WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

11 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-อิงทางบวกรับแรงหนุนราคาน้ำมันรีบาวด์-เก็งกำไรงบฯ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ อิงทางบวก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบได้รีบาวด์ทางเทคนิคขึ้นมาได้ราว 2% และคาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรอิงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเมื่อวานนี้งบฯของ ADVANC ก็ออกมาดีตามคาด และยังมีการจ่ายเงินปันผลด้วย
อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดฯคงจะไปได้ไม่ไกลคาดว่าจะแกว่งในกรอบ 1,700-1,720 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังระวังสถานการณ์การค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยวันนี้ให้ติดตามตัวเลข PMI ภาคบริการของหลายประเทศทั่วโลก และให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในคืนนี้ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,700 จุด ส่วนแนวต้าน 1,715-1,720 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,326.16 จุด ลดลง 7.66 จุด (-0.03%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,827.22 จุด เพิ่มขึ้น 13.86 จุด (+0.49%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,802.69 จุด เพิ่มขึ้น 95.40 จุด (+1.24%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 73.01 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.13 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 27.53 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 37.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.62 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 4.61 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 14.27 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 3.94 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 3.08 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ส.ค.61) 1,708.28 จุด ลดลง 13.73 จุด (-0.80%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 339.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 ส.ค.61) ปิดที่ 68.96 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ส.ค.61) ที่ 6.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.33 แนวโน้มอ่อนค่า ตลาดยังกังวลปัญหาสงครามการค้า มองกรอบเคลื่อนไหววันนี้ 33.30-33.40
- "สมคิด"สั่งตั้งหน่วยงานพิเศษดูแลนักท่องเที่ยวตลาดใหญ่นำร่องจีน ขีดเส้น 10 วันต้องเห็นแผนจัดตั้ง ให้ข้อมูลข่าวสาร ดูแลปลอดภัย เล็งใช้"วีแชท"เตือนภัยนักท่องเที่ยวจีน ลุ้นฟื้นตลาดจีนทันเดือน ต.ค.ชาวจีนแห่เที่ยววันชาติ ขณะ"วีระศักดิ์"รุดบินจีนเคลียร์ปมกลางส.ค. คาดจ่อสูญรายได้ 3.7 หมื่นล้าน
- "ก.อุตสาหกรรม" จ่อคลอดแพกเกจสินเชื่อใหม่ควบคู่การแจกคูปองอุ้ม "เอสเอ็มอี" เข้าถึงรายเล็กมากขึ้นในครึ่งปีหลังอีก 2-3 หมื่นราย วงเงินสินเชื่อ รายละ 1-5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สรุป ส.ค. ก่อนชง ครม.ภายใน ก.ย.นี้
- "อาคม"หารือ"ญี่ปุ่น"ยืนยันร่วมลงทุนในพื้นที่ EEC ทุกโครงการ พร้อมจับมือเอกชนไทยยื่นประมูล รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน-พัฒนา อู่ตะเภาและแหลมฉบัง เฟส 3 "อุตตม" เผยเตรียมหารือ อีอีซี 3 ส.ค.ติดตามความคืบหน้า ก่อนชงคณะใหญ่ที่ "ประยุทธ์" เป็นหัวโต๊ะ 10 ส.ค.นี้
- ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย ก.ค.61 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 82.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 81.3 โดยเป็นการปรับต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 62 เดือน หรือ 5 ปี 2 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556 นอกจากนี้ ยังเป็นการปรับตัวดีขึ้นในทุกรายการ เนื่องจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มรู้สึกว่ามีรายได้ในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากปรากฏการณ์ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาที่ คนออกเดินทางคึกคักและมีการใช้จ่าย มากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัว
- สศค.เตรียมส่งร่างกฎหมายกำกับนอนแบงก์ ให้ระดับนโยบายพิจารณา หลังทำประชาพิจารณ์แล้ว ไม่มีผู้คัดค้าน ย้ำเพื่อวางมาตรฐานให้ชัดเจน สกัดผู้ให้บริการบางรายคิดดอกเบี้ย ไม่เป็นธรรม
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยผลดำเนินงานสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือแบงก์รัฐ 5 เดือนแรก 2561 ว่า ยอดสินเชื่อของทั้งระบบอยู่ที่ 4.61 ล้านล้านบาท ชะลอตัวลงเมื่อเทียบไตรมาสแรกของปีนี้ ที่มียอดสินเชื่อคงค้าง 4.63 ล้านล้านบาท ด้านเงินรับฝากอยู่ที่ 4.70 ล้านล้านบาท ชะลอตัวลงเมื่อเทียบจากไตรมาสแรกที่มียอดเงินฝากคงค้างที่ 4.75 ล้านล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- IVL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/61 ที่ 7.5 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 29%qoq และ 155%yoy จาก spreads ผลิตภัณฑ์ ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะ PTA spread และยังได้แรงหนุนจาก Volume ขายที่เพิ่มขึ้น
- BCP (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 42 บาท การให้บริการกลุ่มลูกค้าที่ใช้น้ำมัน B20 เป็นกลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ยังมีจำนวนจำกัด ในมุมมองความน่าสนใจของการเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลจะอยู่ที่การปรับจาก B7 เป็น B10 สำหรับรถยนต์ทั่วไป ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผู้ให้บริการค้าปลีกน้ำมัน และการจัดจำหน่าย B100 โดย BBGI ที่ BCP มีแผนจะนำเข้า IPO ในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งมองเป็น 1 ใน Catalyst ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกเหนือไปจากการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่หลังซ่อมบำรุงใหญ่ใน Q2/61 ด้านเทคนิค ลุ้นรีบาวน์ ต้าน 36.5/38.0 รับ 35 บาท
