- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 02 July 2018 11:08
- Hits: 2343
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นยืนเหนือ 1,600 จุด ยังติดตามประเด็นสงครามการค้า, จับตาตัวเลขเงินเฟ้อของไทยวันนี้
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,600 จุด ได้ หลังจากที่ Underperform ตลาดอื่นในภูมิภาคเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ภาพตลาดฯยังน่าจะเปราะบางอยู่ เนื่องจากยังมีประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในวันที่ 6 ก.ค.ที่สหรัฐจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งต้องติดตามว่าจะตกลงกันได้หรือไม่
นอกจากนี้ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทางแคนาดาได้ตอบโต้สหรัฐฯด้วยการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯวงเงิน 1.26 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบเล็กน้อยราว 0.2-0.3% ซึ่งมองแล้วเป็นลักษณะของการแกว่งรอดูปัจจัยในวันที่ 6 ก.ค.นี้ เรื่องสหรัฐจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
ส่วนบ้านเราวันนี้ให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ที่ทางกระทรวงพาณิชย์จะแถลงออกมา ตลาดฯคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% พร้อมให้แนวรับ 1,585 จุด ส่วนแนวต้าน 1,605-1,610 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (29 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,271.41 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด (+0.23%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,510.30 จุด เพิ่มขึ้น 6.62 จุด (+0.09%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,718.37 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด (+0.08%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 70.71 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.84 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.26 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.73 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.43 จุด
ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุดชดเชยวันสถาปนาเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (29 มิ.ย.61) 1,595.58 จุด ลดลง 3.96 จุด (-0.25%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,831.97 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (29 มิ.ย.61) ปิดที่ 74.15 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือเกือบ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (29 มิ.ย.61) ที่ 4.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.05 แข็งค่าตามตลาดโลก-ภูมิภาค มองกรอบวันนี้ 33.00-33.10
- ผู้ว่า-อดีตผู้ว่า "แบงก์ชาติ" ประสานเสียงยกเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ความเสี่ยงในการเผชิญวิกฤติต่ำ เหตุทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงหนี้ต่างประเทศน้อย เงินสำรองสูง แต่เตือนไม่ควรประมาท "วิรไท" จี้บริหารความเสี่ยงค่าเงิน ขณะ "ประสาร" แนะดูแล 3 ด้าน ป้องซ้ำรอยวิกฤติ "ธาริษา" หวั่นปัญหาโครงสร้างฉุดเติบโต ระยะยาว ด้าน "ปรีดิยาธร" ห่วงเศรษฐกิจโตซึม
- กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เตรียมหารือสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในเร็วๆ นี้ เพื่อบริหารจัดการคลื่นความถี่แบบเฉพาะเจาะจงในแต่ละกิจการ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน ก.ย.นี้
- แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ในวันที่ 2 ก.ค. 2561 กรมการค้าต่างประเทศได้เชิญสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย และกลุ่มเอกชนเหล็กที่เกี่ยวข้อง มาหารือเพื่อรับมือสถานการณ์ที่คาดว่าจะใช้ไทยเป็นแหล่งส่งออกสินค้าเหล็กไปยังสหรัฐ โดยแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้าจากไทย (สวมสิทธิ) หลังจากสหรัฐประกาศใช้มาตรา 232 กฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 ขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ ทำให้มีเหล็กส่วนเกินจากทั่วโลกทะลักมายังไทยเพิ่มขึ้น
- คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะมีการประชุมราคาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2561 ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ และจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ก.ค.นี้ เบื้องต้นประเมินว่าราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลให้ค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 สตางค์/หน่วย แต่เงินบาทช่วงคำนวณที่ค่อนข้างแข็งค่า บวกกับ กกพ.มีเงินสะสมส่วนต่างราคาค่าไฟฟ้ามากกว่า 6,500 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าจะตรึงค่าเอฟทีงวดใหม่ให้เท่ากับเอฟทีงวดปัจจุบัน คือ ลบ 15.90 บาท/หน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฐานจะทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าคงเดิมคือ 3.5966 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
