WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

7 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบคล้าย ตปท.วิตกแรงขายต่างชาติ แต่ยังมีข่าวดีคำวินิจฉัยศาลรธน.หนุน
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบในลักษณะทรงตัว เหตุกังวลแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมากอยู่ แต่บ้านเราอาจได้รับแรงหนุนจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างกฏหมายที่มา ส.ว.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เป็นข่าวดีทำให้การเลือกตั้งจะไม่เลื่อนออกไป แต่ก็ต้องรอลุ้นอีกครั่ง 30 พ.ค.นัดวินิจฉัยร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.
ด้านตลาดต่างประเทศเช้านี้ส่วนใหญ่รีบาวด์แต่ไม่มาก เป็นไปในลักษณะทรงตัว ต่างจับตาทิศทางราคาน้ำมันจะแผ่วลงบ้างหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังอยู่ในระดับสูงจากวิกฤตในเวเนซูเอล่า และสหรัฐฯจะคว่ำบาตรอิหร่าน นอกจากนี้ยังต้องติดตามเรื่องการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,753-1,750 จุด ส่วนแนวต้าน 1,760 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,886.81 จุด เพิ่มขึ้น 52.40 จุด (+0.21%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,733.29 จุด เพิ่มขึ้น 8.85 จุด (+0.32%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,425.96 จุด เพิ่มขึ้น 47.50 จุด (+0.64%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 68.45 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.02 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 53.02 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 24.43 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.57 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.60 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 4.07 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 13.20 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 พ.ค.61) 1,753.60 จุด ลดลง 7.11 จุด (-0.40%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,960.34 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 พ.ค.61) ปิดที่ 71.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 36 เซนต์ หรือ 0.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 พ.ค.61) ที่ 6.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.12 ทรงตัวจากวานนี้ แต่แนวโน้มอ่อนค่าตามยูโร มองกรอบวันนี้ 32.05-32.15
- ทีวีดิจิทัล 20 ช่อง ตบเท้ายื่นหนังสือขอพักชำระไลเซ่นส์ หลัง คสช.ไฟเขียวออก ม.44 ช่วยพักชำระไม่เกิน 3 ปี ช่วยค่าโครงข่าย 50% เป็นเวลา 2 ปี ขณะช่องเรตติ้งดี 7-เวิร์คพ้อยท์จ่ายแล้ว ติดดาบ กสทช.ฟันธงช่องไหนได้พักชำระหนี้หรือไม่ "ฐากร" แจง กสทช.ต้องยึดคำสั่งคสช. ขณะนักวิชาการชี้ ช่วยต่อลมหายใจผู้ประกอบการ
- กระทรวงอุตสาหกรรมแถลงเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินวันนี้เริ่มขั้นตอนเปิดประมูลสัปดาห์หน้า เม็ดเงิน 2.2 แสนล้านบาท "คมนาคม"เผยสัดส่วนต่างชาติร่วมทุนเคาะไม่ต่ำกว่า 50% แต่ต้องมีคนไทยร่วมถือหุ้นไม่น้อยกว่า 25% หวังเปิดกว้างการลงทุนคึกคัก คาดไม่เกิน ต.ค.นี้เปิดยื่นซอง ขณะ"บีทีเอส"นำกลุ่ม"บีเอสอาร์"ลุยประมูลทุกโครงการ
- นายกรัฐมนตรี เผยการที่ราคาน้ำมันในขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลใดก็บังคับไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับกลไกการค้าโลก จึงต้องเข้าใจกลไกเหล่านี้ หากไม่เข้าใจก็จะถูกบิดเบือนไปจนเกิดปัญหา
- กรมทางหลวงยันประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมซื้อซองมอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ วงเงิน 8 หมื่นล้านในปลายปี 61 ก่อนเปิดประมูลโครงการในเดือน ก.พ.62 มั่นใจแล้วเสร็จสามารถรองรับภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวได้ คาดมีปริมาณการจราจรเฉลี่ย 43,673 เที่ยวคัน/วัน ในปีแรกเปิดให้บริการ
*หุ้นเด่นวันนี้
- BEM (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 8.6 บาท เก็งกำไรข่าววันนี้ภาครัฐเตรียมเปิดร่างเงื่อนไขการประมูล (TOR) โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ และ อู่ตะเภา) เป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาและเข้าร่วมประมูล มองกลุ่ม BEM ซึ่งจับมือกับ CK ยังเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะชนะการประมูล
- CPN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 93 บาท กำไร Q1/61 สะท้อนความแข็งแกร่งในทุกธุรกิจ ทั้งศูนย์การค้า คอนโดฯ โรงแรม และอาหาร รวมถึงการควบคุมที่ทำได้มีประสิทธิภาพ หนุน Gross Margin และ EBITDA Margin สูงถึง 50.2% และ 59.1% ซึ่งโมเมนตัมนี้จะต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี คาดกำไรสุทธิปี 2561 ที่ 1.2 หมื่นลบ. +22% Y-Y ส่วนแผนเติบโตระยะยาวน่าสนใจ ล่าสุดตั้งเป้าลงทุน 1 แสนลบ. ใน 5 ปี โดยจะพัฒนาคอนโดฯปีละ 3 แห่ง และ Mix used ปีละ 2 แห่ง ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่เช่าจากปัจจุบันอีก 1.4 เท่าตัวในปี 2565
- MINT (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 50 บาท แจ้งลงทุนใน NH Hotel Group มูลค่า 192 ล้านยูโร ทำให้ปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 8.64% จะช่วยขยายธุรกิจโรงแรมให้ครอบคลุมระดับโลกมากขึ้น พร้อมเกิด Synergy ในหลายด้านในระยะยาว ขณะที่ระยะสั้นดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากกู้ยืมคาดจะถูกหักล้างบางส่วนด้วยการรับรู้เงินปันผลจาก NH Hotel ทำให้ยังไม่กระทบต่อประมาณการอย่างมีนัยฯ จึงคาดปีนี้กำไรยังโต 12.5%YoY + Upside 39%

