- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 16 July 2018 11:09
- Hits: 2230
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ในกรอบจำกัด รอปัจจัยชี้นำใหม่/ติดตามการทยอยประกาศงบฯกลุ่มแบงก์
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบจำกัด เพื่อรอปัจจัยชี้นำใหม่เข้ามา ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้ดี จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯที่ออกมาดี และตลาดในยุโรปก็บวกได้เล็กน้อย ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบไม่มาก โดยวันนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการ
นอกจากนี้ ยังต้องรอดูการทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ในสัปดาห์นี้ด้วย และพรุ่งนี้ให้ติดตามเรื่องมาตรการฐานการบัญชี IFRS9 จะเลื่อนใช้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องจับตาสงครามการค้า โดยรอดูจีนจะมีการตอบโต้หรือไม่ แต่ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนออกมาดี โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออกที่ออกมาดีมาก จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษี
พร้อมให้แนวรับ 1,630-1,635 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 ถัดไป 1,660-1,665 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,019.41 จุด เพิ่มขึ้น 94.52 จุด (+0.38%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,801.31 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด (+0.11%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,825.98 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด (+0.03%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.10 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 55.52 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 3.43 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.36 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.48 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.72 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ (16 ก.ค.) เนื่องในวันแห่งทะเล
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ก.ค.61) 1,643.52 จุด เพิ่มขึ้น 2.59 จุด (+0.16%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 343.50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ก.ค.61) ปิดที่ 71.01 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ก.ค.61) ที่ 5.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.29 แข็งค่าหลังมีแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 33.25-33.35 ตลาดรอปัจจัยใหม่
- คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ลุ้นการประชุม คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) 17 ก.ค.นี้ จะชะลอการเคาะกำหนดวันบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS9 ออกไปก่อนหลังทำหนังสือขอให้รอผลการศึกษาจาก ม.หอการค้าไทยที่ กกร.ว่าจ้างล่าสุดศึกษาผลกระทบภาพรวมให้ครอบคลุมซึ่งจะแล้วเสร็จธ.ค.นี้ วงในเผยแนวโน้มส่อบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 63 ขณะที่ "กกร." เสนอบังคับเป็น 1 ม.ค.65
- จากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกาศเชิญชวนและรับคำขอผู้สนใจเข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ และประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อวันที่ 9-13 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่มีโอเปอเรเตอร์รายใดรับคำขอเข้าร่วมประมูล
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยทิศทางผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ต้องติดตามธนาคารใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านโมบาย แบงก์กิ้งเป็นศูนย์ แม้ว่าจะพยายามเร่งค่าธรรมเนียมอื่นมาชดเชย เช่น การขายประกันและกองทุนรวม แต่ผลประกอบการเทียบกับไตรมาสแรกลดลงชัดเจน
- การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) แจ้งความคืบหน้าโครงการ ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟสที่ 1 กรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 252.35 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 1.79 แสนล้านบาทว่า รฟท.กำหนดแผนเปิดประมูลงานก่อสร้างตอนที่ 3 ต่อจากตอนที่ 2 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตรแล้ว โดยจะสร้างในส่วนที่เป็นอุโมงค์ทางวิ่งผ่านภูเขา บริเวณลำตะคอง มาประมูลก่อน
*หุ้นเด่นวันนี้
- PSL (ไอร่า) เป้า 18 บาท ดัชนีค่าระวางเรือ (BADI) ล่าสุด 1,612 จุด เพิ่มต่อเนื่อง และ YTD เป็นระดับสูงสุด แนวโน้ม Q2/61 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ Q1/61 ที่มีกำไรสุทธิ 108 ล้านบาท จากภาคอุตสาหกรรมหนักของจีนที่กลับมาผลิตเป็นปกติ (ช่วงฤดูหนาวถูกปิดบางส่วนจากปัญหาหมอกควัน) โดยล่าสุดค่าเฉลี่ย QTD ของค่าระวางเรือ Handysize และ Supramax ซึ่งเป็นขนาดเรือของ PSL เพิ่มขึ้น 5.3% และ 10.4% QoQ ตามลำดับ ส่วนระยะกลาง มุมมองด้าน Demand - Supply เข้าสู่สมดุลขึ้นเป็นลำดับ สอดคล้องกับการประเมินของสำนักต่างๆ ที่คาด Supply เรือเทกอง เพิ่มขึ้นเพียงราว 1-2% ในปี 61-62
