- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 10 July 2018 11:52
- Hits: 1541
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ตามตปท. หลังเริ่มคลายกังวลสงครามการค้า-ราคาน้ำมันขึ้น-เล็งแรงซื้อกองทุนในปท.หนุน
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้าราว 0.5-1% ตามตลาดสหรัฐฯที่เมื่อคืนที่ผ่านมาบวกไปกว่า 300 จุด
เนื่องจากตลาดเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังยังไม่มีมาตรการใหม่ด้านภาษีออกมา แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯกำลังพิจารณาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนล็อตที่ 2 วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่มาจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจน
ส่วนบ้านเราราคาหุ้นได้ปรับตัวลงลึกแล้ว ก็มีโอกาสที่จะรีบาวด์กลับขึ้นมาได้ และราคาน้ำมันก็ยังปรับตัวขึ้น ซึ่งคาดว่าแรงซื้อจากองทุนในประเทศจะช่วยหนุนตลาดฯเป็นหลัก แม้ว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติจะยังมีอยู่ต่อเนื่อง พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่มแบงก์
ทั้งนี้ให้แนวรับ 1,617 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,776.59 จุด พุ่งขึ้น 320.11 จุด (+1.31%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,784.17 จุด เพิ่มขึ้น 24.35 จุด (+0.88%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,756.20 จุด เพิ่มขึ้น 67.81 จุด (+0.88%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 163.16 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.60 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 212.21 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 17.34 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 13.29 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 21.35 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.42 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 31.63 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 ก.ค.61) 1,622.96 จุด เพิ่มขึ้น 8.20 จุด (+0.51%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,561.62 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 ก.ค.61) ปิดที่ 73.85 ดอลลาร์/บาร์เรล ขยับขึ้น 5 เซนต์
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 ก.ค.61) ที่ 5.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.06 แนวโน้มแข็งค่าตามภูมิภาค หลังนลท.คลายความกังวลปัญหาสงครามการค้า
- ร.ฟ.ท.เผยวันสุดท้ายมีเอกชนมาซื้อซองรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา วงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท อีก 8 ราย รวมมีทั้งหมด 31 ราย ทั้งไทยและต่างประเทศ เผยเป็นบริษัทไทย 16 ราย ตามมาด้วยจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส มาเลเซีย และอิตาลี เตรียมเปิดชี้แจง 2 ครั้ง ก่อนพาดูพื้นที่ก่อสร้างปลายเดือนนี้ จากนั้นเปิดให้ยื่นข้อเสนอ 12 พ.ย.
- เอกชนและกระทรวงพลังงานเร่งรัด "กกพ." คลอดระเบียบหนุนโซลาร์รูฟเสรีภายในสิ้นปีนี้หวังรองรับโซลาร์รูฟท็อปผลิตไฟใช้เองในครัวเรือน และการซื้อขายระหว่างเอกชนกับเอกชน (Private PPA) จับตาเอกชนผุดบริษัทรับติดตั้งโซลาร์เพียบดันผลิตไฟใช้เองพุ่งต่อเนื่องรัฐเตรียมรับมือ
- EIC SCB เพิ่มเป้าจีดีพีปีนี้โต 4.3% จาก 4% จากภาคส่งออก-ท่องเที่ยว ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ-รายได้ครัวเรือนเริ่มกระเตื้องขึ้น แม้ครึ่งปีหลังจะมีความเสี่ยงเพิ่มจากสงครามการค้า แต่ยังมีผลจำกัดในระยะสั้นจับตาแนวโน้มระยะยาว แนะหาตลาดรองรับ
- ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยถึงแผนตลาดการท่องเที่ยวประจำปี 62 ว่าได้สั่งให้ ททท. ปรับเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 10% เป็น 12% เพราะตลาดต่างประเทศเติบโตกว่า 12% ได้ต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา จึงอยากให้รักษาระดับการเติบโตไว้ แต่สำหรับตลาดในประเทศ ยังให้คงเป้าหมายรายได้เติบโต 10% เท่ากับที่เสนอไป และยังคงสัดส่วนไว้ 1 ใน 3 ของ รายได้ทั้งหมดเพื่อกระจายความเสี่ยง ดังนั้น หลังจากการปรับเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว จะทำให้รายได้ภาพรวมของไทยในปี 62 เติบโตประมาณ 11%
*หุ้นเด่นวันนี้
- B-W4 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. บี จิสติกส์ (B) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 96,849,561 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 1.20 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (2 กรกฎาคม 2561) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 28 ธ.ค. 2561 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 1 ก.ค. 2564
- KKP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 85 บาท เป็นแบงก์ที่รายงานการเติบโตของสินเชื่อ 5M61 ดีสุดในกลุ่ม เพิ่มขึ้นถึง 10% YTD จากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยคาดกำไรสุทธิ Q2/61 ที่ 1,481 ล้านบาท -2% Q-Q แต่ +25% Y-Y จากการเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯที่คาดลดลง พร้อมคาดปันผลงวด H1/61 ที่ 2 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 3% ทั้งนี้ KKP ถือเป็น 1 ใน 15 หุ้นพื้นดี ที่มองว่าน่าซื้อลงทุน เพราะราคาหุ้นลงตามภาวะตลาดมากเกินไป จนทำให้ PE2561 แตะจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี ที่ 9.6 เท่า และผลตอบแทนจากปันผลทั้งปีสูงถึง 9%
