WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

25ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ในช่วงที่ปัจจัยตปท.ยังมีความไม่แน่นอน แต่มีลุ้นเกิดแรงเก็งกำไรกลุ่มทีวีดิจิทัล
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ โดยช่วงนี้เป็นช่วงที่จะต้องโฟกัสปัจจัยจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในเรื่องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ที่จะลดการขาดดุลการค้ากับจีน และเรื่องการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งตลาดฯก็คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ทุกคนก็ยังมองเห็นถึงความไม่แน่นอนอยู่ในหลายปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยจากสหรัฐฯที่จะต้องติดตาม อย่างสถานการณ์การเมือง หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตัดสินใจปลดพลโทเฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ
ขณะที่ปัจจัยในประเทศไม่ค่อยมีอะไร แต่ก็ยังมีลุ้นให้เกิดแรงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มทีวีดิจิทัล จากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พยายามที่จะเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนี้ ขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์อาจได้รับแรงกดดันจากที่มีข่าวออกมาว่า ทางการจะเข้ามาคุมเข้มมากขึ้นในเรื่องของการคิดดอกเบี้ย การติดตามหนี้
ด้านนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะปรับตัวลงกัน พร้อมให้แนวรับ 1,800 จุด ส่วนแนวต้าน 1,825 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 มี.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,873.66 จุด พุ่งขึ้น 115.54 จุด (+0.47%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,747.33 จุด ลดลง 2.15 จุด (-0.08%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,481.74 จุด ลดลง 15.07 จุด (-0.20%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 72.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.90 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 178.07 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 8.21 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.73 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 3.03 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.79 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 มี.ค.61) 1,816.08 จุด เพิ่มขึ้น 2.68 จุด (+0.15%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,043.09 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มี.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 มี.ค.61) ปิดที่ระดับ 61.19
ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 มี.ค.61) ที่ 7.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.24 อ่อนค่าจากแรงซื้อดอลล์หลังตัวเลขศก.สหรัฐฯออกมาดี, รอดูการประชุม FED
- "วิษณุ"หารือ ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ใช้ ม.44 พักชำระค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 3 ปี ลดค่าโครงข่าย 50% 2 ปี เสนอ คสช. 27 มี.ค. ขณะ"กสทช." เผยยังไม่ได้หารือประเด็นคืนใบอนุญาต ด้านสมาคมทีวีดิจิทัลระบุช่วยต่ออายุธุรกิจทีวีดิจิทัล หวังอีก 3 ปี สถานการณ์ดีขึ้น
- รัฐบาลสหรัฐกดดันจีน เร่งลดตัวเลขเกินดุลการค้าสหรัฐลง 100,000 ล้านดอลลาร์ "ทรัมป์"ขู่ถอนทหารออกจากเกาหลีใต้หากเจรจาการค้าไม่ได้ตามเป้า สรท.ชี้ผู้ประกอบการไทยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ควรเฝ้าระวัง
- "อุตตม" รับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชีวภาพยังไม่สามารถเสนอ "ครม." เพื่อรับการลงทุนขยายไปยังพื้นที่อื่นเชื่อมโยงกับอีอีซีได้ วงในแย้มยังติดปัญหาผังเมืองโดยเฉพาะพื้นที่ขอนแก่น มั่นใจไม่กระทบลงทุน ด้านกรมธุรกิจพลังงานรับลูกพาณิชย์เร่งวิเคราะห์ผลกระทบอียูแบนเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากน้ำมันปาล์ม
- ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 7-8% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ภาครัฐเดินหน้าพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ รวมไปถึงก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง ขณะที่หนี้สินภาคครัวเรือนยังเป็นปัจจัยที่จะต้องพิจารณาอย่างใกล้ชิด และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัว ปัจจุบันการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ อสังหาฯ ยังออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้เกิดการจ้างงานทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมจำนวนมาก
- ธปท.เตรียมแก้ไข กม.เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเมื่อเกิดวิกฤต ฟื้นบทบาทกองทุนฟื้นฟูฯ ย้ำแก้ไขปรับปรุงเผื่ออนาคตและทำช่วงที่สถาบันการเงินเข้มแข็ง เล็งปรับประมาณการเศรษฐกิจ หลังมีการฟื้นตัวชัดเจน เตือนผู้ส่งออกอย่าประมาทค่าเงินบาทยังมีความผันผวน ควรป้องกันความเสี่ยง
- ธปท.จ่อทบทวนจีดีพีปี 2561 ใหม่ หลังพบสัญญาณบวกหนุนเศรษฐกิจอื้อ ชูพระเอกหลัก "ส่งออก-ท่องเที่ยว-นำเข้าสินค้า" หอการค้ามองเศรษฐกิจโตได้ถึง 4.5%
*หุ้นเด่นวันนี้
- PTTEP (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 140 บาท เป็นหนึ่งใน top picks ในกลุ่มพลังงาน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสำหรับกำไรปี 2560-63 ที่ 30% หนุนจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและปริมาณยอดขายจะสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเล็งเห็น upside เพิ่มเติมได้ หาก PTTEP ชนะประมูลสัญญาสัมปทานแหล่งบงกช หรือกรณีที่ไปทำ M&A เพิ่มเติมได้
- JKN (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 16.80 บาท ปี 61 คาดกำไรโต 22.7%YoY หนุนด้วยดีมานต์ลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ซีรี่ย์เอเชียที่โตดีและแผนรุกตลาด CLMV ที่โตดีพร้อมรุกขยายตลาดกลุ่ม CLMV มากขึ้น + Upside 15.1% และแจก JKN-W1 ให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นสามัญ : 1 warrant จำนวน 108 ล้านหน่วย (อัตราใช้สิทธิ 1:1, ราคาใช้สิทธิ 15 บาท, อายุ 2 ปี, XW 2 พ.ค.)
