WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

13 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นกรอบจำกัด นลท.ระมัดระวังหลังเงินทุนยังไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ทางเทคนิค แต่ในกรอบที่จำกัดมากขึ้น เนื่องจากจะต้องระวังแรงขายระยะสั้น และการลดความเสี่ยง จากที่เงินทุนยังไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยให้ติดตามตัวเลข PMI ภาคบริการของทางญี่ปุ่น, จีน และยุโรป และยังต้องติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าด้วย แม้ว่าคืนนี้ตลาดสหรัฐฯจะปิดทำการเนื่องในวันชาติ
พร้อมให้แนวรับ 1,610-1,615 ถัดไป 1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,635-1,640 ถัดไป 1,650 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,174.82 จุด ลดลง 132.36 จุด (-0.54%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,713.22 จุด ลดลง 13.49 จุด (-0.49%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,502.67 จุด ลดลง 65.01 จุด (-0.86%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 106.54 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.26 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 0.75 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 1.47 จุด,ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 1.81 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 5.31 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.59 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 ก.ค.61) 1,626.62 จุด เพิ่มขึ้น 19.35 จุด (+1.20%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,277.67 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 ก.ค.61) ปิดที่ 74.14 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 ก.ค.61) ที่ 4.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.14 แข็งค่าจากวานนี้หลังมีแรงขายดอลล์ แต่แนวโน้มยังอ่อนค่ามองกรอบ 33.10-33.25
- นักลงทุนผวาสงครามการค้า บานปลายเทขาย "เงินหยวน" ฉุดสกุลเงินอื่นในภูมิภาคร่วงตาม ขณะ "เงินบาท" อ่อนต่อเนื่อง "แบงก์ชาติ" ลั่นเคลื่อนไหวสอดคล้องสกุลอื่นในภูมิภาค ย้ำไม่น่ากังวล เหตุพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแกร่ง ประเมินแนวโน้มยังผันผวนต่อเนื่อง ขณะ "พีบีโอซี"  สั่งเกาะติดค่าเงินหยวนใกล้ชิด ลั่นพร้อมดูแลให้มีเสถียรภาพ
- กกร.ปรับเป้าเศรษฐกิจ คาดปีนี้จีดีพีโต 4.3-4.8% ส่งออกโต 7-10% เงินเฟ้อโต 0.9-1.5% หวังรายได้เกษตรกรดีขึ้นดันการบริโภค คาดสงครามการค้ากระทบไม่มาก ด้านสรท.เห็นต่างคาดปัญหาจีน-สหรัฐกระทบส่งออกอไตรมาส 4 ปีนี้
- สมาคมตราสารหนี้ไทย คาดภาคเอกชนแห่ออกหุ้นกู้ ครึ่งปีหลังมากกว่า 4.3 แสนล้านบาท เหตุต้องระดมทุนรองรับการควบกิจการ และบริหารเงินรับมือแนวโน้ม ดอกเบี้ยขาขึ้น เผยเกิน 50% ใช้ รีไฟแนนซ์หนี้ มั่นใจยอดออกหุ้นกู้ ปีนี้ทะลุเป้า 7 แสนล้านบาท
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 3 ก.ค.61 อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 8,774.83 ล้านบาท จากเดิม 1,760,174.04 ล้านบาท เป็น 1,768,921.87 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากแผนการก่อหนี้ใหม่ และแผนบริหารหนี้เดิมของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจลดลง 4,249.25 ล้านบาท จากเดิม 1,588,883 ล้านบาท เป็น 1,584,634.23 ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไม่ต้องขออนุมัติจาก ครม.เพิ่มขึ้น 13,024.08 ล้านบาท จากเดิม 171,263.56 ล้านบาท เป็น 184,287.64 ล้านบาท
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เหลือที่ 7% จากตามกฎหมายที่ 10% ต่อไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2561 ขยายไปตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561-30 ก.ย. 2562 ซึ่งประเมินว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 2.58 แสนล้านบาท
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงค่าเงินได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เพราะมีความกังวลเรื่องกีดกันทางการค้า ส่งผลต่อค่าเงินในภูมิภาคและค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง ประเด็นนี้ได้สร้างความกังวลต่อตลาดเงินและตลาดทุน
*หุ้นเด่นวันนี้
- TRITN-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ไทรทัน โฮลดิ้ง(TRITN)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน1,606,608,920 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.25 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (30 พฤษภาคม 2561) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 1 ก.ค. 2562 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 28 พ.ค. 2564
- AEONTS (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 210 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 (มี.ค.-พ.ค.) ประมาณ 802 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30%yoy จากยอดสินเชื่อที่เติบโตแข็งแกร่งและ NIM ยังทรงตัวในระดับสูง Valuation ยังถูกหากเทียบกับคู่แข่ง(AEONTS มี PE 11.7 เท่าเทียบกับ KTC ที่ 17 เท่า)