- IVL (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาดกำไรปกติ Q2/61 ไว้ที่ 7.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 72%QoQ จากยอดขายและ Core EBITDA Margin ที่เป็น All Time High ผลประกอบการที่ประเมินไว้ไม่รวมกำไรพิเศษจาก Stock Gain กำไรอัตราแลกเปลี่ยน และกำไรจากการต่อรองราคาซื้อกิจการ โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติ Q3/61 จากยอดขายและ Margin ที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง IVL เป็นหนึ่งในบริษัทที่ราคาหุ้นปรับลง แต่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
- KTB (ไอร่า) "โอกาสในการสะสม" เป้า 21.90 บาท แม้คาดสินเชื่อจะเติบโตไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน แต่ภายใต้นโยบายของ KTB ที่ต้องการปรับลดสินเชื่อที่มีความเสี่ยง เช่น สินเชื่อโรงสี และสินเชื่อสหกรณ์ เป็นต้น ทำให้คาดกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น โดยคาดจากสำรองหนี้ 32,000 ล้านบาท ลดลงจาก 44,000 ล้านบาท เมื่อปี 60 (รวมสำรองหนี้ EARTH จำนวน 12,000 ล้านบาท) ขณะที่ KTB ตั้งเป้าหมายสำรองหนี้ในปี 61 ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ทำให้คาดกำไรสุทธิ +39% อยู่ที่ประมาณ 31,100 ล้านบาท พร้อมคาดเงินปันผล 0.89 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น Dividend Yield ราว 5.12% และคาดผลประกอบการยังมี Upside หากการประมูลขายที่ดิน AQ สำเร็จ คาด KTB มีกำไรพิเศษ 8,500 ล้านบาท (EPS ประมาณ 0.60 บาท) คาดเพิ่ม Target Price อีก 0.40 บาท อย่างไรก็ตามยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับดาวโจนส์พุ่งแรง
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืน โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ต่างก็ทำสถิติปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 1 เดือน โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ดีดตัวขึ้น ก่อนที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะทยอยเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,215.34 จุด เพิ่มขึ้น 163.16 จุด, +0.74% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,819.71 จุด เพิ่มขึ้น 4.60 จุด, +0.16% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,900.71 จุด เพิ่มขึ้น 212.21 จุด, +0.74% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,737.62 จุด เพิ่มขึ้น 17.34 จุด, +0.16% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,299.09 จุด เพิ่มขึ้น 13.29 จุด, +0.58% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,250.17 จุด เพิ่มขึ้น 21.35 จุด, +0.66% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,675.05 จุด เพิ่มขึ้น 2.42 จุด, +0.14% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,218.25 จุด เพิ่มขึ้น 31.63 จุด, +0.44%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ จากการที่นักลงทุนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล หลังจากที่ผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
นักลงทุนจับตาธนาคารรายใหญ่ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป เตรียมเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 70.29 จุด รับเงินปอนด์อ่อนหลังการเมืองอังกฤษผันผวน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง หลังจากมีรายงานว่ารัฐมนตรีคนสำคัญของอังกฤษได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,687.99 จุด เพิ่มขึ้น 70.29 จุด หรือ +0.92%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงนั้น มาจากรายงานข่าวที่ว่า นายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ, นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit และนายสตีฟ เบเกอร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่รับผิดชอบด้านกิจการ Brexit ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจาก EU โดยเดวิสกล่าวว่า เขาไม่สามารถสนับสนุนแผนการของนางเมย์ในการดำรงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ EU ต่อไป หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกมา พร้อมระบุว่า นางเมย์ยอมอ่อนข้อต่อ EU มากเกินไป และง่ายเกินไป
ทั้งนี้ การลาออกของรัฐมนตรีทั้งสามมีขึ้นหลังจากนางเมย์และคณะรัฐมนตรีอังกฤษได้จัดประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบต่อข้อเสนอของนายกฯเมย์ ซึ่งรวมถึงการให้อังกฤษยังคงอยู่ใน "สถานะที่มีส่วนร่วม (collective position)" สำหรับการเจรจากับ EU ในอนาคต และการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างอังกฤษ และ EU
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาโลหะในตลาดโลก โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นอันโตฟากัสตา ทะยานขึ้น 3.4% หุ้นเฟรสนิลโล ปรับตัวขึ้น 1.8% และหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.1%
หุ้นอินมาร์แซท ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารของอังกฤษ ทะยานขึ้น 7.2% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทเอคโคสตาร์ คอร์ปของสหรัฐ อาจยื่นข้อเสนอเทคโอเวอร์กิจการของอินมาร์แซทอีกครั้ง หลังจากที่ข้อเสนอของเอคโคสตาร์ได้ถูกปฏิเสธไปก่อนหน้านี้