- ANAN (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 6.7 บาท ได้ Sentiment บวกจากแนวโน้มยอดขายและรายได้ใน Q2/61 น่าจะออกมาดีกว่าที่บริษัทและตลาดเคยคาดไว้ หลังจากโครงการ IDEO Rama 9 - Asoke มีการตอบรับดีเกินคาดจากผู้ซื้อ ขณะที่โครงการ Aston Asoke เริ่มโอนได้เร็วกว่าแผน (จากโอน Q4/61 เป็น Q2/61)
- BKD (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 4.50 บาท หลังจากหันมาโฟกัสงานตกแต่งภายในที่ตัวเองถนัด จนดัน Backlog ทำยอดสูงสุดตั้งแต่เปิดบริษัทที่ 2 พันลบ. ทำให้คาดกำไรปกติปีนี้จะพุ่งแรง 320% Y-Yอยู่ที่ 172 ลบ. ส่วน Q2/61 คาดทำได้ 30 ลบ. พลิกจากขาดทุนปกติ 28 ลบ. ใน Q2/60 นอกจากนี้ Downside จำกัด เพราะมีธุรกิจน้ำและที่ดินรวมกันคิดเป็น 1.80 บาท/หุ้น และเมื่อคิดเป็น PE2561-62 ที่ 16-20 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 25 เท่า อีกทั้งราคาตอนนี้ยังต่ำกว่าต้นทุน PP ของ BTS ที่ 3.30 บาทด้วย
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางดาวโจนส์ ขณะนักลงทุนจับตา GDP จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อวันศุกร์ กลับไปยืนอยู่เหนือระดับ 25,000 จุดได้อีกครั้ง ด้าน S&P 500 ก็ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 2,800 จุด และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หลังฤดูรายงานผลประกอบการได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,827.08 จุด ลดลง 4.10 จุด, -0.14% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,580.96 จุด เพิ่มขึ้น 55.52 จุด, +0.19% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,867.97 จุด เพิ่มขึ้น 3.43 จุด, +0.03% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,312.26 จุด เพิ่มขึ้น 1.36 จุด, +0.06% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,260.83 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด, +0.01% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,722.65 จุด เพิ่มขึ้น 0.72 จุด, +0.04%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะมีการเปิดเผยในเช้าวันนี้ ได้แก่ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนมิ.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. และยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.
นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่า GDP ไตรมาส 2 ของจีนจะขยายตัวราว 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยหากตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ขยายตัวตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการชะลอตัวลงจากระดับ 6.8% ในไตรมาส 1 อย่างไรก็ตาม GDP ยังคงขยายตัวสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ตลอดปีที่ระดับ 6.5%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวกเพียง 10.54 จุด หลัง ทรัมป์ กลับคำวิจารณ์แผนเบร็กซิตของ เมย์
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) โดยแรงบวกในช่วงแรกถูกสกัด เนื่องจากเงินปอนด์กลับมาแข็งค่าขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้กลับลำบอกว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหรัฐยังคงเป็นไปได้ จากที่ก่อนหน้านี้เพิ่งแสดงความเห็นโจมตีแผน "ซอฟต์เบร็กซิต" ว่าอาจทำลายข้อตกลงการค้าอังกฤษ-สหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,661.87 เพิ่มขึ้น 10.54 จุด หรือ +0.14% ขณะที่ทั้งสัปดาห์ปรับตัวขึ้น 0.6% หลังลดลงติดต่อกันมาสองสัปดาห์
ในช่วงแรกของการซื้อขาย ดัชนีหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นไปถึง 7,716.24 หลังจากที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเห็นว่า แผนซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อาจทำลายข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหรัฐ
โดยเงินปอนด์ร่วงลงแตะที่ระดับ 1.3102 ดอลลาร์ หลังจากที่ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสื่อของอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ปธน.ทรัมป์กล่าวในระหว่างการเดินทางเยือนอังกฤษเมื่อวันพฤหัสบดีว่า แผนซอฟต์ เบร็กซิต ของนายกฯเมย์มีแนวโน้มที่จะทำลายข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ พร้อมกับเตือนว่า หากอังกฤษยังดึงดันที่จะใช้แผนดังกล่าวต่อไป สหรัฐจะหันไปทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรปแทน
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐได้กลับคำพูดในการแถลงข่าวร่วมกับนายกฯอังกฤษในวันศุกร์ว่า โดยระบุว่า ตนยังคงสนับสนุนให้สหรัฐทำข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักรหลังเบร็กซิต ส่งผลให้เงินปอนด์กลับมาดีดตัวขึ้นแตะที่ 1.3215 ดอลลาร์
ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว การอ่อนค่าของเงินปอนด์จะช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สถานการณ์เศรษฐกิจและการการเมืองของอังกฤษกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน หลังจากนายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ได้ตัดสินใจลาออก โดยกล่าวว่าเขาไม่สามารถสนับสนุนแผนการของนางเมย์ในการดำรงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ EU ต่อไป หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกมา พร้อมระบุว่า นางเมย์ยอมอ่อนข้อต่อ EU มากเกินไป และง่ายเกินไป
รัฐบาลอังกฤษได้เผยแพร่สมุดปกขาว (white paper) หรือรายงานสรุปเกี่ยวกับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เมื่อวันพฤหัสบดี โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสภาพยุโรป (EU)
สำหรับหุ้นบวกนำโดย หุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทซอฟต์แวร์และไอที พุ่ง 4.67% หุ้นดีซีซี กลุ่มบริษัทด้านบริการสนับสนุน พุ่ง 3.70% หุ้นเบอร์เบอร์รี่ บวก 2.53%
หุ้นแรนโกลด์ รีซอร์สเซส เจ้าของกิจการเหมืองทองคำ ลดลง 1.65% หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ บริษัทยาสูบ ลบ 1.15% หุ้นวิทเบรด ธุรกิจโรงแรม ลบ 0.99%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย ขณะนลท.จับตาผลประกอบการ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) โดยนักลงทุนหันมาติดตามการรายงานผลประกอบการจากบรรดาธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ ขณะที่ยังคงจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.66 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 385.03 จุด และปรับตัวขึ้น 0.7% ตลอดทั้งสัปดาห์
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,429.20 จุด เพิ่มขึ้น 23.30 จุด หรือ +0.43% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,540.73 จุด เพิ่มขึ้น 47.76 หรือ +0.38% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,661.87 จุด เพิ่มขึ้น 10.54 จุด หรือ +0.14%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียและสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนหันมาจับตาการรายงานผลประกอบการทางฝั่งสหรัฐที่เริ่มเปิดฉากแล้ว โดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก ต่างรายงานผลประกอบการก่อนตลาดเปิดทำการในวันศุกร์
ในส่วนของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐและจีนนั้น นักลงทุนยังติดตามใกล้ชิด แต่ได้พักความกังวลลงชั่วคราว หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนส่งสัญญาณยุติสงครามการค้าผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่ โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
สำหรับในตลาดหุ้นลอนดอนนั้น ดัชนีฟุตซี่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในช่วงเปิดตลาด เพราะได้อานิสงส์จากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ของอังกฤษ กรอบบ่ายวันพฤหัสบดีว่า แผนซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อาจทำลายข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับลำในวันถัดมา เมื่อเขากล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับนางเมย์ในวันศุกร์ว่า เขายังคงสนับสนุนการทำข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักรภายหลังเบร็กซิต ส่งผลให้เงินปอนด์กลับมาแข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจและการการเมืองของอังกฤษกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน หลังจากนายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ได้ตัดสินใจลาออก โดยกล่าวว่าเขาไม่สามารถสนับสนุนแผนการของนางเมย์ในการดำรงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ EU ต่อไป หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกมา พร้อมระบุว่า นางเมย์ยอมอ่อนข้อต่อ EU มากเกินไป และง่ายเกินไป
รัฐบาลอังกฤษได้เผยแพร่สมุดปกขาว (white paper) หรือรายงานสรุปเกี่ยวกับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เมื่อวันพฤหัสบดี โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับสภาพยุโรป (EU)
หุ้นเฮงเค็ล บริษัทเคมีและสินค้าอุปโภคบริโภค บวก 1.66% ในตลาดหุ้นเยอรมัน หุ้นดอยช์โพสต์ บวก 1.62% และอาดิดาส บวก 1.54%
หุ้นเฮย์ บริษัทสรรหาบุคลากรสัญชาติอังกฤษ พุ่ง 8.6% หลังบริษัทคาดว่าผลกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย
หุ้นดีซีซี บริษัทด้านบริการสนับสนุน บวก 3.7% ในตลาดหุ้นลอนดอน หลังยืนยันแนวโน้มผลประกอบการปีงบ 2562 พร้อมเผยว่าบริษัทได้เข้าซื้อธุรกิจสองแห่ง
หุ้นมิชลิน ผู้ผลิตยางรถยนต์ บวก 2.59% ในตลาดหุ้นฝรั่งเศส หุ้น LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าหรูหรา บวก 2.28% หุ้นแอร์บัส บวก 2.15%
หุ้นอัลทรอง บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีร่วง 28.2% ในตลาดหุ้นฝรั่งเศส หุ้นออเรนจ์ บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของฝรั่งเศส ลบ 0.78% หุ้นซาโนฟี่ ผู้ผลิตยา ลดลง 0.44% ในตลาดหุ้นฝรั่งเศส
