- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 03 May 2018 12:47
- Hits: 2117
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้อ่อนตัวก่อนแกว่ง Sideway up รับแรงหนุนเก็งกำไรงบฯ ,จับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯ-จีน
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่ง Sideway up แม้ในช่วงแรกภาพการลงทุนจะเป็นลักษณะการตั้งรับโดยไม่ไล่ราคาหุ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาด และนักลงทุนยังกังวลต่อข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯอาจใช้มาตรการควบคุมบริษัทของจีนในการขายอุปกรณ์ด้านการสื่อสารในสหรัฐฯ และนักลงทุนยังรอติดตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในระยะต่อไปด้วย
ขณะที่ปัจจัยในประเทศนั้น อาจจะมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/61 ของบจ.ที่ทยอยออกมาในช่วงนี้ รวมถึงยังมีเม็ดงินหมุนเวียนเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดกลาง อย่างกลุ่มพาณิชย์ ,ไฟฟ้า รวมถึงรอติดตามความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดลงมติร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.) ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน แม้ว่าภาพรวมยังถูกกดดันจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องก็ตาม
พร้อมให้แนวรับ 1,783 และ 1,776 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,797 และ 1,805 จุด
พร้อมให้แนวรับ 1,783 และ 1,776 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,797 และ 1,805 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,924.98 จุด ร่วงลง 174.07 จุด (-0.72%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,635.67 จุด ลดลง 19.13 จุด (-0.72%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,100.90 จุด ลดลง 29.81 จุด (-0.42%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.66 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 318.40 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 39.83 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.33 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 29.98 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.40 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 56.34 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 22.08 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันระลึกรัฐธรรมนูญ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ค.61) 1,791.13 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด (+0.62%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,343.74 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 67.93 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1%
- เงินบาทเปิด 31.70 ทรงตัวจากวานนี้หลังเฟดคงดอกเบี้ยตามคาด, ตลาดรอตัวเลขศก.สหรัฐฯที่ประกาศสัปดาห์นี้
- รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนให้ความสนใจโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 วงเงินลงทุนราว 1.2 แสนล้านบาทเป็นอย่างมาก ทั้งจากจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยกระทรวงจะเร่งเปิดประมูลภายในปีนี้เพื่อให้ทันกับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)
- เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่โทเคนเจฟินคอยน์ 100 ล้านโทเคน เข้าซื้อขายในตลาดเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี) Coin Asset โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 6.45 บาท/โทเคน ร่วงลงต่ำกว่ากว่าที่มีการให้จองซื้อตอนเปิดให้ระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล (ไอซีโอ) ที่ 6.60 บาท/โทเคน ตลอดทั้งวันราคาลงไปแตะต่ำสุดที่ 3 บาท/โทเคน และ ณ เวลา 17.00 น. ราคาอยู่ที่ 3.70 บาท/โทเคน ลดลง 44% จากราคาจองซื้อ
- รมว.พลังงาน เผยว่าภาครัฐไม่ได้ห้ามให้ผู้ค้าแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันขายปลีกล่วงหน้า แต่การปรับเปลี่ยนต้องทำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคเป็นหลัก ต้องไม่มีพฤติกรรมการประกาศราคาเพื่อจุดประสงค์ในการชี้นำตลาดแก่ผู้ค้ารายอื่นจนส่งผลให้ไม่เกิดการแข่งขัน เพราะหากไม่ชี้นำราคาขายปลีกอาจลดลงได้อีก เช่น เมื่อพิจารณาค่าการตลาดปัจจุบันดีเซลอยู่ที่ 2.05 บาท/ลิตร ค่าการตลาดที่ผู้ค้าควรได้รับอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร ดังนั้นราคาขายปลีกดีเซลก็ควรจะปรับลด 20-25 สตางค์/ลิตร หากมีการแข่งขันแท้จริง เป็นต้น
- สคร.เตรียมยื่นไฟลิ่งเสนอขายหน่วยกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของ กทพ. ให้สำนักงานก.ล.ต.พิจารณา ก่อนจะเสนอขายในช่วง มิ.ย.-ก.ค. นี้
- หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย.แตะ 80.9 สูงสุดรอบ 40 เดือน ชี้ความเคลื่อนไหวต่ำกว่า 100 สะท้อนผู้บริโภคมองเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว กังวลสถานการณ์การเมือง สงครามการค้าสหรัฐกับจีน ราคาพืชผลการเกษตรอยู่ระดับต่ำ ลุ้นไตรมาส 2 เศรษฐกิจฟื้นตัวชัด หนุนทั้งปีขยายตัว 4.6%