- BANPU (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 26 บาท ราคาถ่านหินล่าสุดทำจุดสูงสุดในรอบ 6 ปีที่ US$118 ต่อตัน ทำให้ราคาเฉลี่ย 2QTD อยู่ที่ US$105 ต่อตัน +1% Q-Q, +30% Y-Y จากปัญหาขาดแคลนถ่านหินในอินเดีย และความต้องการถ่านหินคุณภาพสูงจากจีน โดยคาด Q2/61 พลิกมามีกำไรราว 3.8 พันล้านบาท เพราะธุรกิจหลักฟื้นตัว, ไม่มีค่าปรับแพ้คดีเหมือน Q1/61 และคาดมีกำไรจาก FX ราว 1 พันล้านบาท ส่วนกำไรทั้งปีคาด 1.08 หมื่นล้านบาท +37% Y-Y ด้าน PE2561 ต่ำเพียง 9 เท่า PEG แค่ 0.5 เท่า และ PBV ใกล้เคียง 1 เท่า Downside ในเชิง Valuation ถือว่าจำกัดมาก
- SPA (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 16.90 บาท หลังราคาหุ้นปรับตัวลง 30% จนมา PEG valuation ลดลงมาสู่ระดับที่สมเหตุสมผลกับการเติบโตปีนี้ ขณะที่แนวโน้มกำไร Q2/61 และ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดจะอ่อนตัวลงเพียงตามฤดูกาล แต่นั่นจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2561 ขณะที่แนวโน้ม 2H61 กำไร และ GPM คาดจะเร่งตัวขึ้นอย่างโดดเด่นจากฐานจำนวนสาขาใหม่ของสปา 4 ดาวที่จะอัดเพิ่มเข้าอีก 3-4 สาขาในพื้นที่ศักยภาพสูงย่านประตูน้ำ โดยปรับปรุงคาดการณ์กำไรปี 2561-62 ขึ้น 5-6% สะท้อน GPM ฟื้นคืนชีพ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ หลังดาวโจนส์ร่วง ขณะตลาดกังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเมื่อคืน เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,679.00 จุด ลดลง 106.54 จุด, -0.49% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,776.63 จุด ลดลง 10.26 จุด, -0.37% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,546.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.75 จุด, +0.00% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,714.25 จุด ลดลง 1.47 จุด, -0.01% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,270.95 จุด ลดลง 1.81 จุด, -0.08% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,230.59 จุด ลดลง 5.31 จุด, -0.16% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,682.96 จุด เพิ่มขึ้น 2.59 จุด, +0.15%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยเฉพาะหุ้นเฟซบุ๊กที่ร่วงลงถึง 2.35% หลังจากวอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า หน่วยงานต่างๆของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) กำลังขยายขอบข่ายการสอบสวนกรณีที่บริษัทแคมบริดจ์ อนาลิติกา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊ก แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟซบุ๊ก ได้เข้าให้ปากคำต่อสภาพคองเกรสสหรัฐ เพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าวแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งรวมถึงรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจปฏิเสธคำร้องของบริษัทไชน่า โมบายล์ ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ขณะที่ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ จะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ทางด้านจีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 45.44 จุด รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มเหมือง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) เนื่องจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่เป็นปัจจัยช่วยหนุนตลาด นอกจากนี้ ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวในภาคการผลิตของอังกฤษยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,593.29 จุด เพิ่มขึ้น 45.44 จุด หรือ +0.60%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอันโตฟากัสตา พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ทะยานขึ้น 2.1% อย่างไรก็ตาม หุ้นเกลนคอร์ พีแอลซี ร่วงลง 8.1% หลังจากมีรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการที่เกลนคอร์เข้าไปทำธุรกิจในไนจีเรียและเวเนซุเอลา
ส่วนหุ้นบีที กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.8% และหุ้นอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดทเต็ด แอร์ไลน์ส ปรับตัวขึ้น 1.5%
ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงหนุนหลังจากไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.4 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 54.3 ในเดือนพ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคการผลิตของสหราชอาณาจักรยังคงมีการขยายตัว โดยได้รับปัจจัยหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน
นักลงทุนยังคงจับตาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ จะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ทางด้านจีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หลังนักลงทุนคลายกังวลการเมืองเยอรมนี
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี หลังจากมีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล สามารถบรรลุข้อตกลงกับนายฮอร์ส ซีโฮเฟอร์ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการจัดการผู้อพยพของเยอรมนี
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 379.8 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,593.29 จุด เพิ่มขึ้น 45.44 จุด หรือ +0.60% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,316.77 จุด เพิ่มขึ้น 40.01 จุด หรือ +0.76% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,349.14 จุด เพิ่มขึ้น 110.97 จุด หรือ +0.91%
