- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 28 May 2018 11:34
- Hits: 1106
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลงก่อนตลาดปิดทำการพรุ่งนี้-เล็งรับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิ่งลง 4%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ซึมลง รับผลจากราคาน้ำมันดิ่งลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 4% หลัก ๆ มาจากซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย เล็งจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อชดเชยเวเนซูเอล่า และอิหร่านที่ถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร
นอกจากนี้ นักลงทุนคงจะชะลอการลงทุนก่อนที่ตลาดฯจะปิดทำการในวันพรุ่งนี้ (เนื่องในวันวิสาขบูชา) และคืนนี้ทางสหรัฐฯก็จะปิดทำการเนื่องในวันเมมโมเรียล เดย์
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย พร้อมให้ติดตามการพบปะระหว่างผู้นำสหรัฐฯกับผู้นำเกาหลีเหนือจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และให้ติดตามเกี่ยวกับมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,725-1,730 จุด ส่วนแนวต้าน 1,745-1,750 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (25 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,753.09 จุด ลดลง 58.67 จุด (-0.24%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,721.33 จุด ลดลง 6.43 จุด (-0.24%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,433.85 จุด เพิ่มขึ้น 9.42 จุด (+0.13%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 38.16 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.49 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 96.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 34.19 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.14 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.95 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 พ.ค.61) 1,741.21 จุด เพิ่มขึ้น 8.70 จุด (+0.50%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,661.73 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (25 พ.ค.61) ปิดที่ 67.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.83 ดอลลาร์ หรือ 4% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ปีนี้
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 พ.ค.61) ที่ 6.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.90 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบวันนี้ 31.85-31.95 ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ สัปดาห์นี้
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหารือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมรับมือกรณีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศเริ่มกระบวนการไต่สวนตามมาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 เมื่อวันที่ 23 พ.ค. เพื่อขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากต่างประเทศที่กระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงสหรัฐ โดยหากผลการไต่สวนมีมูลอาจทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน เช่นเดียวกับที่ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมไปแล้ว
- ปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในขณะนี้ กระทรวงการคลังประเมินแล้วว่าเป็นปัญหาระยะสั้นไม่กระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลง เพราะจะทำให้ประเทศเสียรายได้ โดยไม่จำเป็น และทำให้ผู้บริโภคใช้น้ำมันอย่างไม่ประหยัด
- ในวันที่ 28 พ.ค.นี้ จะมีการประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น (พรีคิว) เพื่อเข้าร่วมการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลง สำรวจทะเลอ่าวไทย G1/61 คือ แหล่งเอราวัณ และ G2/61 คือ แหล่งบงกชโดยจะมีการประกาศรายชื่อลงในเว็บไซต์ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) และจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันเดียวกันด้วย