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,924.98 จุด ร่วงลง 174.07 จุด (-0.72%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,635.67 จุด ลดลง 19.13 จุด (-0.72%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,100.90 จุด ลดลง 29.81 จุด (-0.42%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.66 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 318.40 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 39.83 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.33 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 29.98 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.40 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 56.34 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 22.08 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันระลึกรัฐธรรมนูญ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ค.61) 1,791.13 จุด เพิ่มขึ้น 11.02 จุด (+0.62%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,343.74 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 67.93 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1%
- เงินบาทเปิด 31.70 ทรงตัวจากวานนี้หลังเฟดคงดอกเบี้ยตามคาด, ตลาดรอตัวเลขศก.สหรัฐฯที่ประกาศสัปดาห์นี้
- รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนให้ความสนใจโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 วงเงินลงทุนราว 1.2 แสนล้านบาทเป็นอย่างมาก ทั้งจากจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยกระทรวงจะเร่งเปิดประมูลภายในปีนี้เพื่อให้ทันกับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)
- เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่โทเคนเจฟินคอยน์ 100 ล้านโทเคน เข้าซื้อขายในตลาดเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี) Coin Asset โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 6.45 บาท/โทเคน ร่วงลงต่ำกว่ากว่าที่มีการให้จองซื้อตอนเปิดให้ระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล (ไอซีโอ) ที่ 6.60 บาท/โทเคน ตลอดทั้งวันราคาลงไปแตะต่ำสุดที่ 3 บาท/โทเคน และ ณ เวลา 17.00 น. ราคาอยู่ที่ 3.70 บาท/โทเคน ลดลง 44% จากราคาจองซื้อ
- รมว.พลังงาน เผยว่าภาครัฐไม่ได้ห้ามให้ผู้ค้าแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันขายปลีกล่วงหน้า แต่การปรับเปลี่ยนต้องทำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคเป็นหลัก ต้องไม่มีพฤติกรรมการประกาศราคาเพื่อจุดประสงค์ในการชี้นำตลาดแก่ผู้ค้ารายอื่นจนส่งผลให้ไม่เกิดการแข่งขัน เพราะหากไม่ชี้นำราคาขายปลีกอาจลดลงได้อีก เช่น เมื่อพิจารณาค่าการตลาดปัจจุบันดีเซลอยู่ที่ 2.05 บาท/ลิตร ค่าการตลาดที่ผู้ค้าควรได้รับอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร ดังนั้นราคาขายปลีกดีเซลก็ควรจะปรับลด 20-25 สตางค์/ลิตร หากมีการแข่งขันแท้จริง เป็นต้น
- สคร.เตรียมยื่นไฟลิ่งเสนอขายหน่วยกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของ กทพ. ให้สำนักงานก.ล.ต.พิจารณา ก่อนจะเสนอขายในช่วง มิ.ย.-ก.ค. นี้
- หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย.แตะ 80.9 สูงสุดรอบ 40 เดือน ชี้ความเคลื่อนไหวต่ำกว่า 100 สะท้อนผู้บริโภคมองเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว กังวลสถานการณ์การเมือง สงครามการค้าสหรัฐกับจีน ราคาพืชผลการเกษตรอยู่ระดับต่ำ ลุ้นไตรมาส 2 เศรษฐกิจฟื้นตัวชัด หนุนทั้งปีขยายตัว 4.6%
*หุ้นเด่นวันนี้
- PTTGC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 115 บาท คาดกำไรสุทธิ Q1/61 ประมาณ 1.22 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 27%qoq ส่วนทั้งปีคาดกำไรเพิ่มขึ้นทำ New high จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากแผนเปิด 2 โครงการใหม่ คือ โครงการ mLLDPE เริ่มผลิต 1Q61 และโครงการ ME หน่วยที่ 2 เริ่มผลิต 4Q61 ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่สูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
- EA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 47 บาท คาดกำไร Q1/61 +12% Q-Q, +3% Y-Y แตะ 1 พันล้านบาท เป็นครั้งแรก จากการรับรู้รายได้พลังงานลมเต็มไตรมาส และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือน Q4/60 ส่วนกำไรทั้งปี 2561 คาด +28% Y-Y อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท จากการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มอีก 260MW ใน Q4/61 ด้านราคาหุ้น -31% YTD แย่กว่ากลุ่มที่ +1% YTD ขณะที่ ยอด Short Sales เฉลี่ยต่อวันใน เม.ย. 61 ลดลง 24% M-M และ NVDR พลิกกลับมาซื้อ 43 ล้านบาท หลังจากขายหนักถึง 406 ล้านบาท ใน มี.ค. 61
