- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 11 April 2018 13:11
- Hits: 7049
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่ง Sideway up ตามภูมิภาคหลังข้อขัดแย้งการค้าสหรัฐฯ-จีนคลี่คลาย,ราคาน้ำมันพุ่ง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกเล็กน้อยราว 0.2-0.3% ภายหลังจากมองสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้คลี่คลายลง จากคำกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบีดีของจีน ที่ต้องการจะเปิดตลาดให้กว้างขึ้นสำหรับชาวต่างชาติ และจะเข้มงวดบังคับใช้กฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงจะปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีประนีประนอม
นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นแรง 3% จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันอออกกลาง อย่างไรก็ดีวันนี้ให้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส. และให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/61 ของกลุ่มแบงก์
ส่วนต่างประเทศให้ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งก่อน ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้
พร้อมให้แนวรับ 1,756-1,758 ถัดไป 1,750 จุด ส่วนแนวต้าน 1,765-1,770 จุด
ส่วนต่างประเทศให้ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งก่อน ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้
พร้อมให้แนวรับ 1,756-1,758 ถัดไป 1,750 จุด ส่วนแนวต้าน 1,765-1,770 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 เม.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,408.00 จุด พุ่งขึ้น 428.90 จุด (+1.79%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,656.87 จุด เพิ่มขึ้น 43.71 จุด (+1.67%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,094.30 จุด เพิ่มขึ้น 143.96 จุด (+2.07%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 24.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 7.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 32.49 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 34.52 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.79 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 11.65 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.32 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 เม.ย.61) 1,760.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.68 จุด(+0.55%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 504.62 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 เม.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 เม.ย.61) ปิดที่ระดับ 65.51
ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.09 ดอลลาร์ หรือ 3.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 เม.ย.61) ที่ 8.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.18 แข็งค่าหลังดอลล์อ่อน ตลาดคลายกังวลปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
- บอร์ด กสทช.ส่อไม่ลงมติรับร่างฯ เกณฑ์ประมูลคลื่น 1800 วันนี้ "ฐากร"ระบุหากเดินหน้าอาจก้าวล่วงอำนาจบอร์ดใหม่ อ้าง สนช.กำลังจะคัดเลือกวันที่ 19 เม.ย.นี้ "หมอลี่"เผยบอร์ดเสียงแตก 2 ขั้วทั้งหยุดและให้เดินหน้า เตือนหากไม่ลงมตินอกจากล่าช้า อาจเข้าข่าย 157 คลังผวากระทบรายได้ไม่เข้าเป้า ส่วนนายกฯ ไฟเขียวอุ้มทีวีดิจิทัล-กรมประชาฯ หาโฆษณาได้
- ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีราคาขายห้องชุดใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรีและสมุทรปราการในไตรมาสแรก ปี 2561 พบว่า ราคาขายเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 133.1 จุด หรือเพิ่ม 6.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 124.9 จุด และปรับเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาส 4 ปี 2560
- สำรวจความคิดเห็น ผู้บริหารบจ. พบส่วนใหญ่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3-4% อานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะเดียวกัน ยังเกาะติดปัจจัยค่าเงินบาท ค่าแรงขั้นต่ำ และเสถียรภาพทางการเมืองหวั่นกระทบรายได้
- สมาคมตราสารหนี้ไทย คาดการณ์ปีนี้เอกชนออกหุ้นกู้ 6.0-6.5 แสนล้านบาท เผย 3 เดือนแรก ต่างชาติลุยซื้อตราสารหนี้ไทยเพิ่ม 38,660 ล้านบาท
- นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 ความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านมีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด "รับสร้างบ้าน" ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 เม.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,408.00 จุด พุ่งขึ้น 428.90 จุด (+1.79%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,656.87 จุด เพิ่มขึ้น 43.71 จุด (+1.67%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,094.30 จุด เพิ่มขึ้น 143.96 จุด (+2.07%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 24.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 7.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 32.49 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 34.52 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.79 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 11.65 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.32 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 เม.ย.61) 1,760.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.68 จุด(+0.55%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 504.62 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 เม.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 เม.ย.61) ปิดที่ระดับ 65.51
ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.09 ดอลลาร์ หรือ 3.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 เม.ย.61) ที่ 8.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.18 แข็งค่าหลังดอลล์อ่อน ตลาดคลายกังวลปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
- บอร์ด กสทช.ส่อไม่ลงมติรับร่างฯ เกณฑ์ประมูลคลื่น 1800 วันนี้ "ฐากร"ระบุหากเดินหน้าอาจก้าวล่วงอำนาจบอร์ดใหม่ อ้าง สนช.กำลังจะคัดเลือกวันที่ 19 เม.ย.นี้ "หมอลี่"เผยบอร์ดเสียงแตก 2 ขั้วทั้งหยุดและให้เดินหน้า เตือนหากไม่ลงมตินอกจากล่าช้า อาจเข้าข่าย 157 คลังผวากระทบรายได้ไม่เข้าเป้า ส่วนนายกฯ ไฟเขียวอุ้มทีวีดิจิทัล-กรมประชาฯ หาโฆษณาได้
- ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีราคาขายห้องชุดใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรีและสมุทรปราการในไตรมาสแรก ปี 2561 พบว่า ราคาขายเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 133.1 จุด หรือเพิ่ม 6.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 124.9 จุด และปรับเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาส 4 ปี 2560
- สำรวจความคิดเห็น ผู้บริหารบจ. พบส่วนใหญ่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3-4% อานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะเดียวกัน ยังเกาะติดปัจจัยค่าเงินบาท ค่าแรงขั้นต่ำ และเสถียรภาพทางการเมืองหวั่นกระทบรายได้
- สมาคมตราสารหนี้ไทย คาดการณ์ปีนี้เอกชนออกหุ้นกู้ 6.0-6.5 แสนล้านบาท เผย 3 เดือนแรก ต่างชาติลุยซื้อตราสารหนี้ไทยเพิ่ม 38,660 ล้านบาท
- นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 ความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านมีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด "รับสร้างบ้าน" ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก
*หุ้นเด่นวันนี้
- KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 235 บาท รายงานสินเชื่อ 2M61 +1% YTD แม้แผ่วตามฤดูกาล แต่เป็นอัตราการเติบโตดีกว่ากลุ่ม จึงคาดกำไรสุทธิ Q1/61 จะกลับมาเป็นปกติที่ 1.06 หมื่นลบ. +87% Q-Q, +5% Y-Y จากค่าใช้จ่ายตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง ราคาหุ้นลงมาแล้ว 11% จากประเด็นฟรีค่าธรรมเนียม (-15% YTD) ทำให้ Upside เปิดกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 235 บาท (ปรับลงจากเดิมที่ 264 บาท จากการปรับลดกำไรลง 9% เหลือ 3.7 หมื่นลบ. +8% Y-Y) ส่วนยอด Short Sales เฉลี่ยเดือนนี้ลดลงเหลือ 3 แสนหุ้นต่อวัน จากช่วงฟรีค่าธรรมเนียมที่มากถึง 8 แสนหุ้นต่อวัน เป็นไปได้ที่จะเห็นการ Cover Short ตามมา
- PTTGC (ไอร่า) เป้า 120 บาท คาดผลงาน Q1/61 ยังคงมีกำไรแข็งแกร่ง ปัจจัยหลักมาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจการกลั่นตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นจาก 1Q/60 และธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างสูงขึ้น พร้อมคาดกำไรจากสต็อกน้ำมันเล็กน้อย พร้อมคาดผลงานปี 61 จะโตต่อเนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคา HDPE ตามราคาน้ำมันดิบ โดยเมื่อราคา HDPE สูงจะส่งผลให้ margin ของผลิตภัณฑ์ HDPE สูงตามไปด้วย เนื่องจากการผลิตของ PTTGC เป็น Gas based ซึ่งจะได้เปรียบผู้ผลิตในสาย Naphtha based ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ PTTGC มีกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ประมาณ 66% พร้อมคาดราคา HDPE ในปี 61 จะยังคงยืนเหนือ 1,300 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