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจ ม.รังสิต เผยจีดีพีปีที่ 5 คสช. ขยายตัว 4.1-4.7% จับตาครึ่งปีหลังเงินเฟ้อสูง แนะเก็บภาษีเว็บไซต์ต่างชาติแทนขึ้นแวต ด้านคลังปัดขึ้นแวต 10% ช่วง ต.ค.61 ยันเป็นแค่ข่าวลือ
- เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) เผยแนวโน้มราคาอ้อยในฤดูกาลผลิตหน้า รวมถึงทิศทางราคาน้ำตาลทรายในปีหน้าว่ามีแนวโน้มจะดีขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าประเทศผู้ผลิต และส่งออกน้ำตาลขนาดใหญ่ เช่น บราซิลจะประสบปัญหาภัยแล้ง มีผลให้น้ำตาลทรายในตลาดโลกลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในตลาดดีขึ้น ในขณะเดียวกันจีนได้ประกาศจะเพิ่มปริมาณน้ำตาลทรายสำรองในประเทศ (บัฟเฟอร์ สต๊อก) อีก 3 ล้านตัน เป็นต้น
นอกจากนี้ นักลงทุนคงจะชะลอการลงทุนก่อนที่ตลาดฯจะปิดทำการในวันพรุ่งนี้ (เนื่องในวันวิสาขบูชา) และคืนนี้ทางสหรัฐฯก็จะปิดทำการเนื่องในวันเมมโมเรียล เดย์
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย พร้อมให้ติดตามการพบปะระหว่างผู้นำสหรัฐฯกับผู้นำเกาหลีเหนือจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และให้ติดตามเกี่ยวกับมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,725-1,730 จุด ส่วนแนวต้าน 1,745-1,750 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (25 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,753.09 จุด ลดลง 58.67 จุด (-0.24%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,721.33 จุด ลดลง 6.43 จุด (-0.24%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,433.85 จุด เพิ่มขึ้น 9.42 จุด (+0.13%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 38.16 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.49 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 96.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 34.19 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.14 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.95 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 พ.ค.61) 1,741.21 จุด เพิ่มขึ้น 8.70 จุด (+0.50%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,661.73 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (25 พ.ค.61) ปิดที่ 67.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.83 ดอลลาร์ หรือ 4% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ปีนี้
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 พ.ค.61) ที่ 6.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.90 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบวันนี้ 31.85-31.95 ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ สัปดาห์นี้
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหารือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมรับมือกรณีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศเริ่มกระบวนการไต่สวนตามมาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 เมื่อวันที่ 23 พ.ค. เพื่อขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากต่างประเทศที่กระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงสหรัฐ โดยหากผลการไต่สวนมีมูลอาจทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน เช่นเดียวกับที่ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมไปแล้ว
- ปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในขณะนี้ กระทรวงการคลังประเมินแล้วว่าเป็นปัญหาระยะสั้นไม่กระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลง เพราะจะทำให้ประเทศเสียรายได้ โดยไม่จำเป็น และทำให้ผู้บริโภคใช้น้ำมันอย่างไม่ประหยัด
- ในวันที่ 28 พ.ค.นี้ จะมีการประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น (พรีคิว) เพื่อเข้าร่วมการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลง สำรวจทะเลอ่าวไทย G1/61 คือ แหล่งเอราวัณ และ G2/61 คือ แหล่งบงกชโดยจะมีการประกาศรายชื่อลงในเว็บไซต์ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) และจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันเดียวกันด้วย
