- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 28 June 2018 10:52
- Hits: 1939
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีฯเช้านี้ย่อตัวตามตลาดภูมิภาค ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่ากระตุ้น Fund Flow ไหลออก
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะย่อตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่ติดลบกัน เนื่องจาก Fund Flow ยังไหลออกอยู่ โดยมีปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศที่ยังมีความเสี่ยงอยู่จากแรงกดดันสงครามการค้า ซึ่งต้องรอความชัดเจนไปถึงต้นเดือน ก.ค. ที่ทางจีน และสหรัฐฯจะเจรจากันได้ดีขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียวันนี้ต่างอ่อนค่ากันทั่วหน้า แม้แต่เงินบาทก็อ่อนค่าลงมาทะลุ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ Fund Flow ยังคงไหลออกจากเอเชีย
อย่างไรก็ดี คาดหวังว่าการทำ Window Dressing ก่อนปิดงบฯ จะช่วยประคองตลาดฯได้บ้าง แม้ว่าอาจจะช่วยไม่ได้มากก็ตาม พร้อมให้แนวรับ 1,608 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (27 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,117.59 จุด ร่วงลง 165.52 จุด (-0.68%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,445.08 จุด ลดลง 116.54 จุด (-1.54%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,699.63 จุด ลดลง 23.43 จุด (-0.86%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 76.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 13.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 11.75 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 31.61 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 14.66 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 8.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 6.91 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (27 มิ.ย.61) 1,618.66 จุด ลดลง 5.32 จุด (-0.33%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,686.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (27 มิ.ย.61) ปิดที่ 72.76 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.23 ดอลลาร์ หรือ 3.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (27 มิ.ย.61) ที่ 3.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.04 อ่อนค่าจากเย็นวานนี้ ยังวิตกสงครามการค้า มองกรอบวันนี้ 32.95-33.10
- พาณิชย์เตรียมหารือรับมือ เหล็กจีนสวมไทยส่งออกไปสหรัฐ 2 ก.ค.นี้ เอกชนห่วงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กมากขึ้น แนะ กรมศุลกากรตรวจสอบบริษัทที่นำเข้าเหล็กจากจีน ด้าน สศอ.ชี้โอกาสเกิดยากมีเอกสารรับรองหลายชั้น
- กบข.ประเมินตลาดหุ้นมีแนวโน้มผันผวนต่อ จากความกังวลประเด็นสงครามการค้า และการปรับขึ้น ดอกเบี้ยของเฟด แนะสมาชิกเปลี่ยน แผนลงทุน เป็นแผนที่มีความเสี่ยงต่ำ ทั้งตลาดเงิน และตลาดตราสารหนี้ หากกังวลผลกระทบระยะสั้น ยอมรับ หุ้นไทยที่ลงไป 5.3% กระทบผลตอบแทน แต่ที่ผ่านมาได้ปรับพอร์ตลงทุนเพื่อ ลดผลกระทบล่วงหน้าแล้ว
- ภาพรวมตลาดรถยนต์ 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) มีสัญญาณบวกจากผู้บริโภคเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่มากขึ้นหลังสิ้นสุดโครงการรถคันแรก ประกอบกับเศรษฐกิจฟื้นตัว อาทิ เมกะโปรเจกต์ อีอีซี มีความคืบหน้าอย่างชัดเจน ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในการใช้จ่ายที่ดีขึ้น
- สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ปรับประมาณการการเติบโตของจีดีพีภาคอุตสาหกรรมปี 2561 อยู่ที่ 3-4% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 2-3% เนื่องจากมีปัจจัยทั้งการส่งออกและการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มอุตสาหกรรมภาพรวมขยายตัว ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ปีนี้ยังคงเป้าหมายเดิมไว้ที่ 2.5-3%
- ทีมวิจัยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้ทำการทบทวนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจอาเซียน และไทย ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 โดยยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย จึงได้คงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทย อยู่ที่ 4.3% ตามที่ได้ประมาณการไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี
*หุ้นเด่นวันนี้
- EPG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 12 บาท ปีนี้ EPP (บรรจุภัณฑ์พลาสติก) จะดีขึ้นเพราะการแข่งตัดราคาลดลง Aeroflex (ฉนวนยาง) จะได้แรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐาน และ Aeroklas (ชิ้นส่วนรถยนต์) จะมีการออกสินค้าใหม่เพิ่ม อีกทั้ง ในระยะสั้นทั้ง 3 ธุรกิจจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าด้วย โดยคาดกำไรปี 61/62 (เม.ย.61 – มี.ค.62) ที่ 1,251 ลบ. +26% Y-Y และคาด +17% Y-Y ทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 62/63 ที่ 1,460 ล้านบาท
- MINT (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 50 บาท ช่วง Q2/61 คาดกำไรโต YoY จากความแข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในไทย ส่วนทั้งปี 61 คาดมีกำไรสุทธิ 6,094 ล้านบาท โต 12.5%YoY ซึ่งประมาณการยังไม่รวมแผนซื้อหุ้น NHH ซึ่งยังไม่ทราบสัดส่วนถือหุ้นแน่ชัด (ประชุมผู้ถือหุ้น 9 ส.ค.) อย่างไรก็ดีคาดยังไม่ต้องเพิ่มทุนและจะช่วยต่อยอดธุรกิจโรงแรม ระดับโลก พร้อมช่วยผลักดันการเติบโตของผลกำไรให้แก่ MINT ได้ในระยะยาว และราคาหุ้นมี Upside 52.7%
- PTTEP (ไอร่า) ปรับเป้าเพิ่มเป็น 159 บาท แนวโน้มราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ PTTEP ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง และ PTTEP อยู่ระหว่างกระบวนการเข้าประมูลแหล่งผลิตที่จะหมดอายุสัมปทาน โดยเฉพาะแหล่งบงกชที่ PTTEP เป็นเจ้าของสัมปทานเดิม และได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากเชลล์อีกประมาณ 22% รวมเป็น ประมาณ 66.67% คาดว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับ PTTEP ได้อีก 35,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งทางกระทรวงพลังงานออก TOR เพื่อรองรับการประมูล และคาดว่าจะใช้เวลา 7-8 เดือนจึงจะทราบผลการประมูลในช่วงเดือน ธ.ค.61 จึงคาด PTTEP มีความได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่น
- KKP (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 78.7 บาท ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจของไทยที่เติบโตดี รวมไปถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 61 หนุนแนวโน้มของพอร์ทสินเชื่อโตดี YoY ส่วนอัตราเงินปันผลที่ระดับสูงโดดเด่นเหมาะสำหรับในช่วงที่บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างผันผวน โดยล่าสุด IAA Consensus ได้ให้ไว้ที่ 7.6%
ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ นักลงทุนยังวิตกนโยบายการค้าสหรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่สหรัฐจะนำมาบังคับใช้กับจีน หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาส่งสัญญาณที่สร้างความสับสนให้กับตลาด