ตลาดหุ้นยุโรดีดตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่า นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และนายฮอร์ส ซีโฮเฟอร์ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการจัดการผู้อพยพของเยอรมนี หลังจากทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ทั้งนี้ นายซีโฮเฟอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่ง กล่าวว่า ตนจะดำรงอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยและประธานพรรคสหภาพสังคมคริสเตียน (CSU)  ต่อไป เนื่องจากสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับนายแมร์เคิลได้แล้ว เกี่ยวกับการป้องกันการอพยพเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนระหว่างเยอรมนีและออสเตรีย
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอันโตฟากัสตา พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ทะยานขึ้น 2.1% อย่างไรก็ตาม หุ้นเกลนคอร์ พีแอลซี ร่วงลง 8.1% หลังจากมีรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการที่เกลนคอร์เข้าไปทำธุรกิจในไนจีเรียและเวเนซุเอลา
ส่วนหุ้นบีที กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.8% และหุ้นอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดทเต็ด แอร์ไลน์ส ปรับตัวขึ้น 1.5%
หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ ดีดตัวขึ้น 0.6% หลังจากมีรายงานว่า คอมเมิร์ซแบงก์เตรียมตัดขายธุรกิจ EMC ซึ่งเป็นธุรกิจด้านตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ให้กับโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ธนาคารของฝรั่งเศส ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นซอคเจนปรับตัวขึ้น 0.6% เช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 132.36 จุด หุ้นเทคโนโลยีดิ่งหนัก,วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเฟซบุ๊กที่ดิ่งลงกว่า 2.3% หลังจากสื่อรายงานว่า หน่วยงานต่างๆของสหรัฐกำลังขยายขอบข่ายการสอบสวนกรณีที่แคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเมือง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊ก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,174.82 จุด ลดลง 132.36 จุด หรือ -0.54% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,713.22 จุด ลดลง 13.49 จุด หรือ -0.49% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,502.67 จุด ลดลง 65.01 จุด หรือ -0.86%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.35% หลังจากวอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า หน่วยงานต่างๆของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) กำลังขยายขอบข่ายการสอบสวนกรณีที่บริษัทแคมบริดจ์ อนาลิติกามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊ก แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟซบุ๊ก ได้เข้าให้ปากคำต่อสภาพคองเกรสสหรัฐ เพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าวแล้วก็ตาม
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.7% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 2.2% หุ้นอเมซอน ร่วงลง 1.2% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลง 1.9% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.4% ขณะที่หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 5.5% หลังจากมีรายงานว่า ศาลจีนมีคำสั่งไม่ให้บริษัทไมครอน เทคโนโลยีส์ ขายชิปหน่วยความจำในสหรัฐเป็นการชั่วคราว
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 1.4% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 1.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.7% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 1.3% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 1.5% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 1.3%
หุ้นเทสลา มอเตอร์ ดิ่งลง 7.2% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า นายด็อจ ฟิลด์ วิศวกรระดับหัวแถวของเทสลาเตรียมลาออกจากบริษัท
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวลง หลังจากนักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐ อันเนื่องมาจากข้อพิพาทางการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส ร่วงลง 2.3% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ลดลง 1.3% และหุ้นยูไนเต็ด คอนทิเนนทัล ร่วงลง 1.1%
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งรวมถึงรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจปฏิเสธคำร้องของบริษัทไชน่า โมบายล์ ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ขณะที่ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ จะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ทางด้านจีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ หลังจากลิเบียประกาศภาวะสุดวิสัยในการส่งออกน้ำมัน โดยหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 0.6% หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 0.4% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 2.1% และหุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 3%
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 3.8%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าวันศุกร์นี้ตามเวลาไทย เพื่อบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และดุลการค้าเดือนพ.ค.
 
--อินโฟเควสท์ 
OO10739

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!