- IRPC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท แนวโน้มกำไร Q1/61 สดใส จาก Margin ทั้ง HDPE และ Propylene ที่สูงต่อเนื่อง พร้อมคาดกำไรปกติปีนี้ +22% Y-Y เป็น 1.33 หมื่นลบ. สูงสุดในกลุ่มเพราะ 1) การขยายการผลิต PPE, PPC 2) ประสิทธิภาพโรงกลั่นดีขึ้น 3) ไม่มีแผนปิดซ่อม 4) ประโยชน์จากโครงการ UHV ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้โพรพิลีน 5) รับรู้รายได้เต็มปีจาก IRPC Clean Power และคาดปันผล 4.5% ต่อปี สูงไม่แพ้ตัวอื่นในกลุ่ม PTT

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าอ่อนตัวลง ขณะนลท.จับตาการเมืองและนโยบายการค้าสหรัฐ
        ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้อ่อนตัวลง ในขณะที่ตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในสหรัฐและยุโรป ภายหลังจากสื่อต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เตรียมปลดพลโท เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ อย่างไรก็ดี นักลงทุนได้ซึมซับข่าวการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัสเซียโดยรัฐบาลสหรัฐแล้ว ในขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์นโยบายการค้าของสหรัฐว่า จะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของจีนตามที่มีรายงานข่าวหรือไม่
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 21,750.59 จุด ลดลง 53.36 จุด, -0.24% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 31,442.49 จุด ลดลง 98.61 จุด, -0.31% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,841.79 จุด ลดลง 3.48 จุด, -0.19%
สื่อต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงวอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เตรียมปลดพลโท เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ
รายงานระบุว่า ขณะนี้ปธน.ทรัมป์กำลังเฟ้นหาบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนพลโทแมคมาสเตอร์ ก่อนที่จะประกาศการตัดสินใจดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้พลโทแมคมาสเตอร์รู้สึกอับอายขายหน้า
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศปลดนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งด้านนโยบายต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยปธน.ทรัมป์ได้แต่งตั้งนายไมค์ ปอมเปโอ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ให้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศแทนนายทิลเลอร์สัน และให้นางจีน่า แฮสเปล รองผอ.CIA ขึ้นเป็นผอ.CIA คนใหม่
กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัสเซียจำนวน 13 คน รวมทั้งหน่วยงานของรัสเซียอีกจำนวนหนึ่ง ในข้อหาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2559
มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวจะส่งผลให้มีการอายัดทรัพย์สิน และผลประโยชน์ในทรัพย์สินที่อยู่ในสหรัฐของผู้ที่ถูกคว่ำบาตร และผู้ที่อยู่ในสหรัฐจะถูกห้ามมิให้ทำธุรกรรมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่ถูกคว่ำบาตร
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ สิงคโปร์เผยยอดส่งออกที่ไม่นับรวมน้ำมันอ่อนตัวลง 5.9% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับสถิติปีที่แล้ว เนื่องจากตรงกับช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งตรงกับเดือนก.พ.ในปีนี้ ขณะที่เมื่อปีที่แล้วเทศกาลตรุษจีนตรงกับช่วงปลายเดือนม.ค.