- UNIQ (ไอร่า) เป้า 21 บาท โอกาสเข้าสะสม ราคาปัจจุบันถูก ซื้อขายบน PE เพียง 15 เท่า เทียบกับพื้นฐาน โดย Backlog สิ้นปี 60 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ UNIQ อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง H2/61 มีแผนเข้าร่วมประมูล เช่น (1) โครงการรถไฟทางคู่ Phase 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวม 300,000 ล้านบาท (2) รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่างานก่อสร้าง ประมาณ 80,000 ล้านบาท (3) ทางด่วนพระราม 3 มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท และ (4) โครงการท่อร้อยสายไฟลงดิน ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของ กฟน. จำนวน 5 สัญญา มูลค่ารวม ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นต้น พร้อมคาดผลการดำเนินงาน 2H/61 ดีกว่า 1H/61
- EA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 47 บาท คาดกำไร Q1/61 +12% Q-Q, +3% Y-Y แตะ 1 พันล้านบาท เป็นครั้งแรก จากการรับรู้รายได้พลังงานลมเต็มไตรมาส และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือน Q4/60 ส่วนกำไรทั้งปี 2561 คาด +28% Y-Y อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท จากการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มอีก 260MW ใน Q4/61 ด้านราคาหุ้น -31% YTD แย่กว่ากลุ่มที่ +1% YTD ขณะที่ ยอด Short Sales เฉลี่ยต่อวันใน เม.ย. 61 ลดลง 24% M-M และ NVDR พลิกกลับมาซื้อ 43 ล้านบาท หลังจากขายหนักถึง 406 ล้านบาท ใน มี.ค. 61
- UNIQ (ไอร่า) เป้า 21 บาท โอกาสเข้าสะสม ราคาปัจจุบันถูก ซื้อขายบน PE เพียง 15 เท่า เทียบกับพื้นฐาน โดย Backlog สิ้นปี 60 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ UNIQ อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง H2/61 มีแผนเข้าร่วมประมูล เช่น (1) โครงการรถไฟทางคู่ Phase 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวม 300,000 ล้านบาท (2) รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่างานก่อสร้าง ประมาณ 80,000 ล้านบาท (3) ทางด่วนพระราม 3 มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท และ (4) โครงการท่อร้อยสายไฟลงดิน ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของ กฟน. จำนวน 5 สัญญา มูลค่ารวม ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นต้น พร้อมคาดผลการดำเนินงาน 2H/61 ดีกว่า 1H/61
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลังเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเมื่อคืน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมเมื่อวานนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ซึ่งสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,074.52 จุด ลดลง 6.66 จุด, -0.22% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,405.48 จุด ลดลง 318.40 จุด, -1.04% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,578.98 จุด ลดลง 39.83 จุด, -0.38% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,506.94 จุด เพิ่มขึ้น 1.33 จุด, +0.05% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,585.30 จุด ลดลง 29.98 จุด, -0.83% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,848.63 จุด ลดลง 3.40 จุด, -0.18% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,792.41 จุด เพิ่มขึ้น 56.34 จุด, +0.73% ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันระลึกรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด และการปรับตัวของเศรษฐกิจได้สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาการออกคำสั่งให้ใช้มาตรการควบคุมบริษัทของจีนในการจำหน่ายอุปกรณ์ด้านการสื่อสารในสหรัฐ
ทั้งนีน้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐขายสินค้าต่างๆให้กับบริษัท ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารของจีน เป็นเวลา 7 ปี เพื่อตอบโต้ ZTE ที่ส่งมอบสินค้าให้กับอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร นอกจากนี้ สหรัฐยังได้เข้าตรวจสอบบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ เพื่อหาหลักฐานว่า หัวเว่ยได้ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่ห้ามไม่ให้มีการขายสินค้าให้กับอิหร่านหรือไม่
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 22.84 จุด รับแรงซื้อหุ้นเหมือง,ภาคก่อสร้างอังกฤษขยายตัว
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ (2 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ดีดตัวขึ้น หลังจากมีรายงานว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่า ดัชนี PMI ภาคก่อสร้างสหราชอาณาจักรดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,543.20 จุด เพิ่มขึ้น 22.84 จุด หรือ +0.30%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นและเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นเฟรสนิลโล พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 2.8% และหุ้นอันโตฟากัสตา ดีดตัวขึ้น 2.4%
หุ้นเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นหลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน เพิ่มขึ้นแตะระดับ 51.1 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 51.0 ในเดือนมี.ค.
ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนยังคงมีการขยายตัว และดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต
หุ้นเซจ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟแวร์ด้านการตรวจสอบบัญชี พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากผลการสำรวจของ Markit/CIPS พบว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคก่อสร้างของสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นแตะระดับ 52.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว จากระดับ 47.0 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน
ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคการก่อสร้างได้รับแรงหนุนจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งมีการเติบโตมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,543.20 จุด เพิ่มขึ้น 22.84 จุด หรือ +0.30%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นและเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นเฟรสนิลโล พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 2.8% และหุ้นอันโตฟากัสตา ดีดตัวขึ้น 2.4%
หุ้นเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นหลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน เพิ่มขึ้นแตะระดับ 51.1 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 51.0 ในเดือนมี.ค.
ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนยังคงมีการขยายตัว และดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต
หุ้นเซจ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟแวร์ด้านการตรวจสอบบัญชี พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากผลการสำรวจของ Markit/CIPS พบว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคก่อสร้างของสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นแตะระดับ 52.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว จากระดับ 47.0 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน
ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคการก่อสร้างได้รับแรงหนุนจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งมีการเติบโตมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัวลงในไตรมาสแรกปีนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.63% ปิดที่ 387.44 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,802.25 จุด เพิ่มขึ้น 190.14 จุด หรือ +1.51% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,529.22 จุด เพิ่มขึ้น 8.72 จุด หรือ +0.16% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,543.20 จุด เพิ่มขึ้น 22.84 จุด หรือ +0.30%
หุ้นเอเอสเอ็ม ซึ่งเป็นผู้จัดหาชิปให้กับบริษัทแอปเปิล อิงค์ พุ่งขึ้น 6.8% หลังจากแอปเปิลเปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาส 2 ในปีงบการเงินของบริษัท เพิ่มขึ้น 16% แตะระดับ 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี ขณะที่หุ้นบีอี เซมิคอนดักเตอร์ อินดัสทรีส์ พุ่งขึ้น 7.3%
หุ้นอินมาร์แซท ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารรายใหญ่ของยุโรป ทะยานขึ้น 7.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาสแรกปีนี้
หุ้นโนโว นอร์ดิสค์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของเดนมาร์ก พุ่งขึ้น 4.3% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสหน้า
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัว 0.4% ในไตรมาสแรก โดยลดลงจากระดับ 0.7% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายในเดือนเม.ย.ของยูโรโซน อยู่ที่ 56.2 ในเดือนเม.ย. ลดลงจากระดับ 56.6 ในเดือนมี.ค. แต่ขยับขึ้นเล็กน้อยจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้นเดือนเม.ย.ที่ระดับ 56.0
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 174.07 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย,วิตกข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 พ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมเมื่อวานนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ซึ่งสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจใช้มาตรการควบคุมบริษัทของจีนในการขายอุปกรณ์ด้านการสื่อสารในสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,924.98 จุด ร่วงลง 174.07 จุด หรือ -0.72% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,635.67 จุด ลดลง 19.13 จุด หรือ -0.72% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,100.90 จุด ลดลง 29.81 จุด หรือ -0.42%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด และการปรับตัวของเศรษฐกิจได้สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาการออกคำสั่งให้ใช้มาตรการควบคุมบริษัทของจีนในการจำหน่ายอุปกรณ์ด้านการสื่อสารในสหรัฐ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐขายสินค้าต่างๆให้กับบริษัท ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารของจีน เป็นเวลา 7 ปี เพื่อตอบโต้ ZTE ที่ส่งมอบสินค้าให้กับอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร นอกจากนี้ สหรัฐยังได้เข้าตรวจสอบบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ เพื่อหาหลักฐานว่า หัวเว่ยได้ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่ห้ามไม่ให้มีการขายสินค้าให้กับอิหร่านหรือไม่
นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ จะเข้าร่วมประชุมเป็นเวลา 2 วันกับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่ง โดยนายมนูชินกล่าวว่า สหรัฐจะหยิบยกประเด็นที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน รวมทั้งประเด็นสิทธิทางปัญญา ขึ้นมาพูดคุยในระหว่างการเจรจาครั้งนี้
หุ้น Snap ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Snapchat ดิ่งลงอย่างหนักถึง 21.9% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 17 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 1 พร้อมระบุว่า บริษัทมีจำนวนผู้ใช้บริการ 191 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 194.2 ล้านคน
หุ้นบริษัทยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพิซซ่า ฮัท, เคนตั๊กกี ฟรายชิกเก้น (KFC) และทาโก เบล ร่วงลง 7.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.9%
หุ้น PayPal ดิ่งลง 4.1% หลังจากมีข่าวว่า อเมซอน กำลังยื่นข้อเสนอให้บรรดาร้านค้าปลีกหันมาใช้ระบบการจ่ายเงินของอเมซอน
หุ้น IAC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Match ผู้ให้บริการจับคู่ออนไลน์ ร่วงลงกว่า 2% หลังจากนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า เฟซบุ๊กเตรียมให้บริการหาคู่สำหรับผู้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ส่วนหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากแอปเปิลเปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาส 2 ในปีงบการเงินของบริษัท เพิ่มขึ้น 16% แตะระดับ 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 6.09 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรอยู่ที่ระดับ 2.73 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.64 ดอลลาร์/หุ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 228,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), คำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมี.ค. และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.
--อินโฟเควสท์
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด และการปรับตัวของเศรษฐกิจได้สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาการออกคำสั่งให้ใช้มาตรการควบคุมบริษัทของจีนในการจำหน่ายอุปกรณ์ด้านการสื่อสารในสหรัฐ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐขายสินค้าต่างๆให้กับบริษัท ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารของจีน เป็นเวลา 7 ปี เพื่อตอบโต้ ZTE ที่ส่งมอบสินค้าให้กับอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร นอกจากนี้ สหรัฐยังได้เข้าตรวจสอบบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ เพื่อหาหลักฐานว่า หัวเว่ยได้ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่ห้ามไม่ให้มีการขายสินค้าให้กับอิหร่านหรือไม่
นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ จะเข้าร่วมประชุมเป็นเวลา 2 วันกับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่ง โดยนายมนูชินกล่าวว่า สหรัฐจะหยิบยกประเด็นที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน รวมทั้งประเด็นสิทธิทางปัญญา ขึ้นมาพูดคุยในระหว่างการเจรจาครั้งนี้
หุ้น Snap ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Snapchat ดิ่งลงอย่างหนักถึง 21.9% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 17 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 1 พร้อมระบุว่า บริษัทมีจำนวนผู้ใช้บริการ 191 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 194.2 ล้านคน
หุ้นบริษัทยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพิซซ่า ฮัท, เคนตั๊กกี ฟรายชิกเก้น (KFC) และทาโก เบล ร่วงลง 7.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.9%
หุ้น PayPal ดิ่งลง 4.1% หลังจากมีข่าวว่า อเมซอน กำลังยื่นข้อเสนอให้บรรดาร้านค้าปลีกหันมาใช้ระบบการจ่ายเงินของอเมซอน
หุ้น IAC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Match ผู้ให้บริการจับคู่ออนไลน์ ร่วงลงกว่า 2% หลังจากนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า เฟซบุ๊กเตรียมให้บริการหาคู่สำหรับผู้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ส่วนหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากแอปเปิลเปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาส 2 ในปีงบการเงินของบริษัท เพิ่มขึ้น 16% แตะระดับ 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 6.09 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรอยู่ที่ระดับ 2.73 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.64 ดอลลาร์/หุ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 228,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), คำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมี.ค. และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.
--อินโฟเควสท์
OO8271