WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

8ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ผันผวน-มีลุ้นรีบาวด์หลังร่วงแรง เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมันขึ้นต่อเนื่อง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน แต่มีลุ้นรีบาวด์ขึ้นได้ เนื่องจากเมื่อวานนี้ตลาดฯปรับตัวลงแรงในช่วง Call Market เป็นลักษณะของการกระโดดลงไป ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นเพราะ Block Trade ได้ทำการปิดสถานะ และย้ายซีรี่ย์ในตลาดฟิวเจอร์ส ทำให้ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบไปด้วย
แต่ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังปรับขึ้นต่อเนื่องทำให้น่าจะเข้ามาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานให้ช่วยประคองตลาดฯได้ และตลาดฯก็ได้เข้าเขต Oversold แล้ว ดังนั้นอาจมีการรีบาวด์ทางเทคนิคได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงวันนี้เป็นวันเทรดวันสุดของการปิดงบการเงินไตรมาส และปิดบัญชีรายเดือน ทำให้ราคาปิดของหุ้นน่าจะมีความสำคัญเช่นกัน
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ก็ฟื้นตัวเล็กน้อย โดยยังต้องติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในประเด็นการจำกัดการลงทุนกับจีน และวันนี้ให้ติดตามธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะแถลงตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือน
พร้อมให้แนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,605 ถัดไป 1,615-1,618 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (28 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,216.05 จุด เพิ่มขึ้น 98.46 จุด (+0.41%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,503.68 จุด เพิ่มขึ้น 58.60 จุด (+0.79%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,716.31 จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด (+0.62%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 44.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.91 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 13.36 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 11.44 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 11.63 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 33.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.64 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 5.09 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 มิ.ย.61) 1,599.54 จุด ลดลง 19.12 จุด (-1.18%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,127.97 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (28 มิ.ย.61) ปิดที่ 73.45 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือเกือบ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 มิ.ย.61) ที่ 4.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.18 แนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องตามภูมิภาคจากเงินไหลออก มองกรอบวันนี้ 33.10-33.25
- สศค.เผยเศรษฐกิจไทยเริ่มกระจายตัว มากขึ้น หลังรายได้เกษตรกรฟื้นต่อเนื่องเดือนที่ 2 โตสูงสุด รอบ 13 เดือน จากราคาพืชผลเกษตรหลัก ขณะการส่งออก ลงทุนภาคเอกชน การท่องเที่ยว โตต่อเนื่อง มั่นใจเศรษฐกิจไทยทั้งปีโต 4.5%
- เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2561 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลชำระเงินจำนวน 945.64 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หรือรวมเป็นเงิน 1,441 ล้านบาท ให้แก่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี ซึ่งเป็นค่าเสียหายในส่วนของเงินลงทุนจากการเลิกสัญญาจ้างให้บริการระบบเกมสลาก หรือสลากออนไลน์
- บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. เปิดเผยว่า มีเอกชนรายใหญ่ มากกว่า 30 ราย สนใจเข้าลงทุนในพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 1,600 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่แปลงเอ 900 ไร่ และพื้นที่ แปลงบี 723 ไร่ ทั้งนี้บริษัทใหญ่ราว 20 รายเสนอขอลงทุนในแปลงบี ซึ่งบางรายเป็นกิจการขนาดใหญ่ เสนอขอพื้นที่มากถึง 300 ไร่ ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กอีกกว่า 10 ราย สนใจลงทุนในพื้นที่แปลงเอ โดยเน้นธุรกิจที่มีจุดคุ้มทุนเร็วและมีขนาดไม่ใหญ่มาก เนื่องจากระยะเวลาสัมปทานกับกรมธนารักษ์เหลือเพียง 15 ปี แต่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้วในพื้นที่ แต่แปลงบีต้องไปลงทุนเพิ่มเติม
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทย โดยในส่วนของจีดีพี ทั้งปีมาอยู่ที่ 4.5%(กรอบ ประมาณการ 4.0-5.0%)จากเดิมที่ระดับ 4.0% รวมถึงปรับประมาณการการส่งออกเป็น 8.0%(กรอบ ประมาณการ 6.5-11.5%)จากเดิม ที่ 4.5% จากปริมาณ การค้าโลกที่ยังสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ด้านการนำเข้าเป็น 12.5%(กรอบประมาณการ 10.0-15.0%)จากเดิม 8% พร้อมกันนั้น ได้ปรับประมาณการการบริโภคภาคเอกชนเป็น 3.5% จากเดิม 3% การบริโภคภาครัฐ เป็น 2.2% จากเดิม ที่ 1.0% และ การลงทุนภาคเอกชนเป็น 3.5% จากเดิม 3%