- คลังหวั่นกฎหมายที่ดินบังคับใช้ไม่ทัน 1 ม.ค.62 เหตุขั้นตอนเตรียมการใช้เวลานาน ทั้งยังไม่ชัดว่าการประชุมเดือน ก.ค.นี้ จะขอเลื่อนพิจารณาออกไปเป็นรอบที่ 8 หรือไม่ ห่วงกฎหมายถูกตีตกไปเมื่อมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่
*หุ้นเด่นวันนี้
- APURE-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE)) เข้าซื้อขายวันนี้วันแรก มีจำนวน 95,826,365 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับตั้งแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (5 มิถุนายน 2561) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 ก.ย. 2561 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 4 มิ.ย. 2564 โดยราคาใช้สิทธิปีที่ 1 เท่ากับ 4 บาท/หุ้น, ปีที่ 2 เท่ากับ 4.50 บาท/หุ้น, ปีที่ 3 เท่ากับ 5 บาท/
- BDMS (กรุงศรี) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า consensus 28 บาท ผ่านพ้นช่วงลงทุนมาแล้ว และกำลังจะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไร สัดส่วนลูกค้าประกันสุขภาพเร่งตัว จากการจัดแพคเกจเฉพาะกับกลุ่มบริษัทประกันหนุน GPM เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจเริ่มเข้าสู่ช่วง High season
- PTTEP (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 150 บาท คาดว่าราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลดีต่อผู้ผลิตต้นทางในการสำรวจและผลิตน้ำมัน PTTEP มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูลสัมปทานโครงการบงกช เนื่องด้วยประสบการณ์ตรง และมีบุคลากรไทยในแหล่งผลิตในสัดส่วนที่มาก คาดกำไรปกติสุทธิใน 2561 อยู่ที่ 4.1 หมื่นล้านบาท เติบโต +7.6%YoY จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและสัดส่วนการลงทุนที่มากขึ้นในแหล่งบงกช
- LPN (กสิกรไทย)"ซื้อ"เป้า 10.60 บาท ประเมินบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ราว 25% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด 680 หน่วยของโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนี-สิรินธร มูลค่า 1.6 พันล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าว ถือว่าไม่น่าตื่นเต้นหากเทียบกับ 2 โครงการใหม่ก่อนหน้า ได้แก่ ลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร-สะพานควายและลุมพินี พาร์ค วิภาวดี-จตุจักร ที่ขายได้ 70% และ 80% ตามลำดับในช่วงเปิดตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าจากความสำเร็จของหลายโครงการที่เปิดขายในไตรมาส 2/2561 ทำให้คาดว่ายอดขายครึ่งปีจะเพิ่มเป็นราว 8.0 พันล้านบาท จาก 2.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/2561 โดยเห็นว่า LPN จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในโครงการใหม่อีกมากพอสมควรที่จะบรรลุเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 2.0 หมื่นล้านบาทได้ โดยคาดจะเห็นการเปิดตัวโครงการใหม่ขนาดใหญ่ หรือด้วยคอนเซปใหม่ในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้โครงการบ้าน 365 ซึ่งเป็นโครงการบ้านแนวราบระดับบนโครงการแรกของบริษัทถือเป็นปัจจัยถัดไปที่ต้องติดตาม
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ ขณะนิกเกอิเปิดแดนลบหลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตญี่ปุ่นชะลอตัว
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากที่จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการลงทุนในภาคพลังงานและการธนาคาร
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,233.80 จุด ลดลง 70.71 จุด, -0.32% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,841.58 จุด ลดลง 5.84 จุด, -0.21% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,852.17 จุด เพิ่มขึ้น 15.26 จุด, +0.14% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,322.23 จุด ลดลง 3.90 จุด, -0.17% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,277.43 จุด เพิ่มขึ้น 8.73 จุด, +0.27% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,694.93 จุด เพิ่มขึ้น 3.43 จุด, +0.20% ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุดชดเชยวันสถาปนาเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
อย่างไรก็ดี ตลาดเอเชียได้รับแรงกดดันจากดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวที่เปิดในแดนลบ หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 2 อยู่ที่ +21 ลดลงจากระดับ +24 ในไตรมาส 1 และยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ +22
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 21.30 จุด หลังอังกฤษปรับเพิ่มตัวเลข GDP Q1/61
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) ปรับเพิ่มตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,636.93 จุด เพิ่มขึ้น 21.30 จุด หรือ +0.28%
ONS เปิดเผยว่า GDP ขยายตัว 0.2% ในไตรมาส 1 โดยปรับตัวขึ้นจากตัวเลขประมาณการก่อนหน้านี้ที่ระดับ 0.1%
เมื่อเทียบรายปี เศรษฐกิจอังกฤษมีการเติบโต 1.2% ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้น
ONS ยังระบุว่า ภาคบริการมีการขยายตัว 0.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
เมื่อเทียบรายปี ภาคบริการขยายตัว 1.6% ในเดือนเม.ย.