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจ ม.รังสิต เผยจีดีพีปีที่ 5 คสช. ขยายตัว 4.1-4.7% จับตาครึ่งปีหลังเงินเฟ้อสูง แนะเก็บภาษีเว็บไซต์ต่างชาติแทนขึ้นแวต ด้านคลังปัดขึ้นแวต 10% ช่วง ต.ค.61 ยันเป็นแค่ข่าวลือ
- เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) เผยแนวโน้มราคาอ้อยในฤดูกาลผลิตหน้า รวมถึงทิศทางราคาน้ำตาลทรายในปีหน้าว่ามีแนวโน้มจะดีขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าประเทศผู้ผลิต และส่งออกน้ำตาลขนาดใหญ่ เช่น บราซิลจะประสบปัญหาภัยแล้ง มีผลให้น้ำตาลทรายในตลาดโลกลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในตลาดดีขึ้น ในขณะเดียวกันจีนได้ประกาศจะเพิ่มปริมาณน้ำตาลทรายสำรองในประเทศ (บัฟเฟอร์ สต๊อก) อีก 3 ล้านตัน เป็นต้น
*หุ้นเด่นวันนี้
- CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท ธุรกิจ 7-11 ยังแข็งแกร่ง SSSG ใน Q2/61 โตต่อเนื่องแม้เป็นฤดูฝน เพราะกำลังซื้อฟื้นตัวและยังได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาบุหรี่ ซึ่งโมเมนตัมนี้จะเร่งขึ้นอีกใน H2/61 ที่มักจัดโปรโมชั่นใหญ่ของปี ด้านราคาหุ้นลงมาใกล้ต้นทุนแปลง Exchangeable Bond ที่ 77 บาท ขณะที่ Sentiment ลบจาก MAKRO กระทบแค่ช่วงสั้น เพราะกำไร MAKRO ชะลอชั่วคราว และการขายหุ้นจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่แล้ว
- BCH (กรุงศรี) เป้า 19 บาท ซื้อสะสมหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลก่อนเข้าสู่ช่วง High season (หน้าฝนและหนาวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ) โดยยังเลือก BCH เป็น Top pick ของกลุ่ม จากแนวโน้มผลกำไรที่คาดว่าจะเติบโตมากที่สุดของกลุ่มในปีนี้ เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ 1,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%yoy มากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่เพิ่มขึ้นเพียง 16%yoy
- BGRIM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อสะสม" เป้า 32 บาท ผู้บริหารชี้แจงประเด็นย้ายที่ตั้ง 2 โรงไฟฟ้า น่าจะทำให้ตลาดคลายกังวล แต่มีประเด็นใหม่คือ ภาครัฐมีแนวทางเปลี่ยนการต่อสัญญาโรงไฟฟ้าจากเดิมแบบ SPP Replacement เป็น SPP Extension 10 ปี ที่มีข้อดี ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และกำไรช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าแนวทางเดิม แต่การต่ออายุสัญญาที่สั้นกว่า ทำให้มี Downside 5-10% ต่อราคาเป้าหมาย แต่จะมี Upside จากโครงการร่วมทุน Solar Farm ในเวียดนามมาชดเชย โดยยังคาดกำไรปกติ Q2/61 โต Q-Q, Y-Y และทั้งปีคาดโตสูง 40% Y-Y เป็น 2.4 พันลบ.
- BJC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 68 บาท คาดว่าทุกกลุ่มธุรกิจของ BJC ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นและควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้คาดกำไร Q2/61 ชะลอลงตามผลของฤดูกาล แต่จะเติบโตแข็งแกร่ง YoY ส่วนใน H2/61 อาจได้ประโยชน์จากอัตราภาษีลดลงจากการปรับโครงสร้างภายในบริษัททำให้นำดอกเบี้ยจ่ายจากการซื้อกิจการ BigC มาหักภาษีได้
- BCH (กรุงศรี) เป้า 19 บาท ซื้อสะสมหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลก่อนเข้าสู่ช่วง High season (หน้าฝนและหนาวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ) โดยยังเลือก BCH เป็น Top pick ของกลุ่ม จากแนวโน้มผลกำไรที่คาดว่าจะเติบโตมากที่สุดของกลุ่มในปีนี้ เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ 1,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%yoy มากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่เพิ่มขึ้นเพียง 16%yoy
- BGRIM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อสะสม" เป้า 32 บาท ผู้บริหารชี้แจงประเด็นย้ายที่ตั้ง 2 โรงไฟฟ้า น่าจะทำให้ตลาดคลายกังวล แต่มีประเด็นใหม่คือ ภาครัฐมีแนวทางเปลี่ยนการต่อสัญญาโรงไฟฟ้าจากเดิมแบบ SPP Replacement เป็น SPP Extension 10 ปี ที่มีข้อดี ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และกำไรช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าแนวทางเดิม แต่การต่ออายุสัญญาที่สั้นกว่า ทำให้มี Downside 5-10% ต่อราคาเป้าหมาย แต่จะมี Upside จากโครงการร่วมทุน Solar Farm ในเวียดนามมาชดเชย โดยยังคาดกำไรปกติ Q2/61 โต Q-Q, Y-Y และทั้งปีคาดโตสูง 40% Y-Y เป็น 2.4 พันลบ.
