WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

3ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่ง Sideway Down คล้ายภูมิภาคกังวลศึกการค้าสหรัฐ-จีนทวีความรุนแรง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่ติดลบเฉลี่ยกว่า 1% ตอบรับความกังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าอาจจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% มูลค่าราว 2 แสนล้านดอลลาร์ หากรัฐบาลจีนมีมาตรการตอบโต้ทางการค้า ทำให้นักลงทุนตัดสินใจโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะที่ปัจจัยในประเทศวันนี้แนะนำให้ติดตามยอดขายรถยนต์ในประเทศ ส่วนการประกาศหุ้นที่เข้าและออกจากการคำนวณดัชนี SET50 ออกมาก็เป็นไปตามคาด และในวันพรุ่งนี้ (20 มิ.ย.) ต้องติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโบายการเงิน (กนง.)
พร้อมให้แนวรับ 1,660-1,665 จุด ส่วนแนวต้าน 1,695-1,700 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,987.47 จุด ร่วงลง 103.01 จุด (-0.41%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,773.75 จุด ลดลง 5.91 จุด (-0.21%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,747.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.65 จุด (+0.01%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 114.41 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 39.25 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 310.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 78.70 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.95 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 5.23 จุด
ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 มิ.ย.61) 1,679.68 จุด ลดลง 25.14 จุด (-1.47%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,807.04 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 มิ.ย.61) ปิดที่ 65.85 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 79 เซนต์ หรือ 1.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 มิ.ย.61) ที่ 4.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.66 แนวโน้มยังอ่อนค่า ตลาดกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน-จับตาเงินไหลออก
- เปิดขายซองไฮสปีดเทรน 3 สนามบินวันแรกคึกคัก เอกชนไทย-ต่างชาติ 7 รายซื้อซอง ด้าน"อิโตชู"พันธมิตรซีพีโผล่ร่วมซื้อซองด้วย รฟท.มั่นใจมีผู้ซื้อซองเพิ่มในช่วง 3 สัปดาห์ ยืนยันทีโออาร์เปิดกว้างต่างชาติถือหุ้นเกิน 50% จูงใจร่วมประมูล "ซิโน-ไทย"ประเมินลงสนามพร้อมกลุ่มกิจการร่วมค้า"บีเอสอาร์"หวังกวาดมูลค่างานก่อสร้างแสนล้านบาท
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของการขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงการสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์) โดยสั่งให้เร่งดำเนินการไม่ให้มีการเลื่อนออกไปอีกแล้ว โดยการระดมทุนหน่วยลงทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ 4.4 หมื่นล้านบาทแรกจะต้องยื่นเรื่องให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในเดือน ก.ค.61 และขายหน่วยลงทุนให้กับประชาชนและนักลงทุนสถาบันในเดือน ก.ย.61
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการประจำเดือน พ.ค.61 จำนวน 1,015 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 90.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 89.1 ในเดือน เม.ย.61 เกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อ ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ กนง.คงอัตราดอกเบี้ย แต่จุดที่ต้องติดตามเป็นการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ระบุหากรักษาระดับการเติบโตที่ดี ควรมีปรับนโยบายดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากช่องว่างอัตราดอกเบี้ยไทย-เฟด ที่ส่งผลให้เงินทุนไหลออก แนะควรส่งสัญญาณให้ชัดเจน เพื่อให้ส่วนอื่นปรับตัวทัน
- ส.อ.ท.เกาะติดสงครามการค้า ดอกเบี้ยโลกขาขึ้น หวั่นเป็นปัจจัยเสี่ยง ศก.ครึ่งปีหลังแนะ กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสิ้นปีเพื่อดูแล ศก.โดยรวมหลังแนวโน้มสดใสทั้งแรงซื้อที่เริ่มขยับ การลงทุนทั้งรัฐและเอกชนกำลังมา โดยเฉพาะในอีอีซี ด้านกลุ่มยานยนต์จ่อปรับเป้าผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มเป็น 9.6 แสนคันหลังแรงซื้อเพิ่มขึ้นลุ้นส่งออกไม่สะดุดผลิตปีนี้ส่อทะลุ 2 ล้านคัน
- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า-นักลงทุนปิดรับความเสี่ยงทำเงินไหลออกดึงบาทอ่อนสุดรอบ 6 เดือน รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจไม่กังวลให้แบงก์ชาติดูแล ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้ค่าบาทที่อ่อนค่าส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ
*หุ้นเด่นวันนี้
- KBANK (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า Consensus 224 บาท เก็งกำไรกลุ่มธนาคาร คาดการประชุมของคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) ในวันพรุ่งนี้จะมีมติเลื่อนบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS 9) ออกไป เป็นบวกต่อ Sentiment กลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์
