- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 05 July 2018 11:35
- Hits: 6235
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์กรอบแคบช่วงรอปัจจัยใหม่, จับตาแรงซื้อของกองทุนในประเทศ
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ ช่วงรอดูปัจจัยใหม่เข้ามา ส่วนเรื่องสงครามการค้าก็ดูจะเงียบ ๆ ไป แต่ยังต้องติดตามดูต่อไปด้วย โดยพรุ่งนี้ (6 ก.ค.) สหรัฐฯและจีน เตรียมบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า 25%
อย่างไรก็ดี ให้ติดตามรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งก่อน ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ แม้ว่าจะมีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้แล้ว แต่ตลาดฯก็อยากจะรอดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ชัดเจนอีกครั้ง และในวันพรุ่งนี้ก็ให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้เป็นการแสดงถึงทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
ส่วนบ้านเราเมื่อวานนี้แบงก์ชาติได้มองแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น และหากเงินเฟ้อขึ้น ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปีนี้มีโอกาสที่ไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อแบงก์ขนาดใหญ่
อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับแรงซื้อของกองทุนในประเทศ หากชะลอตัวลงก็มีโอกาสที่ตลาดฯจะปรับฐานได้ และก็ขึ้นอยู่กับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติด้วย
พร้อมให้แนวรับ 1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,638 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 ก.ค.61) ปิดทำการเนื่องในวันชาติสหรัฐฯ
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 19.60 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.79 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 139.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 30.96 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.72 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.48 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.77 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 42.41 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ก.ค.61) 1,629.20 จุด เพิ่มขึ้น 2.58 จุด (+0.16%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,350.68 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ก.ค.61
- ตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 ก.ค.61) ปิดทำการเนื่องในวันชาติสหรัฐฯ
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ก.ค.61) ที่ 4.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.15 อ่อนค่าตามทิศทางภูมิภาค จับตารายงานประชุมเฟด-ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ
- เงินหยวนอ่อนแรง จากความกังวลสงครามการค้า ขณะ ธปท.มั่นใจผลกระทบเงินบาทเล็กน้อย เหตุกันชนต่างประเทศแกร่ง เตือนผู้นำเข้า- ส่งออกปิดความเสี่ยงค่าเงินรองรับตลาดผันผวน ด้านกนง. ส่งสัญญาณขยับดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจฟื้นชัดและเงินเฟ้อเข้ากรอบเป้าหมายยั่งยืน ด้านรมว.คลัง มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ระดับ 1.5% ไม่ถือว่าสูง ไม่ควรจะขึ้นดอกเบี้ยต่างประเทศอื่นๆ ต้องดูสภาพเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ไม่ใช่ดูแค่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
- "ฟิทช์ เรทติ้งส์"เตือนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-ประเทศคู่ค้า อาจทำการค้าโลกเสียหายกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะกว่า 40 ประเทศหารือดับเบิลยูทีโอ หวั่นสหรัฐเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์-ชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่ม ไทยผนึกอียู ผลักดันดับเบิลยูทีโอเข้ามาแก้ปัญหาสงครามการค้า
- รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) กรอบวงเงินไม่เกิน 99.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าไม่เกิน 3,404 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างถนน 4 เลน เส้นทางสายอีสาน (ระยะที่ 2) 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วง อ.หนองหาน-พังโคน ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วง จ.สกลนคร-นครพนม (กิโลเมตรที่ 180-213) และทางหลวงหมายเลข 23 ช่วง จ.ร้อยเอ็ด-ยโสธร รวมระยะทาง 124.9 กิโลเมตร โดยทั้ง 3 โครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2565
- ขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ฉบับใหม่ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วง 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะมีรูปแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยกระทรวงพลังงานจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่มีเทคโนโลยี มีความคล่องตัว และต้นทุนต่ำมีโอกาสเข้ามาผลิตไฟฟ้าได้ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับภาคประชาชน
- ก.ล.ต.ออกเกณฑ์คุมไอซีโอ มีผลบังคับใช้ 16 ก.ค.นี้โดยกำหนดไอซีโอพอร์ทัล หรือผู้ให้บริการระบบ ต้องเข้าเกณฑ์ก่อนถึงจะพิจารณาเสนอขายไอซีโอได้ พร้อมวางกรอบเสนอขายรายย่อยต้องไม่เกิน 3 แสนบาทต่อราย และต้องรับชำระในสกุลเงินบาท หรือสกุลโทเคนที่กำหนดเท่านั้น
- โบรกฯเผยครึ่งปีแรกเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์ไหลออก 5 พันล้านเหรียญ เฉพาะมิ.ย.พุ่ง 1.5 พันล้านเหรียญ มองครึ่งปีหลังสงครามการค้ายังกดดัน สหรัฐเก็บภาษี 2 แสนล้านเหรียญ กระทบวงกว้างทั้งทางตรงและอ้อม ยันเดินหน้าลงทุนไทยมากสุดในเอเชีย เชื่อแข็งแกร่ง ประเมินลงทุน ก.ค.มีโอกาสฟื้นตัว หลังดัชนีต่ำสุดไปแล้ว
*หุ้นเด่นวันนี้
- IVL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาดกำไรสุทธิ Q1/61 เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 7.5 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 29%qoq และ 155%yoy จากปริมาณขายและสเปรดมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น
- KTB (ไอร่า) "โอกาสในการสะสม" เป้า 21.90 บาท แม้คาดสินเชื่อจะเติบโตไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน แต่ภายใต้นโยบายของ KTB ที่ต้องการปรับลดสินเชื่อที่มีความเสี่ยง เช่น สินเชื่อโรงสี และสินเชื่อสหกรณ์ เป็นต้น ทำให้คาดกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น โดยคาดจากสำรองหนี้ 32,000 ล้านบาท ลดลงจาก 44,000 ล้านบาท เมื่อปี 60 (รวมสำรองหนี้ EARTH จำนวน 12,000 ล้านบาท) ขณะที่ KTB ตั้งเป้าหมายสำรองหนี้ในปี 61 ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ทำให้คาดกำไรสุทธิ +39% อยู่ที่ประมาณ 31,100 ล้านบาท และคาดผลประกอบการยังมี Upside หากการประมูลขายที่ดิน AQ สำเร็จ คาด KTB มีกำไรพิเศษ 8,500 ล้านบาท คาดเพิ่ม Target Price อีก 0.40 บาท อย่างไรก็ตามยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ
- HMPRO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 15.50 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/61 อยู่ที่ 1,315 ล้านบาท (+5.4% Q-Q, +16.3% Y-Y) ดีกว่ากลุ่มที่กำไรจะอ่อนตัวเล็กน้อย Q-Q จาก SSSG ที่คาดเป็นบวก 3% Y-Y และอัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสินค้า House Brand ที่ขายดีต่อเนื่อง แนวโน้มกำไรจะเร่งตัวขึ้นอีกใน Q4/61 เพราะเป็น High Season และมีการขยายสาขาในประเทศ อีกทั้งยังมีการจัดงาน Hmpro Expo ครั้งที่ 2 ของปี พร้อมคาดกำไรปีนี้ +20% Y-Y อยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้หลังขาดปัจจัยชี้นำ
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ขณะที่ตลาดขาดปัจจัยชี้นำเนื่องจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการวันนี้เนื่องในวันชาติสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,697.44 จุด ลดลง 19.60 จุด, -0.09% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,755.34 จุด ลดลง 3.79 จุด, -0.14% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,101.85 จุด ลดลง 139.82 จุด, -0.50% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,690.91 จุด ลดลง 30.96 จุด, -0.29% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,264.74 จุด ลดลง 0.72 จุด, -0.03% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,247.37 จุด เพิ่มขึ้น 2.48 จุด, +0.08% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,690.22 จุด เพิ่มขึ้น 1.77 จุด, +0.10% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,306.01 จุด ลดลง 42.41 จุด, -0.58%
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในเช้าวันศุกร์ตามเวลาไทย เพื่อบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ดุลการค้าเดือนพ.ค. และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 20.20 จุด วิตกสงครามการค้า,เงินปอนด์แข็งกดดันตลาด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดเช่นกัน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,573.09 จุด ลดลง 20.20 จุด หรือ -0.27%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดปรับตัวลง เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์แข็งค่านั้น มาจากรายงานผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอสซึ่งเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักรดีดตัวขึ้นแตะ 55.1 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน และปรับตัวขึ้นจากระดับ 54.0 ในเดือนพ.ค.
ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมิ.ย.ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวที่ระดับ 54.0 ถึงแม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการแยกตัวของสหราชอาณาจักรจากสหภาพยุโรป (Brexit) และเสถียรภาพของรัฐบาล
นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาสถานการณ์ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
หุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากมีรายงานว่า บริษัท วอลแคน อินเวสเมนท์ ของนายเอนิล อาการ์วัล มหาเศรษฐีชาวอินเดีย กำลังพิจารณาแผนการเข้าซื้อธุรกิจของแองโกล อเมริกา ในแอฟริกาใต้
หุ้นเจ เซนส์บิวรี พุ่งขึ้น 3% หลังจากเจ เซนส์บิวรี ได้ยอมรับข้อเสนอการควบรวมธุรกิจจากบริษัทแอสดา ในวงเงิน 3.5 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 4.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดผันผวน นักลงทุนกังวลผลกระทบสงครามการค้า
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 06:32:50 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดผันผวนเมื่อคืนนี้ (4 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ ทั้งสหรัฐและจีนจะเริ่มใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้นเพียง 0.06% ปิดที่ 380.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,317.61 จุด ลดลง 31.53 จุด -0.26% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเปิดที่ 5,320.50 จุด เพิ่มขึ้น 3.73 จุด, +0.07% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,573.09 จุด ลดลง 20.20 จุด -0.27%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาสถานการณ์ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 12-13 มิ.ย.ในวันนี้ รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ในวันพรุ่งนี้ เพื่อบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
หุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากมีรายงานว่า บริษัท วอลแคน อินเวสเมนท์ ของนายเอนิล อาการ์วัล มหาเศรษฐีชาวอินเดีย กำลังพิจารณาแผนการเข้าซื้อธุรกิจของแองโกล อเมริกา ในแอฟริกาใต้
หุ้นเจ เซนส์บิวรี พุ่งขึ้น 3% หลังจากเจ เซนส์บิวรี ได้ยอมรับข้อเสนอการควบรวมธุรกิจจากบริษัทแอสดา ในวงเงิน 3.5 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 4.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หุ้นธิสเซ่นครุปป์ (Thyssenkrupp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กของเยอรมนี ขยับขึ้น 0.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของยูบีเอสได้แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นดังกล่าว หลังจากธิสเซ่นครุปป์ได้ลงนามในข้อตกลงทางธุรกิจร่วมกับบริษัท ทาทา สตีล
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.2 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน และสูงกว่าตัวเลข PMI เบื้องต้นที่ระดับ 55.0 รวมทั้งสูงกว่าระดับ 53.8 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน
ทั้งนี้ ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคบริการของยูโรโซนยังคงมีการขยายตัว โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 เป็นเวลา 59 เดือนติดต่อกัน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 132.36 จุด หุ้นเทคโนโลยีดิ่งหนัก,วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเฟซบุ๊กที่ดิ่งลงกว่า 2.3% หลังจากสื่อรายงานว่า หน่วยงานต่างๆของสหรัฐกำลังขยายขอบข่ายการสอบสวนกรณีที่แคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเมือง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊ก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,174.82 จุด ลดลง 132.36 จุด หรือ -0.54% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,713.22 จุด ลดลง 13.49 จุด หรือ -0.49% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,502.67 จุด ลดลง 65.01 จุด หรือ -0.86%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.35% หลังจากวอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า หน่วยงานต่างๆของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) กำลังขยายขอบข่ายการสอบสวนกรณีที่บริษัทแคมบริดจ์ อนาลิติกามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊ก แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟซบุ๊ก ได้เข้าให้ปากคำต่อสภาพคองเกรสสหรัฐ เพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าวแล้วก็ตาม
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.7% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 2.2% หุ้นอเมซอน ร่วงลง 1.2% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลง 1.9% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.4% ขณะที่หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 5.5% หลังจากมีรายงานว่า ศาลจีนมีคำสั่งไม่ให้บริษัทไมครอน เทคโนโลยีส์ ขายชิปหน่วยความจำในสหรัฐเป็นการชั่วคราว
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 1.4% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 1.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.7% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 1.3% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 1.5% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 1.3%
หุ้นเทสลา มอเตอร์ ดิ่งลง 7.2% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า นายด็อจ ฟิลด์ วิศวกรระดับหัวแถวของเทสลาเตรียมลาออกจากบริษัท
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวลง หลังจากนักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐ อันเนื่องมาจากข้อพิพาทางการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส ร่วงลง 2.3% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ลดลง 1.3% และหุ้นยูไนเต็ด คอนทิเนนทัล ร่วงลง 1.1%
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งรวมถึงรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจปฏิเสธคำร้องของบริษัทไชน่า โมบายล์ ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ขณะที่ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ จะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ทางด้านจีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ หลังจากลิเบียประกาศภาวะสุดวิสัยในการส่งออกน้ำมัน โดยหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 0.6% หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 0.4% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 2.1% และหุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 3%
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 3.8%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าวันศุกร์นี้ตามเวลาไทย เพื่อบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และดุลการค้าเดือนพ.ค.
--อินโฟเควสท์
OO10812