- IHL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 13 บาท วานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 11% คาดว่าจะมาจากการขายทำกำไรจากการแปลงวอแรนต์ และอีกส่วนมาจากคาดการณ์กำไรช่วง H1/61 จะยังไม่ตื่นเต้นเนื่องจากโรงงานใหม่ยังไม่เริ่มดำเนินการ อย่างไรก็ดีมองว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงมากเกินไป หากวันนี้ราคายังลดลงอีกถือเป็นโอกาสเข้า ซื้อ เพื่อรับการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังและอีกสองปีข้างหน้า
- SMPC (เออีซี) "ซื้อ" ปี 61 คาดกำไรเติบโต20.2%YoY จากแนวโน้มราคาขายถังแก๊สที่จะเพิ่มขึ้นตามอานิสงส์บวกของกการปรับขึ้นของราคาเหล็กบวกกับแผนขยายกำลังการผลิตจาก 8.2 ล้านใบ/ปีเป็น 10 ล้านใบ/ปี + ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 12.2% และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่ 5.2%
- PTTGC (ไอร่า) เป้า 120 บาท คาดผลงาน Q1/61 ยังคงมีกำไรแข็งแกร่ง ปัจจัยหลักมาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจการกลั่นตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นจาก 1Q/60 และธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างสูงขึ้น พร้อมคาดกำไรจากสต็อกน้ำมันเล็กน้อย พร้อมคาดผลงานปี 61 จะโตต่อเนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคา HDPE ตามราคาน้ำมันดิบ โดยเมื่อราคา HDPE สูงจะส่งผลให้ margin ของผลิตภัณฑ์ HDPE สูงตามไปด้วย เนื่องจากการผลิตของ PTTGC เป็น Gas based ซึ่งจะได้เปรียบผู้ผลิตในสาย Naphtha based ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ PTTGC มีกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ประมาณ 66% พร้อมคาดราคา HDPE ในปี 61 จะยังคงยืนเหนือ 1,300 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
- IHL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 13 บาท วานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 11% คาดว่าจะมาจากการขายทำกำไรจากการแปลงวอแรนต์ และอีกส่วนมาจากคาดการณ์กำไรช่วง H1/61 จะยังไม่ตื่นเต้นเนื่องจากโรงงานใหม่ยังไม่เริ่มดำเนินการ อย่างไรก็ดีมองว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงมากเกินไป หากวันนี้ราคายังลดลงอีกถือเป็นโอกาสเข้า ซื้อ เพื่อรับการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังและอีกสองปีข้างหน้า
- SMPC (เออีซี) "ซื้อ" ปี 61 คาดกำไรเติบโต20.2%YoY จากแนวโน้มราคาขายถังแก๊สที่จะเพิ่มขึ้นตามอานิสงส์บวกของกการปรับขึ้นของราคาเหล็กบวกกับแผนขยายกำลังการผลิตจาก 8.2 ล้านใบ/ปีเป็น 10 ล้านใบ/ปี + ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 12.2% และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่ 5.2%
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าทั้งแดนบวกและลบ นักลงทุนจับตารายงานการประชุมเฟด
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ทั้งแดนบวกและลบ ภายหลังจากที่ตลาดทั่วโลกต่างขานรับสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนที่กล่าวในการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม เมื่อวานนี้ โดยนักลงทุนยังคงจับตาปัจจัยที่จะเข้ามาชี้นำตลาด
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 30,960.72 จุด เพิ่มขึ้น 231.98 จุด, +0.75% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 21,750.43 จุด ลดลง 43.89 จุด, -0.20%
ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่นที่ได้มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมต่อเรือและสาธารณูปโภค ขยายตัว 2.1% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน สู่ระดับ 8.91 แสนล้านเยน (ประมาณ 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานญี่ปุ่นซึ่งเป็นดัชนีวัดการใช้จ่ายด้านทุนของบริษัทเอกชนของญี่ปุ่นนั้น ชะลอตัวลงจากเดือนม.ค.ที่ขยายตัวแข็งแกร่งถึง 8.2%
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ปรับตัวขึ้น 3.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมี.ค.
ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2561 ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย สู่ระดับ 6.0% จากระดับ 5.8% โดยได้ปัจจัยหนุนจากอุปสงค์การส่งออกที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ADB เตือนว่า มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และมาตรการตอบโต้ต่างๆ อาจสร้างความเสียหายต่อการค้าโลก
ขณะเดียวกัน ADB ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจจีนขึ้นสู่ระดับ 6.6% ในปี 2561 จากตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือนธ.ค.ซึ่งอยู่ที่ 6.4% ส่วนในปี 2562 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 6.4%
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ADB ได้เปิดเผยรายงานประจำปีชื่อว่า "แนวโน้มการพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Asian Development Outlook) ในวันนี้ โดยระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งไม่นับรวมญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีแนวโน้มขยายตัว 6.0% ในปี 2561 และ 5.9% ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวชะลอตัวลงจากปี 2560 ซึ่ง GDP มีการขยายตัว 6.1%
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผนรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 20-21 มี.ค. ในวันนี้ และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค. ในวันนี้เช่นกัน โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่ประชุมเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 72 จุด รับความหวังข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีนคลี่คลาย
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.) หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงส่งสัญญาณว่า จีนพร้อมเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,266.75 จุด เพิ่มขึ้น 72.00 จุด หรือ +1.00%
นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากที่ปธน.สี จิ้นผิง ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม ฟอร์ เอเชีย (BFA) โดยให้คำมั่นว่าจีนจะปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์และภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆบางประเภท รวมทั้งเปิดกว้างการเข้าถึงตลาดจีน
นอกจากนี้ ปธน.สี จิ้นผิงยังได้ให้คำมั่นบนเวทีประชุม BFA เมื่อวานนี้ว่า จีนจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งจะเพิ่มการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทต่างชาติ
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้น นำโดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 5.1% หุ้นอันโตฟากัสตา ดีดขึ้น 4.5% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 3.5%
หุ้นเกลนคอร์ ปรับตัวขึ้น 2.2% หลังจากนายอีวาน กลาเซนเบิร์ก ซีอีโอของเกลนคอร์ได้ลาออกจากการทำหน้าที่ผู้บริหารของบริษัทยูไนเต็ด คอมพานี รูซัล ของรัสเซีย ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรกับบริษัทและบุคลากรของรัสเซีย
ขณะที่หุ้น Evraz ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่และเหล็กที่ดำเนินงานในรัสเซีย และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ดีดตัวขึ้น 1.1% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 14% เมื่อวันจันทร์ อันเนื่องมาจากข่าวสหรัฐคว่ำบาตรรัสเซีย
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หลังถ้อยแถลงผู้นำจีนช่วยคลายกังวลสงครามการค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงส่งสัญญาณว่า จีนพร้อมเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่นๆบางประเภท
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 378.42 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,397.32 จุด เพิ่มขึ้น 135.57 จุด หรือ +1.11% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,307.56 จุด เพิ่มขึ้น 44.17 จุด หรือ +0.84% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,266.75 จุด เพิ่มขึ้น 72.00 จุด หรือ +1.00%
นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากปธน.สี จิ้นผิง ได้ให้คำมั่นในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม ฟอร์ เอเชีย (BFA) เมื่อวานนี้ว่า จีนจะปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์และภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆบางประเภท รวมทั้งเปิดกว้างการเข้าถึงตลาดจีน นอกจากนี้ จีนจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งจะเพิ่มการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทต่างชาติ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความโจมตีจีนซึ่งเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ สูงกว่าที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากจีน
หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้นขานรับถ้อยแถลงของปธน.สี จิ้นผิง โดยหุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 4.5% และหุ้นเดมเลอร์ เพิ่มขึ้น 1.2%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้น นำโดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 5.1% หุ้นอันโตฟากัสตา ดีดขึ้น 4.5% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 3.5% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 2% และหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.4%
หุ้นเกลนคอร์ ปรับตัวขึ้น 2.2% หลังจากนายอีวาน กลาเซนเบิร์ก ซีอีโอของเกลนคอร์ได้ลาออกจากการทำหน้าที่ผู้บริหารของบริษัทยูไนเต็ด คอมพานี รูซัล ของรัสเซีย ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรกับบริษัทและบุคลากรของรัสเซีย
หุ้น Evraz ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่และเหล็กที่ดำเนินงานในรัสเซีย และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ดีดตัวขึ้น 1.1% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 14% เมื่อวันจันทร์ อันเนื่องมาจากข่าวสหรัฐคว่ำบาตรรัสเซีย
ส่วนหุ้นหลุยส์ วิตตอง ทะยานขึ้น 4.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาสแรกปีนี้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 428.90 จุด หลังถ้อยแถลงผู้นำจีนปลดชนวนสงครามการค้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงส่งสัญญาณความพร้อมในการเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น พร้อมกับให้คำมั่นว่า จีนจะปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ โดยถ้อยแถลงดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มรถยนต์ของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,408.00 จุด พุ่งขึ้น 428.90 จุด หรือ +1.79% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,656.87 จุด เพิ่มขึ้น 43.71 จุด หรือ +1.67% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,094.30 จุด เพิ่มขึ้น 143.96 จุด หรือ +2.07%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากปธน.สี จิ้นผิง ได้ให้คำมั่นในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม ฟอร์ เอเชีย (BFA) เมื่อวานนี้ว่า จีนจะปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์และภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆบางประเภท รวมทั้งเปิดกว้างการเข้าถึงตลาดจีน
นอกจากนี้ ปธน.สี จิ้นผิงยืนยันว่า จีนจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งจะเพิ่มการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทต่างชาติ
ทางด้านปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเพื่อแสดงความขอบคุณปธน.สี จิ้นผิง โดยระบุว่า "ผมขอขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับปธน.สี จิ้นผิงที่ได้กล่าวเกี่ยวกับการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ รวมทั้งการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และการถ่ายโอนเทคโนโลยี เราจะสร้างความคืบหน้าที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน"
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความโจมตีจีนซึ่งเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ สูงกว่าที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากจีน
หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้นขานรับถ้อยแถลงของปธน.สี จิ้นผิง โดยหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) พุ่งขึ้น 3.3% หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 1.8% หุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ออโต้โมบิล พุ่งขึ้น 1.3%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 3% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอนโมบิล พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 2.5% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 4.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 6.7% และหุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 4.3%
หุ้นสปรินท์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 17% หลังจากวอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า ทางบริษัทได้เริ่มกลับมาเจรจาเพื่อควบรวมกิจการกับ ที-โมบาย ยูเอส อีกครั้ง ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นที-โมบาย ยูเอส พุ่งขึ้น 5.7%
หุ้นทัพเพอร์แวร์ แบรนด์ส คอร์ป ผู้ผลิตกล่องพลาสติกบรรจุอาหาร ร่วงลง 11% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสแรกปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจปรับตัวขึ้น 1.0% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2556
นักลงทุนจับตาการรายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ โดยเจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในวันศุกร์นี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานการประชุมประจำวันที่ 20-21 มี.ค.ของเฟดในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้เช่นกัน โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของเฟด หลังจากที่ประชุมเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่นักลงทุนให้ความสนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO7371