หุ้นยูนิลิเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าผู้บริโภครายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ปรับตัวขึ้น 0.65% หุ้นโวดาโฟนขยับขึ้น 0.14% และหุ้นเดเบนแฮมส์ ซึ่งเป็นผู้บริหารห้างสรรพสินค้า ทะยานขึ้น 2.61%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับ EU บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากที่สหภาพยุโรป (EU) สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สร้างความวิตกกังวลว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยกใน EU และอาจส่งผลกระทบต่อเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลเยอรมนี ได้เป็นผลสำเร็จ
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.81% ปิดที่ 379.93 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,306.00 จุด เพิ่มขึ้น 128.77 จุด หรือ +1.06% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,323.53 จุด เพิ่มขึ้น 47.89 จุด หรือ +0.91% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,636.93 จุด เพิ่มขึ้น 21.30 จุด หรือ +0.28%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่กลุ่มผู้นำ EU ซึ่งได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพ หลังจากที่หารือกันนานเกือบ 10 ชั่วโมง
อิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่รับผู้อพยพจำนวนหลายพันคน ได้ขู่ที่จะใช้สิทธิวีโต้มติดังกล่าว หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากชาติสมาชิก
บรรดาผู้นำ EU ยังระบุอีกด้วยว่า EU ควรจัดตั้งประเทศศูนย์กลางการรับผู้อพยพขึ้นใหม่ โดยกระบวนการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจ
นอกจากนี้ ประเทศศูนย์กลางดังกล่าวจะต้องทำการแยกผู้อพยพเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้อพยพที่แท้จริง และผู้อพยพพิเศษ ซึ่งจะมีการส่งตัวกลับประเทศ
การประชุมดังกล่าวมีขึ้น ขณะที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการที่เยอรมนีต้องแบกรับผู้อพยพรวมกันกว่า 1 ล้านคนตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้นำเยอรมนีต้องการจำกัดจำนวนผู้อพยพเข้าประเทศ ด้วยการทำข้อตกลงกับสมาชิก EU ชาติอื่นๆ
หุ้นโนวาร์ติส ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ทะยานขึ้น 4% หลังจากที่บริษัทออกมาประกาศว่าจะซื้อหุ้นคืนมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐและเตรียมแยกธุรกิจของบริษัทอัลคอน ซึ่งอยู่ในสายผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพตาออกจากโนวาร์ติส
ส่วนหุ้นดอยซ์ แบงก์ เพิ่มขึ้น 1.8% แม้ว่ากิจการที่ดำเนินอยู่ในสหรัฐจะไม่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) รอบที่ 2 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 55.36 จุด รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มวัสดุ-ธนาคาร
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (29 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มวัสดุและหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าได้เริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,271.41 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด หรือ +0.23% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,718.37 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด หรือ +0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,510.30 จุด เพิ่มขึ้น 6.62 จุด หรือ +0.09%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งรวมถึงการลงทุนในภาคพลังงานและการธนาคาร อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการปรับตัวของดัชนีดาวโจนส์ทั้งสัปดาห์ พบว่าดัชนียังคงอยู่ในแดนลบ
หนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตี้ เจอร์นัลรายงานว่า ทางการจีนได้ทำการทบทวนข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดของการลงทุนจากต่างประเทศ และจะเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนในเร็วๆนี้
รายงานระบุว่า ข้อจำกัดในด้านพลังงาน, ทรัพยากร, โครงสร้างพื้นฐาน, การคมนาคม, กระแสการหมุนเวียนด้านการค้า และการให้บริการระดับมืออาชีพ จะถูกยกเลิกหรือผ่อนคลายลง เพื่อให้สอดคล้องกับที่รัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการเปิดเสรีในภาคการเงินและยานยนต์เมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นในช่วงแรกของการซื้อขาย หลังจากธนาคารหลายแห่งสามารถผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) รอบที่ 2 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ธนาคารเหล่านั้นเปิดเผยแผนการซื้อคืนหุ้น หรือเพิ่มการจ่ายเงินปันผล
เฟดระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 34 แห่ง จาก 35 แห่งสามารถผ่านการทดสอบ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ สามารถผ่านการทดสอบอย่างมีเงื่อนไข โดยเฟดกำหนดให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งจ่ายเงินปันผลที่ไม่สูงกว่าระดับในปีที่แล้ว ส่วนธนาคารดอยซ์แบงก์ที่ดำเนินกิจการในสหรัฐไม่ผ่านการทดสอบ
ทั้งนี้ สถาบันการเงินใดที่ผ่านการทดสอบ จะได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อคืนหุ้น หรือเพิ่มการจ่ายเงินปันผล
เฟดจัดการทดสอบดังกล่าว โดยมีเป้าหมายป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการเงินซ้ำรอยกับเมื่อปี 2551
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นเจพีมอร์แกนดีดตัวขึ้นในการซื้อขายช่วงแรกก่อนจะร่วงลง 0.7% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์ลดลง 1.3% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โกปรับตัวขึ้น 3.4%
ขณะที่ หุ้นไนกี้ อิงค์ ทะยานขึ้น 11% ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าคาดในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ของปีงบการเงินบริษัท
ทั้งนี้ ไนกี้ระบุว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 69 เซนต์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 64 เซนต์/หุ้น ขณะเดียวกัน บริษัทมียอดขายที่ระดับ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.4 พันล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวานนี่ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนพ.ค. โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนเม.ย.
การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐที่ชะลอตัวในเดือนพ.ค.ได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ลดลง
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนเม.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2555 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนเม.ย.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในระดับดังกล่าวติดต่อกัน 6 เดือน
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานพุ่งขึ้น 2.0% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2555 และแตะระดับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ 2.0% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนเม.ย.
--อินโฟเควสท์
OO10633