- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 09 August 2018 13:07
- Hits: 2514
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ผันผวนกลับมากังวลสงครามการค้า,ราคาน้ำมันร่วงแรงคาดกดดันกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน เนื่องจากกลับมามีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าอีกครั้ง ทำให้หุ้นโลกมีการปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ ภายหลังจากที่จีนมีการเตรียมเก็บภาษีตอบโต้สหรัฐฯ และราคาน้ำมันก็ร่วงแรงกว่า 2 เหรียญฯ/บาร์เรลเมื่อคืนที่ผ่านมาถือว่าต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือน น่าจะกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
นอกจากนั้น วานนี้ดัชนี SET ปิดที่ระดับแนวต้าน หลังจากขึ้นไปทดสอบ 2 ครั้งแล้วยังไม่ผ่าน ดังนั้น จึงให้ระวังการแกว่งตัว ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบคละกัน
พร้อมให้แนวรับ 1,718-1,710 จุด ส่วนแนวต้าน 1,725-1,730 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,583.75 จุด ลดลง 45.16 จุด (-0.18%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,857.70 จุด ลดลง 0.75 จุด (-0.03%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,888.33 จุด เพิ่มขึ้น 4.66 จุด (+0.06%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 52.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 14.49 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 98.64 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 11.63 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.59 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.19 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 5.24 จุด
ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ส.ค.61) 1,721.64 จุด เพิ่มขึ้น 14.38 จุด (+0.84%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,921.72 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 ส.ค.61) ปิดที่ 66.94 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.23 ดอลลาร์ หรือ 3.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 ส.ค.61) ที่ 6.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.16 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบวันนี้ 33.10-33.30 บาท/ดอลลาร์
- "อุตตม"เตรียมชงบอร์ด อีอีซี ขยายพื้นที่ไปอีก 3 จังหวัด "สระแก้ว-จันทบุรี-ตราด"ลงทุนอุตฯใหม่ สอดคล้องศักยภาพแต่ละพื้นที่ ก่อนนำ โมเดลอีอีซี รุกต่อทุกภาคของประเทศ ด้าน"สนธยา"เปิด 4 โจทย์ใหญ่พัฒนาอีอีซี ต้องตรงกับความต้องการคนท้องถิ่น มีแผน รองรับสาธารณสุข ป้องกันน้ำท่วม ผู้ว่าฯชลบุรีแนะประชาชนรวมกลุ่มเสนอปัญหาจากการพัฒนา
- มติ กนง. 6 ต่อ 1 เสียง "คงดอกเบี้ย" 1.5% พร้อมส่งสัญญาณขยับดอกเบี้ย ห่วงนโยบายการเงินผ่อนคลายนาน สะสมความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจ จับตาสินเชื่อบ้านแข่งดุ หวั่นอนาคต ดอกเบี้ยขึ้นกระทบความสามารถชำระหนี้ ประเมินเศรษฐกิจเติบโตดีแต่ยังมีความเสี่ยง ด้านนักวิเคราะห์คาดดอกเบี้ยขึ้นปลายปี
- อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน ชะอำ และกรรมการสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวของคนไทยช่วงวันหยุดยาววันแม่แห่งชาติ 11-13 ส.ค.นี้ ในแหล่งท่องเที่ยวหัวหิน ชะอำ ยังมีสัญญาณที่ดี ล่าสุดมียอดจองห้องพักล่วงหน้าเข้ามาแล้ว 60-70%
- ประธานโครงการดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีนเปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจากธุรกิจ 500 ราย ที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทย-จีนว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่ระบุไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐและจีน เชื่อว่าอีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลายลง เพราะหากยืดเยื้อออกไปไม่เพียงจะกระทบกับทั้ง 2 ประเทศ แต่จะกระทบไปทั่วโลกทำให้การบริโภคชะลอตัว
*หุ้นเด่นวันนี้
- TKN (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 24.5 บาท ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว คาดกำไรสุทธิ Q2/61 ที่ 166 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 9%qoq และ 23%yoy จากการเติบโตของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ GPM ฟื้นตัวจากต้นทุนสาหร่ายลดลง และได้ Economy of scale และจ่ายภาษีลดลง เนื่องจากโรงงานได้สิทธิประโยชน์จาก BOI ขณะที่ไตรมาส 3 และ 4 เข้าสู่ช่วง High season
- ERW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท กำไรปกติ Q2/61 มีโอกาสที่จะสูงกว่าคาดการณ์ที่ 40 ลบ. -86.2% Q-Q, 31.2% Y-Y หลัง MINT ประกาศกำไรออกมาดีกว่าคาดและธุรกิจโรงแรมค่อนข้างแข็งแกร่ง ทั้งนี้โมเมนตัมของกำไรจะดีขึ้นใน H2/61 โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเข้า High Season อีกครั้งจากนักท่องเที่ยวคาดว่าจะมาเติบโตในอัตราเร่งและโรงแรม JW Marriott จะกลับมาให้บริการได้ตามปกติ ด้านราคาหุ้น ERW -15.5% YTD ยัง Laggard ดัชนีกลุ่มท่องเที่ยวและ SET ที่ -12.7% YTD และ -1.8% YTD ตามลำดับ จึงคาดว่ามีโอกาส Outperform
- IVL (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 70 บาท ประเมินแนวโน้มผลประกอบการ Q3/61 มีโอกาสชะลอตัว QoQ เนื่องจากมาร์จิ้นที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามจะได้ชดเชยบางส่วนจากปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยยังชอบ IVL จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำลังการผลิต และอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านเทคนิครีบาวน์ ต้าน 61.5 รับ 59 บาท
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,591.54 จุด ลดลง 52.77 จุด, -0.23% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,729.58 จุด ลดลง 14.49 จุด, -0.53% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,260.50 จุด ลดลง 98.64 จุด, -0.35% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,063.62 จุด ลดลง 11.63 จุด, -0.11% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,303.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด, +0.07% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,803.54 จุด ลดลง 1.19 จุด, -0.07% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,856.70 จุด เพิ่มขึ้น 5.24 จุด, +0.07% ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันชาติ
กระทรวงพาณิชย์ของจีนยืนยันว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนได้ประกาศเมื่อวาน จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ โดยครอบคลุมสินค้า 333 รายการ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน
การดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
ก่อนหน้านี้ คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนล็อตแรกในอัตรา 25% วงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นไม่นาน จีนก็ได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตราและวงเงินที่เท่ากัน
ทั้งนี้ การที่สหรัฐออกมาตรการเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนทั้ง 2 ล็อตคิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ในอัตราและวงเงินที่เท่ากัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 58.17 จุด หลังเงินปอนด์อ่อนหนุนบริษัทข้ามชาติ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,776.65 จุด เพิ่มขึ้น 58.17 จุด หรือ +0.75%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
ทั้งนี้ เงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังจากนายเลียม ฟ็อกซ์ รมว.การค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ระบุก่อนหน้านี้ว่า มีโอกาสสูงขึ้นที่อังกฤษจะไม่มีการทำข้อตกลง Brexit เนื่องจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) มีท่าทีที่ไม่ต้องการประนีประนอมกับอังกฤษ โดยนายฟ็อกซ์ กล่าวว่า โอกาสที่อังกฤษจะประสบความล้มเหลวในการทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) อยู่ที่ "60-40"
หุ้นพรูเดนเชียล พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเกินคาดในไตรมาส 2 อันเนื่องมาจากความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันในภูมิภาคเอเชีย
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มการเงินนั้น หุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ดีดตัวขึ้น 1% และหุ้นสแตนดาร์ด ไลฟ์ เอเบอร์ดีน พุ่งขึ้น 1.9%
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงเมื่อวานนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์
การดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศต่างก็ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 25% เมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.2% แตะที่ระดับ 389.69 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,633.54 จุด ลดลง 14.65 จุด หรือ -0.12% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,501.90 จุด ลดลง 19.41 จุด หรือ -0.35% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,776.65 จุด เพิ่มขึ้น 58.17 จุด หรือ +0.75%
ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนแรงลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงเมื่อวานนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์ โดยการดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
หุ้นเอโฮลด์ เดลเฮซ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของเนเธอร์แลนด์ที่มีเครือข่ายในสหรัฐและยุโรป ร่วงลง 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 410 ล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 414 ล้านยูโร
หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพร่วงลง โดยหุ้นโรช โฮลดิ้ง ร่วงลง 1.1% หุ้นเอช.ลุนด์เบค ทรุดตัวลง 14.3% และหุ้นโนโว นอร์ดิค ร่วงลง 6%
อย่างไรก็ตาม หุ้นบีเอ็น แอมโร กรุ๊ป เอ็นวี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินรายใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ ปิดตลาดพุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 688 ล้านยูโร (799.5 ล้านดอลลาร์) ซึ่งแม้ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 552.5 ล้านยูโร (642 ล้านดอลลาร์)
หุ้นพรูเดนเชียล พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเกินคาดในไตรมาส 2 อันเนื่องมาจากความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันในภูมิภาคเอเชีย
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 45.16 จุด วิตกสงครามการค้า,ราคาน้ำมันดิบร่วงฉุดหุ้นพลังงาน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศต่างก็ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 25% เมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างหนัก รวมทั้งผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดของบริษัทวอลท์ ดิสนีย์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,583.75 จุด ลดลง 45.16 จุด หรือ -0.18% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,857.70 จุด ลดลง 0.75 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,888.33 จุด เพิ่มขึ้น 4.66 จุด หรือ +0.06%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงเมื่อวานนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์ โดยการดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
ก่อนหน้านี้ คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนล็อตแรกในอัตรา 25% วงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นไม่นาน จีนก็ได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตราและวงเงินที่เท่ากัน
ทั้งนี้ การที่สหรัฐออกมาตรการเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนทั้ง 2 ล็อตคิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ในอัตราและวงเงินที่เท่ากัน
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวลง 0.7% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 1.04% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.8% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 0.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ลดลง 0.9%
หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท อยู่ที่ระดับ 1.87 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.95 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 1.523 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.534 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเทสลา ร่วงลง 2.4% เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาหุ้นทะยานขึ้น 11% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากการที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา ได้ทวีตข้อความว่า เขากำลังพิจารณานำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์
หุ้นสแนป อิงค์ ร่วงลง 6.8% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการรายไตรมาสเป็นครั้งแรก รวมทั้งรายงานจำนวนผู้ใช้งานที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงได้รับแรงซื้อส่งเข้าหนุน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 0.6% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้น Nvidia ดีดตัวขึ้น 0.6% และหุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.7%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย.
--อินโฟเควสท์
OO12287