- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 09 July 2018 12:11
- Hits: 1745
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวด์รับปัจจัจยบวกจาก ตปท.,บาทชะลออ่อนค่าลุ้นแรงขายต่างชาติแผ่วลง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้น โดยได้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดยุโรปต่างปรับตัวขึ้น อีกทั้งตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐแข็งแกร่ง และราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นด้วย เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
ส่วนบ้านเราเงินบาทก็เริ่มชะลอการอ่อนค่า ทำให้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะแผ่วลง อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้ยังต้องติดตามความคืบหน้าสงครามการค้า และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขการค้าของจีน ส่วนบ้านเราก็เริ่มจะทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ รวมทั้งบริษัทฯในสหรัฐฯด้วย
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกราว 0.1-0.5%
พร้อมให้แนวรับ 1,595-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,625-1,630 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,456.48 จุด เพิ่มขึ้น 99.74 จุด (+0.41%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,759.82 จุด เพิ่มขึ้น 23.21 จุด (+0.85%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,688.39 จุด เพิ่มขึ้น 101.96 จุด (+1.34%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 50.39 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 5.22 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 290.54 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 30.33 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.05 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.97 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.10 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ก.ค.61) 1,614.76 จุด เพิ่มขึ้น 13.34 จุด (+0.83%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,740.42 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ก.ค.61) ปิดที่ 73.80 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ก.ค.61) ที่ 5.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.12 แข็งค่าหลังมีแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 33.05-33.20
- "ศิริ" มอบ สนพ.เร่งศึกษาทบทวนมาตรการตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน 363 บ./ถัง 15 กก.ให้สอดรับราคาแอลพีจีตลาดโลกและกองทุนน้ำมันฯ หลังพบบัญชีแอลพีจีล่าสุดเหลือแค่ 99 ล้านบาทส่อเค้าหมดหน้าตัก ยืนยันยังไม่เลิกตรึงราคา เตรียมสรุปเสนอ กบง.ครั้งหน้า พร้อมเร่งสรุปการบริหารจัดการเอสพีพีที่จะหมดสัญญา
- วงการโบรกเกอร์เตือนระวังลงทุนหุ้น "พี/อี"สูงชี้หลายตัวส่งสัญญาณฟองสบู่แตก พบหุ้น 62 บริษัททำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุผู้ลงทุนผิดหวังผลดำเนินงาน-ผู้บริหารขายทิ้ง ห่วงตลาดหุ้นเข้าเขตอันตรายดัชนีส่อฟื้นตัวยาก เผยหุ้นหลายตัวนักลงทุนพร้อมขายทิ้งหากมีสัญญาณเสี่ยง
- พาณิชย์เผยดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือน มิ.ย.61 เพิ่มขึ้น 4.4% สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และสูงสุดในรอบ 6 ปี นับจากปี 55 เหตุความต้องการใช้เพิ่มจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล หุ้นกลุ่มรับเหมาฯ จับตาการลงทุนครึ่งปีหลัง
- รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.นี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง จะเป็นกลุ่มแรกที่ทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/61 คาดแต่ละแห่งได้รับผลกระทบจากการประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนใช้ช่องทางนี้มากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มธนาคารที่ได้จากค่าธรรมเนียมปรับลดลงตามไปด้วย
*หุ้นเด่นวันนี้
- CPF (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 31.10 บาท ราคาหมูในเวียดนามฟื้นตัวอย่างมีนัย และราคาหมูในไทยเพิ่มขึ้นคาดจะทำให้งบ Q2/61 ฟื้นเป็นกำไรหลังจากขาดทุนติดต่อกัน 2 ไตรมาส ส่วนกำไรสุทธิจะเติบโตสูงเนื่องจากรายการพิเศษ ผลการดำเนินงานของ CPF มีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัวใน H2/61 จากราคาหมูและไก่ในไทยคาดจะเริ่มฟื้นตัวจากการที่ภาวะ Oversupply ผ่อนคลายลง
- BBL (เอเอสแอล) "ซื้อ" เป้า 229 บาท มีมุมมองเป็นบวกต่อการเติบโตของสินเชื่อในปี 61 จาก (1) แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยปี 61 คาดการณ์โตได้ดีต่อเนื่อง และ (2) การลงทุนของภาครัฐในโครงการของขนาดใหญ่ จะเข้ามาในช่วง H2/61 ด้านราคาที่ปรับตัวลงจากช่วงต้นปีจาก ปัจจัยการยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรม Online จนปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่า BVPS จึงมองผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวค่อนข้างจำกัด และเป็นโอกาสให้การเข้าสะสม