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 94.52 จุด ขณะนลท.จับตาผลประกอบการ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ค.) กลับไปยืนอยู่เหนือระดับ 25,000 จุดได้อีกครั้ง ด้าน S&P 500 ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 2,800 จุด และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หลังฤดูรายงานผลประกอบการได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว ซึ่งธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสก่อนตลาดเปิดทำการในวันศุกร์ ซึ่งผลออกมามีทั้งที่ดีกว่าคาดการณ์และแย่กว่าคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,019.41 จุด เพิ่มขึ้น 94.52 จุด หรือ +0.38% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,801.31 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด หรือ +0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,825.98 จุด ขยับขึ้น 2.06 จุด หรือ +0.03%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 2.3% S&P ปรับตัวขึ้น 1.5% และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.8% โดยทั้งสามดัชนีปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรมเป็นแกนนำหุ้นบวก ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลดลง หลังจากที่ธนาคารรายใหญ่เผยผลประกอบการ
ทั้งนี้ ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐมีกำหนดรายงานผลประกอบการก่อนตลาดเปิดทำการในวันศุกร์ โดยเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรพุ่งขึ้น 18% ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 9.4% โดยแตะระดับ 8.32 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เจพีมอร์แกน เชส ระบุว่า ธนาคารมีกำไร 2.29 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.22 ดอลลาร์/หุ้น และเป็นไตรมาสที่ 14 ติดต่อกันที่ธนาคารมีกำไรสูงกว่าคาด
นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้ 2.84 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.74 พันล้านดอลลาร์
ทางด้านซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่รายได้ต่ำกว่าคาด โดยธนาคารมีกำไร 1.63 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.56 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่ธนาคารมีรายได้ 1.8469 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.8512 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่เวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 2 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
เวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า ธนาคารมีกำไร 1.08 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.12 ดอลลาร์/หุ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังเปิดเผยตัวเลขรายได้ในไตรมาส 2 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งบ่งชี้ว่าธนาคารยังคงได้รับผลกระทบจากกรณีอื้อฉาวจากการที่พนักงานสร้างบัญชีลูกค้าปลอมจำนวนกว่า 2 ล้านบัญชีเพื่อเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคาร
ทั้งนี้ บริษัทราว 5% ในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 แล้วในขณะนี้ โดยมีกำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16.37% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 20% หลังจากพุ่งขึ้น 24% ในไตรมาสแรก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 97.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.2
ผลการสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวลง 0.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2559 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ค.
การร่วงลงของดัชนีราคานำเข้าได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี หากเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าพุ่งขึ้น 4.3% ในเดือนมิ.ย.
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกพุ่งขึ้น 5.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2554
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ลบ 0.5% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วง 2.2% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 1.2% หลังสามแบงก์เผยผลประกอบการ
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วง 1.4% หลังจากที่คณะลูกขุนในศาลรัฐมิสซูรีมีคำสั่งให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 4.69 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.56 แสนล้านบาท แก่ผู้หญิง 22 คนซึ่งป่วยเป็นมะเร็งในรังไข่ หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์แป้งโรยตัวของบริษัท ซึ่งรวมถึงแป้งเด็กจอห์นสัน ที่มีส่วนผสมของทัลคัม โดยคำตัดสินดังกล่าวถือเป็นการสั่งจ่ายเงินชดเชยในวงเงินสูงที่สุดที่บริษัทจอห์นสันเผชิญในข้อหาดังกล่าว
หุ้นเอทีแอนด์ที ร่วง 1.7% หลังจากที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเผยว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดที่ยอมให้บริษัทสื่อสารรายใหญ่รายนี้เข้าซื้อไทม์ วอร์เนอร์ได้
หุ้นซิสโก้ ซีสเต็มส์ ร่วง 4.1% หุ้นจูนิเปอร์ เน็ตเวิร์คส์ ลดลง 2.3% หลังมีรายงานว่าบริษัท อเมซอนดอทคอม กำลังพิจารณาที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ซึ่งข่าวนี้ได้ฉุดให้หุ้นบริษัทด้านอุปกรณ์เครือข่ายปรับตัวลดลง
ด้านหุ้นอเมซอน บวก 0.9%
--อินโฟเควสท์
OO11252