- INTUCH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 67.50 บาท เป็นหุ้นที่น่าสนใจในช่วงตลาดขาลง เพราะ Defensive ทั้งตัวธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับต่างประเทศ และในเชิง Valuation ที่ Discount จาก NAV ของ ADVANC ถึง 25% รวมถึงยังมีค่าเบต้าต่ำแค่ 0.67 เท่า และจากการวิเคราะห์ Volume by price ในโปรแกรม Finansia Hero พบว่า ราคาย่ำฐานแถว 54 บาท ด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นถึง 1.5 พันล้านหุ้น Downside ในระยะสั้นจึงค่อนข้างจำกัด
- CPALL (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 100 บาท เชื่อจะรายงาน SSSG ในระดับที่แข็งแกร่งได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/61 ด้วยแรงหนุนจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตบนสินค้าบุหรี่ รวมถึง high season ของยอดขายที่ธุรกิจ CVS และความสำเร็จของแคมเปญการตลาด ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของการบริโภค และการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ นักลงทุนวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% คิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,565.92 จุด ลดลง 114.41 จุด, -0.50% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,982.65 จุด ลดลง 39.25 จุด, -1.30% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,999.01 จุด ลดลง 310.48 จุด, -1.02% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,008.77 จุด ลดลง 78.70 จุด, -0.71% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,373.12 จุด ลดลง 3.12 จุด, -0.13% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,324.99 จุด เพิ่มขึ้น 0.95 จุด, +0.03% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,738.20 จุด ลดลง 5.23 จุด, -0.30%
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน 1,100 รายการที่จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นรัฐบาลจีนก็ได้ตอบโต้สหรัฐด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
ส่วนรายงานล่าสุดระบุว่า ปธน.สหรัฐได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับเตือนว่า หากรัฐบาลจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มอีก เพื่อตอบโต้แผนเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ในอัตรา 10% ครั้งนี้ สหรัฐก็พร้อมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในวงเงินเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 2.58 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน,การเมืองเยอรมนี
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความตึงเครียดทางการเมืองในเยอรมนี
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,631.33 จุด ลดลง 2.58 จุด หรือ -0.03%
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน 1,100 รายการที่จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการเมืองในเยอรมนียังสร้างแรงกดดันต่อตลาดเช่นกัน หลังจากมีรายงานว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้หารือร่วมกับชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการรับผู้อพยพเข้าประเทศ ก่อนที่การประชุมผู้นำ EU จะเริ่มขึ้นในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ นางแมร์เคิลเชื่อว่านโยบายเปิดรับผู้อพยพจะสามารถบรรลุได้หากชาติสมาชิก EU ตัดสินใจและปฏิบัติร่วมกัน แต่ความคิดเห็นของนางแมร์เคิลได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากชาติมาชิก EU ที่ไม่เห็นด้วย รวมถึงบุคคลภายในพรรครัฐบาลผสมของเยอรมนีเอง เช่นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยที่ออกมาต่อต้านนโยบายดังกล่าว
หุ้นดีเอส สมิธ ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ ร่วงลง 2.5% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปี 2561
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีกำหนดจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะยังไม่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากอังกฤษเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาด
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ ทรงตัวที่ระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกการเมืองเยอรมนีตึงเครียด,สงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในเยอรมนี รวมทั้งข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในขณะนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.8% ปิดที่ 385.91 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,834.11 จุด ลดลง 176.44 จุด หรือ +1.