- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 13 July 2018 11:28
- Hits: 1660
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นแนวเดียวกับภูมิภาค ตอบรับความคาดหวังสหรัฐฯ-จีนจะบรรลุผลเจรจาการค้า
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก ซึ่งคงจะตอบรับความคาดหวังที่สหรัฐฯกับจีนจะเจรจาการค้ากันได้ หลังจากที่นายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีหลังจากที่สหรัฐฯได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ส่วนปัจจัยในประเทศก็มีเรื่องที่ดีจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับตัวเลขการส่งออกปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 9% จากเดิมคาดโต 8% และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ได้ลงมติเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ 5 คน ซึ่งเพียงพอที่จะทำหน้าที่ตามกฎหมายได้ ดังนั้น การเลือกตั้งจึงน่าจะเป็นไปตามโรดแมพที่วางไว้
พร้อมให้แนวรับ 1,633-1,635 ถัดไป 1,628-1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 ถัดไป 1,660-1,665 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,924.89 จุด เพิ่มขึ้น 224.44 จุด (+0.91%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,798.29 จุด เพิ่มขึ้น 24.27 จุด (+0.87%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,823.92 จุด เพิ่มขึ้น 107.30 จุด ( +1.39%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 209.66 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.23 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 208.35 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 31.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.52 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 7.10 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 21.90 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ก.ค.61) 1,640.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด (+0.26%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 560.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ก.ค.61) ปิดที่ 70.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 5 เซนต์ หรือประมาณ 0.09%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ก.ค.61) ที่ 5.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.19 แนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.10-33.30 รอติดตามข้อมูลส่งออก-นำเข้าของจีน
- แบงก์ชาติยอมรับเข้าแทรกแซงค่าเงินป้องบาทอ่อนเร็ว หวังช่วยภาคธุรกิจปรับตัวทัน สะท้อนผ่านทุนสำรองลดลงราว 5 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งเดือน พร้อมสั่งจับตาสงครามค่าเงิน ชี้กระทบหลายประเทศ รวมทั้งไทย ห่วงกระทบทางอ้อมต่อซัพพลายเชน
- กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกปี 2561 เป็นโต 9% จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่คาดโต 8% เพราะขณะนี้เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวดีขึ้น ประกอบกับมีการทำงานอย่างหนักร่วมกับผู้ส่งออกในการขยายตลาดส่งออก ทำให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องสงครามการค้า แต่ก็ได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว
- องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกปรับอันดับการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมไทยมาอยู่ที่ 44 ของโลก ดีขึ้น 7 อันดับ เผยดีหมดทั้งด้านการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ การส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง และการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร ระบุยังชมเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนานวัตกรรมด้วย "สนธิรัตน์" สั่งเดินหน้าสร้างปัจจัยแวดล้อมให้มีการพัฒนานวัตกรรมต่อ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 46.2 ในการสำรวจช่วงเดือน พ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 46.5 ในการสำรวจช่วงเดือน มิ.ย. 2561 สะท้อนความกังวลที่บรรเทาลงของครัวเรือนต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3/2561 (เดือน ก.ค.-ก.ย.) โดยเฉพาะภาระค่าครองชีพที่ครัวเรือนมีความกังวลลดลง หลังจากที่ภาครัฐมีมาตรการควบคุมดูแลค่าสาธารณูปโภคไปจนถึงสิ้นปี 2561 เช่น การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ราคาน้ำมันดีเซล และค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2561
*หุ้นเด่นวันนี้
- KTC (เคทีบีฯ ให้ราคาเหมาะสม 36.30 บาท โดยวันนี้จะเทรดพาร์ใหม่วันแรกหุ้นละ 1 บาท ขณะที่คาดกำไรสุทธิ 2Q61 ที่ 1,267 พันล้านบาท (+61%YoY และ +5%QoQ) จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ 6.2% โดยได้รับแรงหนุนจากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเดือน เม.ย. ที่ขยายตัว 7.3% นอกจากนี้มองว่าข้อบังคับการให้สินเชื่อใหม่ของ ธปท. ที่บังคับตั้งแต่ 2H61 จะส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อจะดีขึ้น คาด NPL จะลดลงที่ 1.32% ส่งผลให้บริษัทตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสุทธิที่ 628 ล้านบาท (-37%YoY แต่ +11%QoQ) คงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 4.9 พันล้านบาท (+47 %) อย่างไรก็ตามแม้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคม Cashless และการบริหารจัดการสินเชื่อที่ดีขื้น แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบ้างแล้ว
- ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 25.40 บาท คาดกำไร Q2/61 จะโตได้ทั้ง Q-Q และ Y-Y อีกทั้งยังเป็น Growth Stock ที่คาดกำไรปีนี้โตเด่น +42% Y-Y และปีหน้า +31% Y-Y ด้าน Backlog รองรับรายได้ปี 2561-2562 ไปมากกว่าครึ่งของที่คาด และมีการขยายธุรกิจไปโรงแรมและออฟฟิตให้เช่าเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ราคาหุ้นร่วงจนทำให้ PE2561 เหลือเพียง 11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 14 เท่า และคาดปันผลน่าสนใจ 4% ต่อปี
- DRT (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อลงทุน"เป้า 6.5 บาท แนวโน้มปี 2561 ประเมินยอดขายของ DRT เท่ากับ 4,347 ล้านบาท เติบโต 4% ด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดีประมาณ 27.4% จากการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง 80-90% และ ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน คาดจะมีกำไรสุทธิ 444 ล้านบาท เติบโต 8% DRT มีกระแสเงินสูงประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี ทำให้ DRT ยังมีการจ่ายปันผลอัตราที่สูง ด้านเทคนิคระยะสั้นแกว่งสร้างฐานในกรอบ 5.6-5.9 บาท
- EPG (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 9 บาท ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเป็นหุ้นที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลง และค่าเงินบาทอ่อนค่า
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเช้านี้ นักลงทุนคลายวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดทะยานขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ ขานรับรายงานข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนส่งสัญญาณยุติสงครามการค้าผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,397.62 จุด เพิ่มขึ้น 209.66 จุด, +0.94% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,831.43 จุด ลดลง 6.23 จุด, -0.22% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,689.18 จุด เพิ่มขึ้น 208.35 จุด, +0.73% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,769.70 จุด เพิ่มขึ้น 31.32 จุด, +0.29% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,293.07 จุด เพิ่มขึ้น 8.01 จุด, +0.35% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,257.53 จุด เพิ่มขึ้น 4.52 จุด, +0.14% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,710.67 จุด เพิ่มขึ้น 7.10 จุด, +0.42% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,372.48 จุด เพิ่มขึ้น 21.90 จุด, +0.30%
นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากจีนยังไม่ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ แม้ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็ตาม
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่าจีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่าคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
ล่าสุด นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเปิดเผยว่า จีนต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับลึก ก่อนที่สหรัฐและจีนจะเปิดฉากการเจราจาเพื่อยุติสงครามการค้า
นายมนูชินยังกล่าวด้วยว่า ตนเองและคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมที่จะเจรจาการค้ากับจีน พร้อมระบุว่า สหรัฐไม่มีจุดประสงค์ที่จะสนับสนุนนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้า แต่สนับสนุนนโยบายการค้าที่เป็นธรรม
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 59.37 จุด รับสงครามการค้าส่งสัญญาณคลี่คลาย
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนส่งสัญญาณยุติสงครามการค้า ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่ ขณะที่หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขานรับข่าวที่ว่าบริษัทคอมแคสต์ประกาศเพิ่มวงเงินในการซื้อกิจการของสกาย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,651.33 จุด เพิ่มขึ้น 59.37 จุด หรือ +0.78%
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นหลังจากสื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
หุ้นสกาย พุ่งขึ้น 3.4% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาด หลังจากบริษัทคอมแคสต์ประกาศเพิ่มวงเงินในการซื้อกิจการของบริษัทสกาย สู่ระดับ 3.40 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าข้อเสนอของบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค ที่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับกระบวนการที่อังกฤษแยกตัวออกจาสหภาพยุโรป (Brexit) ขณะที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษให้คำมั่นว่า รัฐบาลอังกฤษจะเดินหน้ากระบวนการ (Brexit อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤตการเมืองภายหลังจากที่รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ได้ประกาศลาออก เพื่อแสดงจุดยืนประท้วงต่อต้านแผนซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ของนายกฯเมย์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเดินทางเยือนประเทศอังกฤษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลอังกฤษต้องออกค่าใช้จ่ายในการรักษาความปลอดภัยสำหรับปธน.ทรัมป์ในระหว่างการเดินทางเยือนครั้งนี้สูงถึง 12 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 15.8 ล้านดอลลาร์ และมีการใช้กำลังตำรวจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เกิดเหตุจลาจลในปี 2554
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับสหรัฐ-จีนส่งสัญญาณสงบศึกการค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) ขานรับรายงานข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนส่งสัญญาณยุติสงครามการค้า ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 384.37 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,405.90 จุด เพิ่มขึ้น 51.97 จุด +0.97% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,492.97 จุด เพิ่มขึ้น 75.84 จุด +0.61% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,651.33 จุด เพิ่มขึ้น 59.37 จุด +0.78%
นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากจีนยังไม่ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ แม้ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็ตาม
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
หุ้นสกาย พุ่งขึ้น 3.4% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาด หลังจากบริษัทคอมแคสต์ประกาศเพิ่มวงเงินในการซื้อกิจการของบริษัทสกาย สู่ระดับ 3.40 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าข้อเสนอของบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค ที่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนีรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวขึ้น 2.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาพลังงาน อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนมิ.ย.
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 224.44 จุด รับหุ้นเทคโนฯดีดแรง,สหรัฐ-จีนส่งสัญญาณสงบศึกการค้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนส่งสัญญาณยุติสงครามการค้า ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,924.89 จุด เพิ่มขึ้น 224.44 จุด หรือ +0.91% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,798.29 จุด เพิ่มขึ้น 24.27 จุด หรือ +0.87% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,823.92 จุด เพิ่มขึ้น 107.30 จุด หรือ +1.39%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.7% หุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 2.5% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.1% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 1.5% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ทะยานขึ้น 2.3% และหุ้นอินเทล ปรับตัวขึ้น 2.3%
นักวิเคราะห์จากพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล ในรัฐนิวเจอร์ซีของสหรัฐ กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้น มาจากข่าวที่ว่า บริษัทบรอดคอม ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพในธุรกิจสื่อสาร ประกาศทุ่มเงิน 1.89 หมื่นล้านดอลลาร์ในการเข้าซื้อกิจการซีเอ เทคโนโลยีส์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นซีเอ ทะยานขึ้น 18.7% และหุ้นบรอดคอม พุ่งขึ้น 13.7%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 1.9% หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.6% หุ้น 3M เพิ่มขึ้น 0.9% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 2% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 1.7% และหุ้นอีตัน คอร์ป พุ่งขึ้น 1.4%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากจีนยังไม่ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ แม้ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็ตาม
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงธนาคารเวลส์ ฟาร์โก, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และซิตี้กรุ๊ป ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% หลังจากที่พุ่งขึ้น 24% ในไตรมาสแรก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ได้แก่ จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 18,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% แต่หากเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 2.9% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2555
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO11182