- PTTEP (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 159 บาท คาดผลงานปี 61 ยังคงโดดเด่นจากแนวโน้มราคาก๊าซและราคาน้ำมันที่ยังคงเพิ่มขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 70-71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ใกล้จุดสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง จากการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปก รวมถึงการผลิตที่ลดลงจากเวเนซุเอลาและการแซงชั่นอิหร่าน ขณะที่รอยื่นประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณคาดได้เปรียบจากเป็นผู้ประกอบการเดิม และเงื่อนไขการประมูลให้น้ำหนักกับความมั่นคงต่อเนื่องของการผลิตและการจ้างงานคนไทยด้วย
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ตามตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะนลท.ยังวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในเช้าวันนี้ ตามดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ จากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังแอปเปิลทำสถิติเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลกที่มีมูลค่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งความคึกคักของหุ้นเทคโนโลยีได้ช่วยบดบังความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,585.54 จุด เพิ่มขึ้น 73.01 จุด, +0.32% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดที่ 2,278.33 จุด เพิ่มขึ้น 8.13 จุด, +0.36% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดที่ 10,957.30 จุด เพิ่มขึ้น 27.53 จุด, +0.25% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ 27,751.60 จุด เพิ่มขึ้น 37.04 จุด, +0.13% ขณะที่ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,763.40 จุด ลดลง 4.62 จุด, -0.17%
ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดที่ 1,782.74 จุด เพิ่มขึ้น 4.61 จุด, +0.26% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดที่ 3,300.59 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด, +0.43% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,763.49 จุด เพิ่มขึ้น 3.94 จุด, +0.05% ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดที่ 6,014.80 จุด เพิ่มขึ้น 3.08 จุด, +0.05%
การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นแอปเปิลเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq เนื่องจากหุ้นแอปเปิลได้ถูกนำไปคำนวณทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าว อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ไม่สามารถรักษาช่วงบวกเอาไว้ได้และปิดลบเล็กน้อย เนื่องจากตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์วานนี้ ขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
"จีนเตรียมพร้อม และจะตอบโต้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ, ผลประโยชน์ของประชาชน และปกป้องการค้าเสรี, การซื้อขายแบบพหุภาคี รวมทั้งผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา จีนได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขความขัดแย้งโดยผ่านทางการเจรจาหารือ แต่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน และให้เกียรติต่อคำพูดของเรา" แถลงการณ์ระบุ
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากเดิมในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
ขณะเดียวกัน นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ โดยผลการสำรวจระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากที่พุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และนักวิเคราะห์ยังคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 3.9%
ในเดือนที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมิ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 213,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 76.98 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่แบงก์ชาติอังกฤษประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 76.98 จุด หรือ 1.01% ปิดที่ 7,575.93 จุด
หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ ปรับตัวลง 2.7% หุ้นสายการบินอีซี่เจ็ท ร่วงลง 3.74% หุ้นริโอ ทินโต ร่วง 3.60% หุ้นแองโกล อเมริกัน ลดลง 3.08%
หุ้นโรลส์-รอยซ์ พุ่ง 7% หุ้นเซจ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ เพิ่มขึ้น 3.2%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์
แผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% นั้น สูงกว่าแผนการที่สหรัฐเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สดใส
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียง ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ในการประชุมนโยบายการเงินของ BoE ในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว BoE ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
BoE ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดในเดือนส.ค.2559 ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ หลังจากที่สหราชอาณาจักรลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นับจากนี้ไป BoE จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง นักลงทุนวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) หลังจากที่แบงก์ชาติอังกฤษประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกัน นักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 0.8% ปิดที่ 386.64 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,546.33 จุด ลดลง 190.72 จุด หรือ 1.50% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,460.98 จุด ลดลง 37.39 จุด หรือ 0.68% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,575.93 จุด ลดลง 76.98 จุด หรือ 1.01%
หุ้นซีเมนส์ปรับตัวลง 4.7% หลังผลกำไรปรับตัวลดลงในไตรมาส 3
หุ้นบีเอ็มดับเบิลยูขยับลง 0.4% หลังเปิดเผยผลประกอบการ
หุ้นโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ร่วงลง 2.25% แม้บริษัทจะเปิดเผยกำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบรายปีก็ตาม
ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สดใส
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียง ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ในการประชุมนโยบายการเงินของ BoE ในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว BoE ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