- IVL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/61 เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29%qoq และ 155%yoy จากปริมาณขายและสเปรดมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น
- DDD (กสิกรไทย)"ซื้อ"เป้า 58 บาท มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง นับเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาสินค้าระดับพรีเมี่ยมได้เมื่อเทียบกับคู่แข่ง และสามารถขยายช่องทางการขายอื่นๆ ได้แก่ ร้าน King Power Duty Free และร้านค้าทั่วไป มองว่าเป็นช่องทางที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับข้อมูลจ้างงานสหรัฐแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดในแดนบวกเมื่อวันศุกร์ ขานรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น ขยายตัวต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย.
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,838.53 จุด เพิ่มขึ้น 50.39 จุด, +0.23% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,752.45 จุด เพิ่มขึ้น 5.22 จุด, +0.19% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,606.16 จุด เพิ่มขึ้น 290.54 จุด, +1.03% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,638.90 จุด เพิ่มขึ้น 30.33 จุด, +0.29% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,276.92 จุด เพิ่มขึ้น 4.05 จุด, +0.18% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,197.79 จุด เพิ่มขึ้น 5.97 จุด, +0.19% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,663.96 จุด เพิ่มขึ้น 0.10 จุด, +0.01%
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 5 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. โดยการชะลอตัวของค่าจ้างในเดือนมิ.ย.ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นักวิเคราะห์จากบริษัทแฮร์ริส ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐ กล่าวว่า การที่นักลงทุนขานรับข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐได้เรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงซื้อเก็งกำไรหนุนฟุตซี่ปิดบวก 14.48 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้เริ่มบังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้า 25% เมื่อวานนี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,617.70 จุด เพิ่มขึ้น 14.48 จุด หรือ +0.19%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ จากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงกอนหน้านี้ โดยหุ้นไอทีวี พุ่งขึ้น 4.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในดัชนี FTSE 100 หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ได้แนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวานนี้ สหรัฐได้เรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน
ทั้งนี้ ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะบังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว หากจีนยังคงตอบโต้สหรัฐ และไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นเฟรสนิลโล พีแอลซี ดิ่งลง 2.3% หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 1.2% และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ปรับตัวลง 1.7%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับแรงซื้อเก็งกำไร ขณะตลาดยังกังวลสงครามการค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้เริ่มบังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้า 25% เมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 382.36 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,496.17 จุด เพิ่มขึ้น 31.88 จุด หรือ +0.26% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,375.77 จุด เพิ่มขึ้น 9.45 จุด หรือ +0.18% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,617.70 จุด เพิ่มขึ้น 14.48 จุด หรือ +0.19%
ดอยซ์แบงก์ พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากนิตยสาร WirtschaftsWoche ของเยอรมนี รายงานเมื่อวานนี้ว่า เจพีมอร์แกน และธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC) มีความต้องการเข้าซื้อหุ้นในธนาคารดอยซ์แบงก์ อย่างไรก็ตาม โฆษกของเจพีมอร์แกนได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว
หุ้นธิสเซ่นครุปป์ (Thyssenkrupp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กของเยอรมนี พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากนายเฮนริช ไฮซิงเกอร์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของธิสเซ่นครุปป์ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า ทิศทางการบริหารของบริษัทแห่งนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