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,195.19 จุด ลดลง 76.58 จุด, -0.34% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,799.90 จุด ลดลง 13.28 จุด, -0.47% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,368.01 จุด เพิ่มขึ้น 11.75 จุด, +0.04% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,669.42 จุด ลดลง 31.61 จุด, -0.30% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,327.37 จุด ลดลง 14.66 จุด, -0.63% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,245.92 จุด ลดลง 8.85 จุด, -0.27% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,659.17 จุด ลดลง 6.91 จุด, -0.41%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว โดยตลาดมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
แต่ในเวลาต่อมา นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ บิสิเนส เน็ตเวิร์ค ว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาส่งสัญญาณที่สร้างความสับสนในลักษณะเดียวกัน โดยเมื่อไม่นานมานี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ แต่ในเวลาต่อมา นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยในทางตรงกันข้ามว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 83.77 จุด รับความหวังนโยบายการค้าสหรัฐ,หุ้นพลังงานพุ่ง
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ จะผ่อนคลายข้อจำกัดในการลงทุนจากจีน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,621.69 จุด เพิ่มขึ้น 83.77 จุด +1.11%
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 3% อันเนื่องมาจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในสหรัฐ โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 3.4% ขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 2.8%
หุ้นวิทเบรด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอสต้า คอฟฟี่ และพรีเมียร์ อินน์ ทะยานขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้น 3.2% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้
หุ้นเจ เซนส์บิวรี ดีดตัวขึ้น 3.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเจ เซนส์บิวรี ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "equal-weight"
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับหุ้นพลังงานพุ่ง,นักลงทุนคาดหวังสหรัฐผ่อนคลายนโยบายการค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) จากการที่นักลงทุนคาดหวังว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ จะผ่อนคลายข้อจำกัดในการลงทุนจากจีน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.7% ปิดที่ 379.97 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,621.69 จุด เพิ่มขึ้น 83.77 จุด หรือ +1.11% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,327.20 จุด เพิ่มขึ้น 45.91 จุด หรือ +0.87% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,348.61 จุด เพิ่มขึ้น 114.27 จุด หรือ +0.93%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 3% อันเนื่องมาจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในสหรัฐ โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 3.4% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 2.8% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ พุ่งขึ้น 8.1%
หุ้นวิทเบรด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอสต้า คอฟฟี่ และพรีเมียร์ อินน์ ทะยานขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้น 3.2% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้
หุ้นเจ เซนส์บิวรี ดีดตัวขึ้น 3.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเจ เซนส์บิวรี ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "equal-weight"
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง นำโดยหุ้นดอยซ์ แบงก์ ร่วงลง 1.7%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 165.52 จุด วิตกนโยบายการค้าสหรัฐไม่แน่นอน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่สหรัฐจะนำมาบังคับใช้กับจีน หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาส่งสัญญาณที่สร้างความสับสนให้กับตลาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงิน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,117.59 จุด ร่วงลง 165.52 จุด หรือ -0.68% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,699.63 จุด ลดลง 23.43 จุด หรือ -0.86% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,445.08 จุด ลดลง 116.54 จุด หรือ -1.54%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดทำการซื้อขายนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว โดยตลาดมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
แต่ในเวลาต่อมา นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ บิสิเนส เน็ตเวิร์ค ว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาส่งสัญญาณที่สร้างความสับสนในลักษณะเดียวกัน โดยเมื่อไม่นานมานี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ แต่ในเวลาต่อมา นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยในทางตรงกันข้ามว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ร่วงลงอย่างหนัก อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐ โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.6% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทของกูเกิล ลดลง 1.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 1.8% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 2.3% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.8% และหุ้น Nvidia ร่วงลง 3%
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 1.5% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวลง 0.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 1.3% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 1.2% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.2%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นสวนทางทิศทางตลาด โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 3% เมื่อคืนนี้ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงมากกว่าคาด โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 1.5% หุ้นมาราธอน ออยล์ เพิ่มขึ้น 2.4% และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 2.6%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.6% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับตัวลง 1.0% ในเดือนเม.ย.
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 0.5% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2561 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO10532