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นเช้านี้ หลังเฟดเผยรายงานการประชุม
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 1-2 พ.ค.เมื่อวานนี้ โดยนักลงทุนมองว่ารายงานดังกล่าวไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วไปกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้วก่อนหน้านี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,621.29 จุด ลดลง 68.45 จุด, -0.30% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,167.94 จุด ลดลง 1.02 จุด, -0.03% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,718.66 จุด เพิ่มขึ้น 53.02 จุด, +0.17% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,910.61 จุด เพิ่มขึ้น 24.43 จุด, +0.22% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,477.48 จุด เพิ่มขึ้น 5.57 จุด, +0.23% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,508.87 จุด เพิ่มขึ้น 12.60 จุด, +0.36% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,808.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.07 จุด, +0.23% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,573.67 จุด เพิ่มขึ้น 13.20 จุด, +0.17%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 1-2 พ.ค.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้ หากแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐมีความสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเฟด อีกทั้งยังระบุว่า หากข้อมูลที่เฟดจะได้รับในเร็วๆนี้มีความสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เฟดคาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่คณะกรรมการ FOMC จะก้าวเข้าสู่อีกขั้นตอนหนึ่งของการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
ส่วนในด้านเงินเฟ้อนั้น กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในทิศทางที่จะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% อย่างไรก็ตาม กรรมการเฟดหลายคนมองว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่ร้อนแรงจนเกินไป เมื่อพิจารณาจากตัวเลขค่าจ้างที่มีการเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมา

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 89.01 จุด เหตุวิตกการเมืองสหรัฐ-เกาหลีเหนือ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐเปิดเผยว่า โอกาสสูงมากที่การประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จะไม่เกิดขึ้นตามแผนการที่วางไว้ในเดือนหน้า
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,788.44 จุด ลดลง 89.01 จุด หรือ -1.13%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดอ่อนแรงลง หลังจากปธน.ทรัมป์ว่า มีโอกาสสูงมากที่การประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จะไม่เกิดขึ้นในเดือนหน้า พร้อมกับเน้นย้ำว่าการประชุมสุดยอดจะไม่เกิดขึ้น หากเกาหลีเหนือไม่ยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะตัดสินใจในสัปดาห์หน้าว่าจะเดินหน้าจัดการประชุมสุดยอดกับผู้นำเกาหลีเหนือ ในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์หรือไม่
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากปธน.ทรัมป์ยังกล่าวว่า เขาไม่พอใจต่อผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีขึ้นที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์ที่แล้ว
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หลังจากสต็อกน้ำดิบสหรัฐพุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 3.1% หุ้นบีพี ดิ่งลง 1.9%
หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ดีดตัวขึ้น 5.2% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 1
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง หลัง PMI ภาคการผลิต-ภาคบริการยูโรโซนชะลอตัว
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) หลังจากไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของกลุ่มยูโรโซน ชะลอตัวลงในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐเปิดเผยว่า โอกาสสูงมากที่การประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จะไม่เกิดขึ้นตามแผนการที่วางไว้ในเดือนหน้า
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.1% ปิดที่ 392.58 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,976.84 จุด ลดลง 193.08 จุด หรือ -1.47% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,565.85 จุด ลดลง 74.25 จุด หรือ -1.32% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,788.44 จุด ลดลง 89.01 จุด หรือ -1.13%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบจากรายงานของไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 54.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน จากระดับ 55.1 ในเดือนเม.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน
สำหรับดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของยูโรโซน อยู่ที่ 54.5 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน จากระดับ 56.2 ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 53.9 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน จากระดับ 54.7 ในเดือนเม.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากปธน.ทรัมป์ว่า มีโอกาสสูงมากที่การประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จะไม่เกิดขึ้นในเดือนหน้า พร้อมกับเน้นย้ำว่าการประชุมสุดยอดจะไม่เกิดขึ้น หากเกาหลีเหนือไม่ยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะตัดสินใจในสัปดาห์หน้าว่าจะเดินหน้าจัดการประชุมสุดยอดกับผู้นำเกาหลีเหนือ ในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์หรือไม่
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หลังจากสต็อกน้ำดิบสหรัฐพุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 3.1% หุ้นบีพี ดิ่งลง 1.9%
หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ดีดตัวขึ้น 5.2% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 1
หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ขยับขึ้น 0.5% หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า ธนาคารบาร์เคลย์สกำลังมองหาทางเลือกต่างๆในการควบรวมธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด อย่างไรก็ตาม ธนาคารบาร์เคลย์สได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าวในเวลาต่อมา

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 52.40 จุด หลังเฟดเผยรายงานการประชุม
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 1-2 พ.ค.เมื่อวานนี้ โดยนักลงทุนมองว่ารายงานดังกล่าวไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วไปกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้วก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐ ต่างก็ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,886.81 จุด เพิ่มขึ้น 52.40 จุด หรือ +0.21% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,425.96 จุด เพิ่มขึ้น 47.50 จุด หรือ +0.64% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,733.29 จุด เพิ่มขึ้น 8.85 จุด หรือ +0.32%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 1-2 พ.ค.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้ หากแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐมีความสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเฟด อีกทั้งยังระบุว่า หากข้อมูลที่เฟดจะได้รับในเร็วๆนี้มีความสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เฟดคาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่คณะกรรมการ FOMC จะก้าวเข้าสู่อีกขั้นตอนหนึ่งของการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
ส่วนในด้านเงินเฟ้อนั้น กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในทิศทางที่จะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% อย่างไรก็ตาม กรรมการเฟดหลายคนมองว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่ร้อนแรงจนเกินไป เมื่อพิจารณาจากตัวเลขค่าจ้างที่มีการเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์จากพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล และนักวิเคราะห์จากบริษัทฮาเวอร์ฟอร์ด ทรัสต์ ต่างก็แสดงความเห็นว่า รายงานการประชุมของเฟดสะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการ FOMC ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วไปกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้วก่อนหน้านี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่า ตลอดปี 2561 นั้น เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งสิ้น 3 ครั้ง ซึ่งในการประชุมเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เฟดได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ครั้ง และจะเหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้
หุ้นทิฟฟานี แอนด์ โค ผู้จำหน่ายเครื่องประดับรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 23% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 1.14 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 83 เซนต์/หุ้น ขณะที่ยอดขายอยู่ที่ระดับ 1.03 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 959.4 ล้านดอลลาร์
หุ้นโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 10% แม้บริษัทเปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 1.19 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.22 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 0.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.06%
หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 5.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.32 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.39 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ 1.656 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.658 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นราล์ฟ ลอเรน พุ่งขึ้น 14.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนหลังจากไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของสหรัฐ อยู่ที่ 56.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 44 เดือน จากระดับ 56.5 ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค. อยู่ที่ 55.7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.6 ในเดือนเม.ย.
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนของการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ในเดือนหน้า
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO9182

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!