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,631.33 จุด ลดลง 2.58 จุด หรือ -0.03% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดดที่ 5,450.48 จุด ลดลง 51.40 จุด หรือ -0.93%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน 1,100 รายการที่จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการเมืองในเยอรมนียังสร้างแรงกดดันต่อตลาดเช่นกัน หลังจากมีรายงานว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้หารือร่วมกับชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการรับผู้อพยพเข้าประเทศ ก่อนที่การประชุมผู้นำ EU จะเริ่มขึ้นในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ นางแมร์เคิลเชื่อว่านโยบายเปิดรับผู้อพยพจะสามารถบรรลุได้หากชาติสมาชิก EU ตัดสินใจและปฏิบัติร่วมกัน แต่ความคิดเห็นของนางแมร์เคิลได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากชาติมาชิก EU ที่ไม่เห็นด้วย รวมถึงบุคคลภายในพรรครัฐบาลผสมของเยอรมนีเอง เช่นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยที่ออกมาต่อต้านนโยบายดังกล่าว
หุ้นดีเอส สมิธ ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ ร่วงลง 2.5% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปี 2561
หุ้นเอนจี เอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของฝรั่งเศส ร่วงลง 4.8% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่าการปรับเปลี่ยนระบบในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 3 แห่งของทางบริษัทนั้น อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปี 2561
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในยุโรปซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ รวมถึง ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเม.ย.ของยูโรโซน, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค.ของยูโรโซน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมิ.ย.ของยูโรโซน, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1 ของฝรั่งเศส และดัชนี PMI ประจำเดือนมิ.ย.ทั้งภาคบริการและภาคการผลิตของเยอรมนี ฝรั่งเศส และกลุ่มยูโรโซน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 103.01 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงเป็นปัจจัยลบต่อตลาด อย่างไรก็ตาม การดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยีช่วยให้ตลาดสามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวันได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,987.47 จุด ร่วงลง 103.01 จุด หรือ -0.41% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,773.75 จุด ลดลง 5.91 จุด หรือ -0.21% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,747.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.65 จุด หรือ +0.01%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน 1,100 รายการที่จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และจากนั้นไม่นาน รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้สหรัฐด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเนื่องจากความกังวลที่ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรม โดยหุ้นโบอิ้ง และหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ต่างก็ปรับตัวลง 0.9% หุ้น 3M ลดลง 0.4% ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก และหุ้นอีตัน คอร์ป ต่างก็ปิดตลาดในแดนลบ
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวลง โดยหุ้นแวเลียนท์ ฟาร์มาซูติคัล อินเตอร์เนชันแนล ร่วงลง 12.3% หลังจากคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ไม่อนุมัติการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์โลชั่นที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) ซึ่งผลิตโดยแวเลียนท์ ฟาร์มาซูติคัล ส่วนหุ้นไซโอฟาร์ม ออนโคโลจี ดิ่งลง 18.4% หลังจาก FDA ได้สั่งระงับการทดลองยารักษาโรคมะเร็งของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กสามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวัน โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้น หุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.6% และหุ้นเอ็กซอน โมบิล ดีดตัวขึ้น 0.2%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 0.4%
หุ้น JD.com บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนซึ่งเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปรับตัวขึ้น 0.4% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทได้รับเงินลงทุนมูลค่า 550 ล้านดอลลาร์จากกูเกิล โดยเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ระหว่างสองบริษัทชั้นนำ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 2 จุด สู่ระดับ 68 ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน จากความกังวลเกี่ยวกับค่าวัสดุที่แพงขึ้น
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 2 จุด นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองโดยทั่วไปที่เป็นบวก
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ค., ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 1, ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนมิ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต
--อินโฟเควสท์ 
OO10191

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!