- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 17 July 2018 12:03
- Hits: 3252
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์-เล็งแรงหนุนจากกลุ่มการเงิน แม้กลุ่มพลังงานจะถ่วงหลังราคาน้ำมันร่วง
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ แม้ว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานจะถ่วงในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่มาก เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมีความสัมพันธ์ไม่น่าจะมาก แต่ตลาดฯอาจได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มการเงินหลังจากที่ร่วงไปมากเมื่อวานนี้ อันเป็นผลจากหุ้นบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ปรับตัวลง 30% ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับกำไรของกลุ่มการเงิน
แต่ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ผลประกอบการของ KTC ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ จากรายได้ที่เติบโตขึ้น ทำให้น่าจะช่วยให้เกิดแรงซื้อกลับหุ้น KTC ได้ และน่าจะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนของกลุ่มการเงินดีขึ้น
นอกจากนี้ วันนี้ก็ให้จับตาการประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) ที่มีการประชุมเรื่องมาตรการบัญชีใหม่ IFRS9 ว่าจะมีการเลื่อนบังคับออกไปหรือไม่จากเดิมที่กำหนดในต้นปี 62 ซึ่งถ้าเลื่อนออกไป 1 ปีก็จะทำให้ Sentiment ดีขึ้น
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,625-1,640 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,064.36 จุด เพิ่มขึ้น 44.95 จุด (+0.18%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,805.72 จุด ลดลง 20.26 จุด (-0.26%) และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,798.43 จุด ลดลง 2.88 จุด (-0.10%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 8.38 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.15 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 88.16 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 14.70 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.96 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.56 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.37 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ก.ค.61) 1,627.69 จุด ลดลง 15.83 จุด (-0.96%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 745.35 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ก.ค.61) ปิดที่ 68.06 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.95 ดอลลาร์ หรือ 4.15%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ก.ค.61) ที่ 5.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.25 แนวโน้มแกว่งแคบ ตลาดรอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง มองกรอบวันนี้ 33.20-33.30
- แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุมวันที่ 17 ก.ค.นี้ คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพทางบัญชี (กกบ.) ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 ที่มีนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน จะพิจารณาการบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่ IFRS9 จากเดิมจะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.62 แต่ทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เสนอให้เลื่อนออกไปเป็นปี 65 ซึ่งการประชุมวันนี้จะต้องมีข้อสรุป
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ อนุมัติให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนของบัญชีน้ำมันไปอุดหนุนราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) หรือก๊าซหุงต้ม เพื่อตรึงราคาขายปลีกตลอดทั้งปีให้อยู่ที่ 363 บาทต่อถังขนาด 15 กก. ทำให้สถานะกองทุน ณ วันที่ 15 ก.ค. 2561 ในส่วนบัญชีแอลพีจีติดลบอยู่ 117 ล้านบาท บัญชีน้ำมันมีเงินอยู่ 2.96 หมื่นล้านบาท
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มอาหารแช่เยือกแข็ง กลุ่มทูน่า กลุ่มสุกร กลุ่มอาหารสำเร็จรูป ฯลฯ ว่า จากการประเมินสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเอกชนส่วนใหญ่ประเมินว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกไทยมากกว่าผลกระทบทางลบ ซึ่งกลุ่มอาหารระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบและเชื่อว่าจะสามารถนำเข้าแหล่งวัตถุดิบอาหารทะเลมาได้ในราคาถูกลง โดยเฉพาะวัตถุดิบปลา
- เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกอยู่ในช่วงขาลง เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัญหาจากมาตรการตอบโต้สหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งประเทศไทยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กอช.มีหน้าที่ดูแลเงินลงทุนของสมาชิก จะต้องมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมอยู่เสมอเพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
*หุ้นเด่นวันนี้
- EPG (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 9 บาท ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเป็นหุ้นที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลง และค่าเงินบาทอ่อนค่า
- SVI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 4.90 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/61 ที่ 218 ล้านบาท (+241% Q-Q, +74% Y-Y) ทำจุดสูงสุดในรอบ 8 ไตรมาส จากรายได้ที่โต 5 ไตรมาสติดต่อกัน ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ US$114 ล้าน และเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่า ขณะที่ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบได้คลี่คลายจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แนวโน้ม H2/61 จะโตดีต่อเนื่อง เพราะฐานปีก่อนต่ำ และ Q3/61 เป็น High Season โดยคาดทั้งปีทำได้ 656 ล้านบาท +33% Y-Y และปีหน้า 767 ลบ. +17% Y-Y
- QH (กสิกรไทย) "ซื้อ" เป้า 3.80 บาท กำไรไตรมาส 2/61 คาดไว้ที่ 865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% YoY และ 2.4% QoQ โดยการเติบโต YoY หลัก ๆ มาจากการปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของ GPM ขณะที่การเติบโตของรายได้ถือเป็นส่วนผลักดันการเติบโต QoQ ทั้งนี้ยอดขายของโครงการ คิว สุขุมวิท ที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/61 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เนื่องจากอาจสร้าง upside risk ต่อประมาณการกำไรของกสิกรไทยและตลาดได้ เนื่องจากยังคงมีมุมมองเป็นบวกที่ไม่มากนักต่อพัฒนาการขายของโครงการนี้ที่สร้างยอดขายเพิ่มได้เพียง 2-3% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดที่ราว 1 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตาแถลงการณ์ประธานเฟด
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า รวมถึงราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดิ่งลงกว่า 4%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,605.73 จุด เพิ่มขึ้น 8.38 จุด, +0.04% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,806.89 จุด ลดลง 7.15 จุด, -0.25% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,451.50 จุด ลดลง 88.16 จุด, -0.31% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,802.75 จุด ลดลง 14.70 จุด, -0.14% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,302.95 จุด เพิ่มขึ้น 0.96 จุด, +0.04% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,240.35 จุด เพิ่มขึ้น 7.56 จุด, +0.23% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,727.04 จุด เพิ่มขึ้น 0.37 จุด, +0.02%
นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 63 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 57 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการปรับลดค่าใช้จ่าย และมาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนหนึ่งได้ชะลอการซื้อขายก่อนที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในวันนี้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 61.42 จุด หลังราคาน้ำมันร่วงฉุดหุ้นพลังงาน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (16 ก.ค.) หลังจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ชะลอตัวลงในไตรมาส 2
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,600.45 จุด ลดลง 61.42 จุด หรือ -0.80%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2561 ขยายตัว 6.7% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 6.8% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ของจีนยังขยายตัวเพียง 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมัน WTI ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ดิ่งลง 2.1% และหุ้นบีพี ร่วงลง 2.3%
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การเมืองในอังกฤษอย่างใกล้ชิด หลังจากรัฐบาลอังกฤษได้เผยแพร่สมุดปกขาว (white paper) หรือรายงานสรุปเกี่ยวกับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาโดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงการยอมรับกฎระเบียบด้านมาตรฐานอาหารและการซื้อขายสินค้าของ EU
ขณะที่นายเดวิด ดาวิส อดีตรัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ออกมาสนับสนุนความคิดเห็นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่มองว่า แผนซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อาจทำลายข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุหุ้นเหมืองร่วงหลังจีนเผย GDP ชะลอตัวใน Q2
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (16 ก.ค.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ชะลอตัวลงในไตรมาส 2
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.3% ปิดที่ 384.06 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่ 5,409.43 จุด ลดลง 19.77 จุด หรือ -0.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 7,600.45 จุด ลดลง 61.42 จุด -0.80% ส่วนดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,561.02 จุด เพิ่มขึ้น 20.29 จุด หรือ +0.16%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมัน WTI ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ดิ่งลง 2.1% และหุ้นบีพี ร่วงลง 2.3%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2561 ขยายตัว 6.7% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 6.8% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ของจีนยังขยายตัวเพียง 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
ทั้งนี้ หุ้นเกลนคอร์ ดิ่งลง 1.3% หุ้นโบลิเดน ร่วงลง 1.7% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ลดลง 2.5% และหุ้นอาร์เซลอร์มิททัล ร่วงลง 1.3%
หุ้นดอยซ์แบงก์ ทะยานขึ้น 7.3% หลังจากธนาคารคาดการณ์ว่ากำไรและรายได้ในไตรมาส 2 จะออกมาสูงกว่าที่คาดไว้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 44.95 จุด รับหุ้นแบงก์พุ่ง แต่ S&P500 ปิดลบหลังหุ้นพลังงานร่วงหนัก
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นธนาคาร หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4% ขณะที่นักลงทุนส่วนหนึ่งได้ชะลอการซื้อขายก่อนที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในวันนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,064.36 จุด เพิ่มขึ้น 44.95 จุด หรือ +0.18% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,805.72 จุด ลดลง 20.26 จุด หรือ -0.26% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,798.43 จุด ลดลง 2.88 จุด หรือ -0.10%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 2.2% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ทะยานขึ้น 3.7% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 3% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดีดตัวขึ้น 1.7%
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 63 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 57 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการปรับลดค่าใช้จ่าย และมาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดีดตัวขึ้น 1.2% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการภายหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการ อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ผลประกอบการและจำนวนผู้ใช้บริการของเน็ตฟลิกซ์ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นเน็ตฟลิกซ์ร่วงลงกว่า 12% ในการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
หุ้นอเมซอน บริษัทยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซของสหรัฐก ดีดตัวขึ้น 0.5% หลังจากอเมซอนประกาศจัดงานวัน Prime Day 2018 เมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นวันช็อปปิ้งระดับโลกที่จะมีการลดราคาสินค้าสำหรับสมาชิก Prime จำนวนหลายแสนรายการเพื่อกระตุ้นยอดขายประจำปี
หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) พุ่งขึ้น 1.9% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์สตีเฟล นิโคลัส ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น AMD ขณะที่หุ้นโบอิ้ง ดีดตัวขึ้น 1.5% หลังจากซีอีโอของโบอิ้งเปิดเผยว่า บริษัทจะประกาศการตัดสินใจในปีหน้าว่าจะเดินหน้าโครงการเครื่องบินพาณิชย์โครงการใหม่ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 ปิดในแดนลบ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1% หุ้นเชฟรอน ปรับตัวลง 0.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 5.7% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ลดลง 1.1% หุ้นมาราธอน ออยล์ ดิ่งลง 6.7% และหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.3%
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอ่อนแรงลง ซึ่งฉุดดัชนี Nasdaq ปิดลบเช่นกัน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.5% หุ้นแอปเปิล ขยับลง 0.2% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ลดลง 0.7%
หุ้นแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก ปรับตัวลง 0.6% หลังจากแบล็คร็อคระบุว่า บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่า 6.299 ล้านล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.372 ล้านล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์คิงส์วิว แอสเซ็ท เมเนจเมนท์ของสหรัฐกล่าวว่า นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้ตามเวลาสหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เช่นกัน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
--อินโฟเควสท์
OO11312