BoE ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดในเดือนส.ค.2559 ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ หลังจากที่สหราชอาณาจักรลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นับจากนี้ไป BoE จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขณะเดียวกัน นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ แผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% นั้น สูงกว่าแผนการที่สหรัฐเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 7.66 จุด ขณะหุ้นแอปเปิลพุ่งต่อหลังมาร์เก็ตแคปแตะ $1 ล้านล้าน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิลจนทำสถิติเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลกที่มีมูลค่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยบดบังความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,326.16 จุด ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.03% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,827.22 จุด เพิ่มขึ้น 13.86 จุด หรือ 0.49% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,802.69 จุด เพิ่มขึ้น 95.40 จุด หรือ 1.24%
ในช่วงแรกนั้น ดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์พลิกดีดตัวแดนบวกในเวลาต่อมา จากอานิสงส์แอปเปิลทำสถิติมาร์เก็ตแคปแตะ 1 ล้านล้านดอลล์
การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นแอปเปิลเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq เนื่องจากหุ้นแอปเปิลได้ถูกนำไปคำนวณทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าว
ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 2.92% ปิดที่ 207.39 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ทะยานขึ้นถึง 5.9% เมื่อวันพุธ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาหุ้นในวันพฤหัสบดี ส่งผลให้แอปเปิลเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลกที่มีมูลค่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยขณะนี้ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้นราว 22% นับตั้งแต่ต้นปี และทะยานขึ้นมากกว่า 30% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
โดยหลังปิดตลาดในวันอังคาร แอปเปิลได้เปิดเผยผลประกอบการช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 17% อยู่ที่ระดับ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.34 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 40% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.18 ดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ไม่สามารถรักษาช่วงบวกเอาไว้ได้ เนื่องจากตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ในวันพฤหัสบดี ขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
"จีนเตรียมพร้อม และจะตอบโต้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ, ผลประโยชน์ของประชาชน และปกป้องการค้าเสรี, การซื้อขายแบบพหุภาคี รวมทั้งผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา จีนได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขความขัดแย้งโดยผ่านทางการเจรจาหารือ แต่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน และให้เกียรติต่อคำพูดของเรา" แถลงการณ์ระบุ
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากเดิมในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระลอกใหม่นี้ ได้ฉุดหุ้นบริษัทส่งออกอย่าง โบอิ้ง, 3เอ็ม และดาวดูปองท์ ร่วงลงและได้ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ให้ปิดในแดนลบ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดวอลล์สตรีท โดยบริษัทในดัชนี S&P 500 มากกว่า 70% ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งบริษัท 78% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ โดยผลการสำรวจระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากที่พุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และนักวิเคราะห์ยังคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 3.9%
ในเดือนที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมิ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 213,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 220,000 ราย
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค.
คำสั่งซื้อภาคโรงงานดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อในภาคการขนส่ง, อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งคอมพิวเตอร์
เมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานพุ่งขึ้น 8.0% ในเดือนมิ.ย.
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. หลังจากดีดตัวขึ้น 0.7% ในเดือนพ.ค.โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดวอลล์สตรีทวันพฤหัสบดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งนำตลาด 1.4% จากอานิสงส์หุ้นแอปเปิลและเทสลา ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่พุ่งขึ้น 1.1% ด้านหุ้นกลุ่มวัสดุและพลังงานลดลง 0.7% และ 0.5% ตามลำดับ
หุ้นเทสลาทะยาน 16% หลังจากที่ซีอีโอ อีลอน มัสก์ กล่าวว่าบริษัทจะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้และมีกระแสเงินสดที่เป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ หลังจากที่ขาดทุนมากเกินคาดในไตรมาสที่ผ่านมา
หุ้นซิสโก้ ซีสเต็มส์ บวก 1.6% หลังบริษัทตกลงซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพรายหนึ่ง
หุ้นยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพิซซ่า ฮัท, เคนตั๊กกี ฟรายชิกเก้น (KFC) และทาโก เบล บวก 1.5% หลังบริษัทรายงานกำไรสูงกว่าคาดในไตรมาส 2
หุ้นดาวดูปองท์ ร่วง 2.2% แม้บริษัทด้านเกษตรกรรม วัสดุศาสตร์และผลิตภัณฑ์พิเศษ รายงานผลกำไรและรายได้ที่ดีเกินคาดก็ตาม
หุ้นแมคโดนัลด์ ลดลง 0.96% ขณะหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลบ 0.87%
หุ้นทริปแอดไวเซอร์ ดิ่ง 11.2% หลังรายได้ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
--อินโฟเควสท์ 
OO12032

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!