- BJC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 68 บาท คาดว่าทุกกลุ่มธุรกิจของ BJC ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นและควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้คาดกำไร Q2/61 ชะลอลงตามผลของฤดูกาล แต่จะเติบโตแข็งแกร่ง YoY ส่วนใน H2/61 อาจได้ประโยชน์จากอัตราภาษีลดลงจากการปรับโครงสร้างภายในบริษัททำให้นำดอกเบี้ยจ่ายจากการซื้อกิจการ BigC มาหักภาษีได้
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลังราคาน้ำมันร่วงฉุดหุ้นกลุ่มพลังงาน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงรุนแรงถึง 4% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียกำลังพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,488.95 จุด เพิ่มขึ้น 38.16 จุด, +0.17% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,136.81 จุด ลดลง 4.49 จุด, -0.14% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,664.27 จุด ลดลง 96.14 จุด, -0.31% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,976.49 จุด เพิ่มขึ้น 34.19 จุด, +0.31% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,465.00 จุด เพิ่มขึ้น 4.20 จุด, +0.17% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,517.37 จุด เพิ่มขึ้น 4.14 จุด, +0.12% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,793.45 จุด ลดลง 3.95 จุด, -0.22%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการจัดการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างปธน.ทรัมป์ และนายคิม จอง อึน หลังจากปธน.ทรัมป์ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้ แม้ว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเขาเพิ่งประกาศยกเลิกการประชุมดังกล่าว โดยอ้างถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์จากเกาหลีเหนือ
ส่วนการทวีตข้อความล่าสุดของปธน.ทรัมป์ระบุว่า ทีมเจ้าหน้าที่ของสหรัฐได้เดินทางถึงเกาหลีเหนือแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนท่าทีของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากที่ทางฝั่งเกาหลีเหนือได้แสดงความตั้งใจที่จะหันหน้าเจรจากับสหรัฐอีกครั้ง โดยนายคิม คเย กวาน รมช.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ และเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือที่ทำหน้าที่เจรจากับสหรัฐ กล่าวว่า เกาหลีเหนือเล็งเห็นถึงความพยายามของปธน.ทรัมป์ในการจัดประชุมสุดครั้งนี้ และเกาหลีเหนือเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเมื่อใด หรือด้วยวิธีการใดก็ตาม ขณะที่ปธน.ทรัมป์ก็ได้ออกมาขานรับท่าทีของเกาหลีเหนือในการเปิดช่องสำหรับการเจรจากับสหรัฐเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 13.54 จุด รับเงินปอนด์อ่อนหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 พ.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับความคืบหน้าในการจัดประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,730.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.54 จุด หรือ +0.18%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้ แม้ว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเขาเพิ่งประกาศยกเลิกการประชุมดังกล่าว โดยอ้างถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์จากเกาหลีเหนือ
การเปลี่ยนท่าทีของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือกล่าวว่า เกาหลีเหนือเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเมื่อใด หรือด้วยวิธีการใดก็ตาม ขณะที่ปธน.ทรัมป์ก็ได้ออกมาขานรับท่าทีของเกาหลีเหนือในการเปิดช่องสำหรับการเจรจากับสหรัฐเช่นกัน
หุ้นจีวีซี โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 20 สัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นแอสทราเซเนกา ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ ดีดตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดว่า ผลการทดลองยา Imfinzi เป็นยารักษาโรคมะเร็งนั้น มีความคืบหน้าด้วยดี
หุ้นเดลี เมล ดิ่งลง 2.8% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทเบอร์เรนเบิร์กได้แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นดังกล่าว เนื่องจากผลประกอบการในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าของเดลีเมล มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันเบรนท์ หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกและรัสเซียกำลังพิจารณาปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.4% และหุ้นบีพี ดิ่งลง 2%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 13.54 จุด รับเงินปอนด์อ่อนหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 พ.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับความคืบหน้าในการจัดประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,730.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.54 จุด หรือ +0.18%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้ แม้ว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเขาเพิ่งประกาศยกเลิกการประชุมดังกล่าว โดยอ้างถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์จากเกาหลีเหนือ
การเปลี่ยนท่าทีของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือกล่าวว่า เกาหลีเหนือเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเมื่อใด หรือด้วยวิธีการใดก็ตาม ขณะที่ปธน.ทรัมป์ก็ได้ออกมาขานรับท่าทีของเกาหลีเหนือในการเปิดช่องสำหรับการเจรจากับสหรัฐเช่นกัน
หุ้นจีวีซี โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 20 สัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นแอสทราเซเนกา ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ ดีดตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดว่า ผลการทดลองยา Imfinzi เป็นยารักษาโรคมะเร็งนั้น มีความคืบหน้าด้วยดี