สถิติที่ปรับตัวลงดังกล่าว นับเป็นการส่งสัญญาณความเสี่ยงที่สูงขึ้นสำหรับสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการค้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 7.07 จุด รับหุ้นเทสโก้พุ่ง,นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไร
        ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเทสโก้ พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากตลาดปิดร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,139.76 จุด เพิ่มขึ้น 7.07 จุด หรือ +0.10%
ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากตลาดร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม
หุ้นเทสโก้ พุ่งขึ้น 1.8% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเทสโก้ขึ้นสู่ระดับ "overweight "
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากหุ้นยูนิลีเวอร์ที่ร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนการผนวกรวมสำนักงานใหญ่ 2 แห่งในเมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ แทนที่จะดำเนินการดังกล่าวในกรุงลอนดอน โดยการตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นแม้รัฐบาลอังกฤษยืนยันว่า การแยกตัวออกจาสหภาพยุโรป (Brexit) จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศก็ตาม
นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายและจับตาข้อพิพาททางการเมือง หลังจากมีรายงานว่า รัสเซียจะขับไล่นักการทูตของสหราชอาณาจักรในไม่ช้า เพื่อตอบโต้อังกฤษที่ได้ประกาศขับนักการทูตรัสเซีย 23 คนก่อนหน้านี้
นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศขับนักการทูตรัสเซีย หลังรัสเซียปฏิเสธที่จะชี้แจงกรณีมีการใช้สารพิษทำลายระบบประสาทโจมตีอดีตสายลับรัสเซียและลูกสาวของเขาเมื่อต้นเดือนนี้ โดยสารเคมีที่ใช้ในการโจมตีดังกล่าวอยู่ในกลุ่มสารพิษทำลายระบบประสาทที่รัสเซียพัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "Novichok"

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก จากแรงซื้อเก็งกำไร,หุ้นกลุ่มประกันพุ่ง
         ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดปิดในแดนลบติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยหุ้นกลุ่มประกันนำตลาดดีดตัวขึ้น หลังจากที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 376.88 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,345.56 จุด เพิ่มขึ้น 107.82 จุด หรือ +0.88% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,139.76 จุด เพิ่มขึ้น 7.07 จุด หรือ +0.10% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,267.26 จุด เพิ่มขึ้น 33.90 จุด หรือ +0.65%
นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้านี้ นำโดยหุ้นกลุ่มประกันที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นแอสซีคูราซิโอนี เจเนอราลี ซึ่งเป็นบริษัทประกันของอิตาลี พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากบริษัทประกาศปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลประจำปีงบการเงิน 2560 ให้กับผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทมีผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีงบการเงินดังกล่าว
หุ้นเทสโก้ พุ่งขึ้น 1.8% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเทสโก้ขึ้นสู่ระดับ "overweight "
หุ้นสไปแร็กซ์-ซาร์โค เอ็นจิเนียริง ทะยานขึ้น 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด
อย่างไรก็ตาม ยูนิลีเวอร์ร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนการผนวกรวมสำนักงานใหญ่ 2 แห่งในเมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ แทนที่จะดำเนินการดังกล่าวในกรุงลอนดอน โดยการตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นแม้รัฐบาลอังกฤษยืนยันว่า การแยกตัวออกจาสหภาพยุโรป (Brexit) จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศก็ตาม
หุ้น H&M Hennes & Mauritz ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าแฟชั่น ร่วงลง 3.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปที่มีการเปิดเผยล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส (Insee) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากที่เพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนม.ค.
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานชะลอลงแตะ 0.8% เทียบรายปี หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนม.ค.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 115.54 จุด รับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง
      ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานปรับตัวลดลง และดัชนีภาคการผลิตในรัฐนิวยอร์กซึ่งขยายตัวได้ดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,873.66 จุด พุ่งขึ้น 115.54 จุด หรือ +0.47% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,747.33 จุด ลดลง 2.15 จุด, -0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,481.74 จุด ลดลง 15.07 จุด หรือ -0.20%
ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 226,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 158 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์นั้น ลดลง 750 ราย สู่ระดับ 221,500 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) พุ่งขึ้น 9.0 จุด สู่ระดับ 22.5 จุดในเดือนมี.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 15 จุด
ทั้งนี้ ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่
หุ้นอาลีบาบาซึ่งมีการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากสื่อรายงานว่า อาลีบาบามีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน โดยคาดว่าการจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน หากทางการจีนมีการปรับกฎระเบียบที่เอื้อต่อการจดทะเบียนของบริษัทต่างชาติ
หุ้นดอลลาร์ เจเนอรัล ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ดีเกินคาดในไตรมาส 4/2560 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้
หุ้นโบอิ้ง ขยับลง 0.1% หลังจากที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระหว่างวัน ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า บริษัทโบอิ้งอาจได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันให้จีนปรับลดยอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 1 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO6574

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!