิดเวทีเอสเอ็มอีสัญจรครั้งที่ 2 หนุนแผนเอกชนบูมเศรษฐกิจฐานราก อุ้มเอสเอ็มอี 2.5 แสนรายเชื่อมอีอีซีและระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) เอกชนชงปั้น "เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพ" เชื่อมการผลิต เกษตรแปรรูป การท่องเที่ยวและบริการ คาดสร้างเม็ดเงิน 3 ปี มูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาท
- ราคาที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ขยับขึ้นแรง หลังจากที่รัฐบาลประกาศแผนการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ราคาพุ่งไม่ต่ำกว่า 50% และประเมินว่าราคาที่จะขยับขึ้นเกินกว่า 100% หรือกว่าเท่าตัวในปี 2565 หลังโครงการอีอีซีชัดเจนเต็มรูปแบบ
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เป็นประธาน มีมติรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือนขนาดถัง 15 กิโลกรัม (กก.) อยู่ที่ 363 บาท ตลอดไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยความเคลื่อนไหวของราคาแอลพีจีตลาดโลกยังมีความผันผวนทั้งปรับขึ้น และลงสองทิศทาง ล่าสุดเดือน ส.ค.นี้ ราคาแอลพีจีตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 25 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน อยู่ที่ 587.50 ดอลลาร์/ตัน
- รมว.คลัง เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขณะนี้มีทั้งปรับขึ้นและลดลง ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและการบริหารของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เช่น ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้เงินมากในระยะข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยก็มีทิศทางปรับขึ้นซึ่งเป็นเรื่องปกติ
- พีพีพีด่านเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, บางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่า 6.1 หมื่นล้านยังติดหล่ม เหตุ กก.ม.35 ยังไม่เห็นชอบทีโออาร์สัดส่วนร่วมทุน ระยะเวลาก่อสร้าง ทล.รับหากช้ากระทบแผนก่อสร้าง เตรียมแผน 2 รองรับแล้ว
*หุ้นเด่นวันนี้
- SVI (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 5.1 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/61 ที่ 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91%qoq และ 15%yoy จากแรงหนุนของยอดขายที่เติบโต 25%yoy ขณะที่ค่าเงินเริ่มนิ่ง ทำให้การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ง่ายขึ้นส่งผลให้ความเสี่ยงจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนลดลง
- IRPC (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 8 บาท แนวโน้มไตรมาส 3 ยังทรงตัว มองว่าค่าการกลั่นทำจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 3 น่าจะทรงตัวได้ (1) มีการปิดซ่อมบำรุงทำให้กำลังการกลั่นอยู่ที่ประมาณ 200 KBD หรือลดลงประมาณ 5% (2) ค่าการกลั่นกลับตัวยืนอยู่เหนือ 6.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (3) Crude Premium ปรับตัวลง โดย IRPC ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 กำไรสุทธิ 4,050 ล้านบาท +48% qoq+230% yoy โดยหลักเป็นผลมาจากกำไรสต๊อกน้ำมันประมาณ 2,215 ล้านบาท ยอดขายไตรมาสนี้อยู่ที่ 70,902 ล้านบาท +7% qoq ,+30% yoy เป็นผลจากทั้งปริมาณขายและราคาขาย
- KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 235 บาท เป็นธนาคารที่ได้รับประโยชน์มากหากอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เพราะมีส่วนผสมของสินเชื่อธุรกิจและ SME ซึ่งส่วนใหญ่คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอยู่ที่ราว 70% ของสินเชื่อรวม นอกจากนี้ ยังมี NIM ดีสุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ที่ 3.4-3.5% VS ธนาคารอื่น 3% ยิ่งสะท้อนความได้เปรียบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ พร้อมคาดการณ์กำไรปี 2561 ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท +13.8%Y-Y เติบโตดีสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ (ยกเว้น KTB ที่มีเรื่องการปรับลดสำรองฯ)
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าอ่อนตัวลง เหตุวิตกผลกระทบจากสงครามการค้า
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้อ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการตอบโต้การจัดเก็บภาษีระหว่างจีนและสหรัฐ รวมทั้งการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งล่าสุด ขณะที่สกุลเงินลีราของตุรกีและรูเบิลของรัสเซียร่วงลง ภายหลังจากที่สหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรทั้ง 2 ประเทศ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 22,494.33 จุด ลดลง 104.06 จุด, -0.46% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 28,474.38 จุด ลดลง 132.92 จุด, -0.46% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,808.47 จุด เพิ่มขึ้น 3.52 จุด, +0.20%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ขยายตัว 1.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของสำนักข่าวเกียวโดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 1.2%
สำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (SAFE) ของจีนเปิดเผยว่า สถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงธนาคาร บริษัทประกันภัยและบริษัทหลักทรัพย์ของจีน ได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2561
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในสถาบันการเงินของจีนมีมูลค่า 3.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ขณะที่กระแสเงินลงทุนไหลออกนอกประเทศ 2.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลทำให้ FDI สุทธิที่ไหลเข้าอยู่ที่ 881 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐในวันนี้ เพื่อบ่งชี้ทิศทางอัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 34.88 จุด นลท.เทขายทำกำไรหลังตลาดพุ่งติดต่อกัน 4 วัน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้น TUI AG ซึ่งเป็นบริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่ของอังกฤษ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันนี้ที่ 7,741.77 จุด ลดลง 34.88 จุด หรือ -0.45%
นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าได้ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100
หุ้น TUI AG ดิ่งลง 2.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดร่วงลงเมื่อคืนนี้ด้วย หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในยุโรปมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับผลกระทบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
ส่วนหุ้นบริษัทรายใหญ่ที่ปิดตลาดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ รวมถึงหุ้นเฟรสนิลโล ทะยานขึ้น 3.3% หุ้นแอสทราเซเนกา พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัลโฮเทล กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น 1.9%
อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/iq18/2869205
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย ขณะนักลงทุนจับตาผลกระทบสงครามการค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด ส่วนดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอาดิดาส หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.1% ปิดที่ 390.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,676.11 จุด เพิ่มขึ้น 42.57 จุด หรือ +0.34% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,502.25 จุด เพิ่มขึ้น 0.35 จุด หรือ +0.01% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,741.77 จุด ลดลง 34.88 จุด, -0.45%
นักลงทุนยังคงจับตาข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
หุ้นอาดิดาส ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภัณฑ์กีฬายักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ทะยานขึ้นกว่า 9% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 20% สู่ระดับ 418 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 4% สู่ระดับ 5.3 พันล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ อาดิดาสนับเป็นบริษัทผลิตภัณฑ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป และใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยบริษัทก่อตั้งมานาน 93 ปี
ส่วนหุ้นบริษัทใหญ่รายอื่นๆที่ปิดตลาดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ รวมถึงหุ้นเฟรสนิลโล ทะยานขึ้น 3.3% หุ้นแอสทราเซเนกา พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัลโฮเทล กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น 1.9%
หุ้น TUI AG ดิ่งลง 2.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดร่วงลงเมื่อคืนนี้ด้วย หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในยุโรปมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท
หุ้นธิสเซ่นครุปป์ (Thyssenkrupp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กของเยอรมนี ร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าการคาดการณ์
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 74.52 จุด วิตกสงครามการค้า,หุ้นพลังงาน-หุ้นแบงก์ดิ่งหนัก
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ดิ่งลงตามทิศทางราคาน้ำมัน และหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,509.23 จุด ลดลง 74.52 จุด หรือ -0.29% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,853.58 จุด ลดลง 4.12 จุด หรือ -0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,891.78 จุด เพิ่มขึ้น 3.46 จุด หรือ +0.04%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้น 3M ดิ่งลง 1.1% หุ้นโบอิ้ง ปรับตัวลง 0.7% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ลดลง 0.8% หุ้นอีตัน คอร์ป ลดลง 0.2% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.4%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลงน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.1% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 4.2% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.5% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.4% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 0.6% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 1.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงสู่ระดับ 2.937% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่สอง ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.1% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 1.2% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.3% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 1.4% ส่วนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นเจพีมอร์แกน ต่างก็ปรับตัวลง 0.7%
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 0.8 หุ้นอเมซอน ดีดขึ้น 0.6% หุ้นอินเทล ปรับตัวขึ้น 0.4% ขณะที่หุ้นอัลฟาเบทและหุ้นไมโครซอฟท์ต่างก็ดีดตัวขึ้น 0.2%
หุ้นเวียคอม บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งเป็นเจ้าของ MTV และพาราเมาท์ พิคเจอร์ส พุ่งขึ้น 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ของปีงบการเงินบริษัท อยู่ที่ระดับ 1.18 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.07 ดอลลาร์/หุ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 220,000 ราย ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ทรงตัวในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐในวันนี้ เพื่อบ่งชี้ทิศทางอัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
--อินโฟเควสท์
OO12322