หุ้นเดลี เมล ดิ่งลง 2.8% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทเบอร์เรนเบิร์กได้แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นดังกล่าว เนื่องจากผลประกอบการในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าของเดลีเมล มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันเบรนท์ หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกและรัสเซียกำลังพิจารณาปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.4% และหุ้นบีพี ดิ่งลง 2%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับสหรัฐ-เกาหลีเหนือส่งสัญญาณเดินหน้าซัมมิต
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับความคืบหน้าในการจัดประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,730.28 จุด เพิ่มขึ้น 13.54 จุด หรือ +0.18% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,938.01 จุด เพิ่มขึ้น 82.92 จุด หรือ +0.65% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,542.55 จุด ลดลง 5.90 จุด หรือ -0.11%
นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้ แม้ว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเขาเพิ่งประกาศยกเลิกการประชุมดังกล่าว โดยอ้างถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์จากเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนท่าทีของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือกล่าวว่า เกาหลีเหนือเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเมื่อใด หรือด้วยวิธีการใดก็ตาม ขณะที่ปธน.ทรัมป์ก็ได้ออกมาขานรับท่าทีของเกาหลีเหนือในการเปิดช่องสำหรับการเจรจากับสหรัฐเช่นกัน
หุ้นจีวีซี โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 20 สัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นแอสทราเซเนกา ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ ดีดตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดว่า ผลการทดลองยา Imfinzi เป็นยารักษาโรคมะเร็งนั้น มีความคืบหน้าด้วยดี
หุ้นเดลี เมล ดิ่งลง 2.8% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทเบอร์เรนเบิร์กได้แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นดังกล่าว เนื่องจากผลประกอบการในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าของเดลีเมล มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันเบรนท์ หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกและรัสเซียกำลังพิจารณาปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.4% และหุ้นบีพี ดิ่งลง 2%
หุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลีและสเปนปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นบังโค บีพีเอ็ม และหุ้นอินเทซา ซานเปาโล ร่วงลง 7.3% และ 3.2% ตามลำดับ ส่วนหุ้นไคซาแบงก์ ดิ่งลง 3.8% และหุ้นบังโค ซานตานเดร์ ร่วงลง 2.7%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 58.67 จุด เหตุราคาน้ำมันดิ่งฉุดหุ้นพลังงานร่วง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (25 พ.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,753.09 จุด ลดลง 58.67 จุด หรือ -0.24% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,721.33 จุด ลดลง 6.43 จุด หรือ -0.24% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,433.85 จุด เพิ่มขึ้น 9.42 จุด หรือ +0.13%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงรุนแรงถึง 4% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียกำลังพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.9% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.5% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 2.6% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทรุดลง 5.5% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 4%
หุ้นแก๊ป ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ ดิ่งลง 15% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้และยอดขายที่ต่ำกว่าคาดกในไตรมาส 1
ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งนำโดยหุ้นบรอดคอม พุ่งขึ้น 2.7% และหุ้นอินเทล ปรับตัวขึ้น 1.3%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.7% ในเดือนเม.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.4% ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 98 ในเดือนพ.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.8
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ค่อนข้างบางเบา เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนช่วงวันหยุดยาวในสหรัฐ โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 28 พ.ค. เนื่องในวัน Memorial Day
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์นั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.2% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.3% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.1%
นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการจัดการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างปธน.ทรัมป์ และนายคิม จอง อึน หลังจากปธน.ทรัมป์ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้ แม้ว่าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเขาเพิ่งประกาศยกเลิกการประชุมดังกล่าว โดยอ้างถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์จากเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนท่าทีของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากที่ทางฝั่งเกาหลีเหนือได้แสดงความตั้งใจที่จะหันหน้าเจรจากับสหรัฐอีกครั้ง โดยนายคิม คเย กวาน รมช.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ และเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือที่ทำหน้าที่เจรจากับสหรัฐ กล่าวว่า เกาหลีเหนือเล็งเห็นถึงความพยายามของปธน.ทรัมป์ในการจัดประชุมสุดครั้งนี้ และเกาหลีเหนือเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเมื่อใด หรือด้วยวิธีการใดก็ตาม ขณะที่ปธน.ทรัมป์ก็ได้ออกมาขานรับท่าทีของเกาหลีเหนือในการเปิดช่องสำหรับการเจรจากับสหรัฐเช่นกัน
--อินโฟเควสท์
OO9302