หุ้นแอร์บัส ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการส่งมอบเครื่องบินในปีงบการเงิน 2561
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวานนี้ สหรัฐได้เรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน
ทั้งนี้ ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะบังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว หากจีนยังคงตอบโต้สหรัฐ และไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นเฟรสนิลโล พีแอลซี ดิ่งลง 2.3% หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 1.2% และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ปรับตัวลง 1.7%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 99.74 จุด รับตัวเลขจ้างงานแข็งแกร่ง,คาดเฟดไม่เร่งขึ้นดบ.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (6 ก.ค.) ขานรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น ขยายตัวต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย. โดยมุมมองด้านบวกที่นักลงทุนมีต่อข้อมูลแรงงานสหรัฐนั้น ได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,456.48 จุด เพิ่มขึ้น 99.74 จุด หรือ +0.41% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,759.82 จุด เพิ่มขึ้น 23.21 จุด หรือ +0.85% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,688.39 จุด เพิ่มขึ้น 101.96 จุด หรือ +1.34%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 0.8% ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้น 1.5% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2.4%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 5 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. โดยการชะลอตัวของค่าจ้างในเดือนมิ.ย.ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นักวิเคราะห์จากบริษัทแฮร์ริส ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐ กล่าวว่า การที่นักลงทุนขานรับข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐได้เรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คนดังกล่าวยังระบุว่า มูลค่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนเมื่อวันศุกร์นั้น ไม่มากพอที่จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และไม่ได้มากเท่ากับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว โดยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองว่า ยังมีโอกาสที่สหรัฐและจีนจะเจรจาเพื่อต่อรองกันในเรื่องนโยบายการค้า
หุ้นไบโอเจน พุ่งขึ้นเกือบ 20% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ผลการทดสอบยารักษาโรคอัลไซเมอร์ในระยะที่ 2 ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นไบโอเจนได้ช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพในดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นด้วย
หุ้นเจพีมอร์แกน ปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากเจพีมอร์แกนได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวจากนิตยสาร WirtschaftsWoche ของเยอรมนี ซึ่งระบุว่า ทางธนาคารต้องการเข้าซื้อหุ้นของดอยซ์แบงก์ ธนาคารรายใหญ่ของเยอรมนี
ทั้งนี้ นิตยสาร WirtschaftsWoche รายงานว่า รัฐบาลเยอรมนีมีความกังวลต่อสถานะการเงินของดอยซ์แบงก์ อีกทั้งรายงานด้วยว่า เจพีมอร์แกนต้องการเข้าซื้อหุ้นในธนาคารดอยซ์แบงก์ แต่ในเวลาต่อมา โฆษกของเจพีมอร์แกนได้ออกมาปฏิเสธข่าวการเข้าซื้อหุ้นดอยซ์แบงก์ โดยกล่าวว่า "เราขอปฏิเสธข่าวดังกล่าว มันไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด"
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.4% หุ้นอเมซอน เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดีดขึ้น 2.4% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 1.9% และหุ้นไมครอน เทคโนโลยี เพิ่มขึ้น 0.7%
หุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง พุ่งขึ้น 2.9% โดยได้แรงหนุนจากการที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มของหุ้นอาลีบาบา ขณะที่หุ้นควอลคอมม์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชิพโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.8% หลังจากมีรายงานว่า ควอลคอมม์ยังคงเดินหน้าเสนอซื้อกิจการของเอ็นเอ็กซ์พี เซมิคอนดักเตอร์
สำหรับข้อมูลด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 6.6% สู่ระดับ 4.31 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2559 โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าลดลงสู่ระดับ 4.37 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดลงจากระดับ 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.
อย่างไรก็ดี สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 18.7% สู่ระดับ 3.32 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และขาดดุลการค้าต่อเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 18.8%
--อินโฟเควสท์
OO10929