*หุ้นเด่นวันนี้
- QH (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 4.2 บาท มี Upside ที่ตลาดจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ขึ้นหลัง GPM ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด และยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูงให้ Dividend yield ประมาณ 6-8% ต่อปี
- CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท ธุรกิจ 7-11 ยังแข็งแกร่ง SSSG ใน Q2/61 โตต่อเนื่องแม้เป็นฤดูฝน เพราะกำลังซื้อฟื้นตัวและยังได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาบุหรี่ ซึ่งโมเมนตัมนี้จะเร่งขึ้นอีกใน H2/61 ที่มักจัดโปรโมชั่นใหญ่ของปี โดยคาดกำไรสุทธิทั้งปีที่ 2.45 หมื่นล้านบาท +23% Y-Y ทั้งนี้ PE2561 เหลือเพียง 27.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 33.7 เท่า ขณะที่แรงขายเริ่มเบาลงพร้อมเกิดสัญญาณขัดแย้งเชิงบวกในทางเทคนิค จึงน่าจะเป็นหุ้น Domestic Play ที่ทนทานต่อสภาพตลาดผันผวนได้ดี
- AOT (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 78 บาท อานิสงส์บวกจากตัวเลขสถิติการบินสดใส โดยเม.ย.-พ.ค. 61 เที่ยวบิน โต 9.6%YoY และ จ.ผู้โดยสารโต 8.5%YoY ส่งผลให้ช่วง Q3 ปี 60/61 (เม.ย.-มิ.ย. 61) คาดกำไรยังโตต่อ YoY หนุนให้ทั้งปี 60/61 คาดกำไรโตต่อ 22.9%YoY และราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 23.8% และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่ 1.8%
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนยังวิตกสงครามการค้า
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,314.47 จุด เพิ่มขึ้น 44.08 จุด, +0.20% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,789.81 จุด เพิ่มขึ้น 2.91 จุด, +0.10% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,667.64 จุด เพิ่มขึ้น 13.36 จุด, +0.13% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,325.68 จุด เพิ่มขึ้น 11.44 จุด, +0.49% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,269.20 จุด เพิ่มขึ้น 11.63 จุด, +0.36%
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,463.85 จุด ลดลง 33.47 จุด, -0.12% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,665.04 จุด ลดลง 0.64 จุด, -0.04% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,061.48 จุด ลดลง 5.09 จุด, -0.07%
นักลงทุนยังคงจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีน ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว
ขณะที่นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน พร้อมกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการให้คณะกรรมการ CFIUS เป็นผู้ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่บริษัทจีนควรจะถูกระงับการเข้าถือครองบริษัทในสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 6.06 จุด วิตกนโยบายการค้าสหรัฐ,เจรจา Brexit ยังไร้ทิศทาง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการไร้ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษจาก EU (Brexit)
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,615.63 จุด ลดลง 6.06 จุด หรือ -0.08%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว โดยตลาดมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
แต่ในเวลาต่อมา นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการไร้ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างอังกฤษและ EU ในประเด็น Brexit  โดย EU ได้จัดการประชุมสุดยอดเมื่อวานนี้ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า บรรดาผู้นำของ EU จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์อังกฤษต่อความล่าช้าของการเจรจา Brexit ขณะที่บริษัทหลายแห่งออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะถูกกระทบ หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงในเร็วๆนี้
หุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ร่วงลง 3.1% หุ้นเมลโรส อินดัสทรีส์ ดิ่งลง 3.1% ขณะที่หุ้นจอห์นสัน แมทธีย์ ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ ดิ่งลง 2.96%
หุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ดีดตัวขึ้น 3.8% ขณะที่หุ้นไชร์ และหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ปรับตัวขึ้น 3.1% และ 2.8% ตามลำดับ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุนักลงทุนกังวลผลกระทบสงครามการค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (28 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนซึ่งมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.8% ปิดที่ 376.87 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,177.23 จุด ลดลง 171.38 จุด หรือ -1.39% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,275.64 จุด ลดลง 51.56 จุด หรือ -0.97% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,615.63 จุด ลดลง 6.06 จุด หรือ-0.08%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยกดดันจากการที่นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว โดยตลาดมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากสถาบันวิจัย GfK เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีอยู่ที่ระดับ 10.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์วอลล์สตรีท เจอร์นัลคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 10.6 โดย GfK ระบุว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ และสหภาพยุโรป (EU) ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
หุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ร่วงลง 3.1% หุ้นเมลโรส อินดัสทรีส์ ดิ่งลง 3.1% ขณะที่หุ้นจอห์นสัน แมทธีย์ ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ ดิ่งลง 2.96%
หุ้นทุลโลว์ออยล์ ร่วงลง 2.6% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์การผลิตน้ำมันในปีงบการเงิน 2561
หุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ดีดตัวขึ้น 3.8% ขณะที่หุ้นไชร์ และหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ปรับตัวขึ้น 3.1% และ 2.8% ตามลำดับ
ส่วนหุ้นเอชแอนด์เอ็ม ปรับตัวขึ้น 1.8% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่น้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ก็ตาม
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 98.46 จุด รับแรงซื้อหุ้นแบงก์,เทคโนโลยี
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพร่วงลงอย่างหนัก หลังจากมีรายงานว่า อเมซอนได้เข้าซื้อกิจการพิลแพค ซึ่งเป็นบริษัทขายยาออนไลน์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ปรึกษาทำเนียบขาวได้ออกมาส่งสัญญาณว่า สหรัฐยังคงเดินหน้าปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,216.05 จุด เพิ่มขึ้น 98.46 จุด หรือ +0.41% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,716.31 จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด หรือ +0.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,503.68 จุด เพิ่มขึ้น 58.60 จุด หรือ +0.79%
นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคาร หลังจากที่หุ้นทั้งสองกลุ่มร่วงลงอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ โดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเน็ตฟลิกส์ เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นแอปเปิล ดีดขึ้น 0.7% หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวขึ้น 0.8% และหุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวขึ้น 0.2%
ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้น หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 1.6% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวขึ้น 1.5% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก เพิ่มขึ้น 0.6%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพร่วงลง หลังจากมีข่าวว่า อเมซอนได้เข้าซื้อกิจการพิลแพค ซึ่งเป็นบริษัทขายยาออนไลน์ โดยหุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาทั่วสหรัฐและเพิ่งได้รับการนำเข้าคำนวณดัชนีดาวโจนส์เมื่อวันอังคารนั้น ร่วงลงอย่างหนักถึง 9.9% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ร่วงลง 1.3% หุ้นซีวีเอส เฮลธ์ ดิ่งลง 6.1% หุ้นไรท์ เอด คอร์ป ดิ่งลง 11.1% และหุ้นเอ็กซ์เพรส สคริปส์ โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 1.4%
หุ้นกลุ่มธุรกิจขนส่งพัสดุร่วงลง เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า อเมซอนไม่เพียงแต่จะรุกธุรกิจสุขภาพเท่านั้น แต่ยังวางแผนที่จะสยายปีกเข้าสู่ธุรกิจขนส่งพัสดุด้วยเช่นกัน โดยหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) และหุ้นเฟดเอ็กซ์ ร่วงลง 2.3% และ 1.3% ตามลำดับ
หุ้นสตาร์บัค ปรับตัวลง 2.6% หลังจากมีรายงานว่า นายสก็อตต์ มอว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของสตาร์บัคจะเกษียณอายุงานในช่วงสิ้นเดือนพ.ย.ปีนี้
นักลงทุนยังคงจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีน ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว ขณะที่นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน พร้อมกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการให้คณะกรรมการ CFIUS เป็นผู้ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่บริษัทจีนควรจะถูกระงับการเข้าถือครองบริษัทในสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับการขยายตัวของ GDP ประจำไตรมาส 1 ที่ระดับ 2.0% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.3% และต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.2%
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 3% ในไตรมาส 2 ขณะที่การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนฟื้นตัว โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการปรับลดภาษีวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 220,000 ราย ขณะที่ตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์ 
OO10582

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!