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะนักลงทุนจับตาการเมืองอังกฤษ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลกซึ่งดีดตัวขึ้นขานรับตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาสถานการณ์การเมืองในอังกฤษอย่างใกล้ชิด หลังจากรัฐมนตรีคนสำคัญของอังกฤษได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.6% ปิดที่ 384.51 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,687.99 จุด เพิ่มขึ้น 70.29 จุด +0.92% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันนี้ที่ 12,543.89 จุด เพิ่มขึ้น 47.72 จุด +0.38% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,398.11 จุด เพิ่มขึ้น 22.34 จุด +0.42%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นหลังจากราคาโลหะในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นอันโตฟากัสตา ทะยานขึ้น 3.4% หุ้นเฟรสนิลโล ปรับตัวขึ้น 1.8% และหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.1%
หุ้นอินมาร์แซท ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารของอังกฤษ ทะยานขึ้น 7.2% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทเอคโคสตาร์ คอร์ปของสหรัฐ อาจยื่นข้อเสนอเทคโอเวอร์กิจการของอินมาร์แซทอีกครั้ง หลังจากที่ข้อเสนอของเอคโคสตาร์ได้ถูกปฏิเสธไปก่อนหน้านี้
หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม พุ่งขึ้น 7.6% หลังจากทางสายการบินเปิดเผยจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย.
หุ้นเรโนลท์ ร่วงลง 1.8% หลังจากนิสสัน มอเตอร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของเรโนลท์ ได้ตรวจพบการโกงการตรวจสอบรถยนต์ใหม่จำนวน 1,171 คันในโรงงาน 5 แห่งในญี่ปุ่น โดยนิสสันระบุว่า พนักงานได้ทำการแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยไอเสีย และตัวเลขไมล์รถยนต์ ขณะที่การทดสอบการปล่อยไอเสียมีขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่ไม่สอดคล้องกับที่มีการกำหนดไว้
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การเมืองในอังกฤษอย่างใกล้ชิด หลังจากนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ, นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit และนายสตีฟ เบเกอร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่รับผิดชอบด้านกิจการ Brexit ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจาก EU โดยเดวิสกล่าวว่า เขาไม่สามารถสนับสนุนแผนการของนางเมย์ในการดำรงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ EU ต่อไป หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกมา พร้อมระบุว่า นางเมย์ยอมอ่อนข้อต่อ EU มากเกินไป และง่ายเกินไป
ทั้งนี้ การลาออกของรัฐมนตรีทั้งสามมีขึ้นหลังจากนางเมย์และคณะรัฐมนตรีอังกฤษได้จัดประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบต่อข้อเสนอของนายกฯเมย์ ซึ่งรวมถึงการให้อังกฤษยังคงอยู่ใน "สถานะที่มีส่วนร่วม (collective position)" สำหรับการเจรจากับ EU ในอนาคต และการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างอังกฤษ และ EU
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 320.11 จุด รับแรงซื้อหุ้นแบงก์,เทคโนโลยี
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ต่างก็ทำสถิติปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 1 เดือน โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ดีดตัวขึ้น ก่อนที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะทยอยเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งการที่นักลงทุนยังคงขานรับตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,776.59 จุด พุ่งขึ้น 320.11 จุด หรือ +1.31% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,756.20 จุด เพิ่มขึ้น 67.81 จุด หรือ +0.88% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,784.17 จุด เพิ่มขึ้น 24.35 จุด หรือ +0.88%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ก่อนที่ธนาคารรายใหญ่ รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารยังได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล หลังจากที่ผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 3.1% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 3.6% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 2.8% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 2.8%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวขึ้น 0.7% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นอเมซอน เพิ่มขึ้น 1.6% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดีดขึ้น 2.6% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้นกว่า 1% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 0.7% และหุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้นกว่า 2%
ส่วนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ทะยานขึ้น 4.1% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นอีตัน คอร์ป พุ่งขึ้น 2.3% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้นกว่า 1%
นักวิเคราะห์จากสถาบันเพื่อการลงทุนของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดในเดือนมิ.ย.นั้น ทำให้นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนหันเหความสนใจออกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ว่าทั้งสองประเทศได้บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าล็อตแรกวงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
หุ้น Groupon ทะยานขึ้น 11% หลังจากสื่อรายงานงานว่า บริษัทอาลีบาบา โฮลดิ้งของจีน อาจให้ความสนใจซื้อกิจการของ Groupon
อย่างไรก็ตาม หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 5.4% หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ทวิตเตอร์ได้ยกเลิกบัญชีผู้ใช้ปลอมจำนวนนับล้านบัญชีในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานทวิตเตอร์
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO10992