WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

2 1ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวด์กรอบจำกัด หลังตลาดตปท.สดใส แต่ยังจับตากรณีอาจยื่นตีความกม.เลือกตั้ง-แรงซื้อต่างชาติ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้น่าจะดีดตัวขึ้นได้ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ จากข้อมูลตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามการรีบาวด์ของดัชนีหุ้นไทยน่าจะยังอยู่ในกรอบจำกัด แม้นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมากเมื่อวันศุกร์ แต่ภาพการลงทุนยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เพราะนักลงทุนต่างชาติยังคงเปิดสถานะ short ในตลาดฟิวเจอร์สอยู่มาก
นอกจากนี้ตลาดยังจับตากรณีที่อาจมีผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะที่ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทยยังเป็นภาพ Positive
พร้อมให้แนวรับที่บริเวณ 1,770 จุด และแนวต้านที่บริเวณ 1,790 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 มี.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,335.74 จุด เพิ่มขึ้น 440.53 จุด(+1.77%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,786.57 จุด เพิ่มขึ้น 47.60 (+1.74%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,560.81 จุด เพิ่มขึ้น 132.86 จุด (+1.79%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 356.90 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 12.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 540.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 44.17 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 26.19 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 33.68 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเพิ่มขึ้น 7.74 จุด,ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 26.00 จุด,ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 69.74 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 มี.ค.61) 1,775.37 จุด ลดลง 3.53 จุด (-0.20%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,787.42 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 มี.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 มี.ค.61) ปิดที่ระดับ 62.04
ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.92 ดอลลาร์ หรือ 3.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 มี.ค.61) ที่ 7.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.31 มองกรอบวันนี้ 31.25-31.40 ตลาดรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ-ยอดค้าปลีกสหรัฐฯสัปดาห์นี้
- ผู้ประกอบการเหล็ก เผยมาตรการกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐ ส่งผลราคาวัตถุดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้น เผยราคาเหล็กพุ่ง 20-25% ขณะเศษเหล็กพุ่ง 10-15% กระทบอุตสาหกรรมเหล็กไทยโดยตรง ผู้ประกอบการปรับตัวชะลอซื้อสินค้ารอดูสถานการณ์
- ธปท. ระบุว่าการที่คนไทยเริ่มหันไปชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น ส่งผลให้ความถี่ในการเพิ่มธนบัตรหมุนเวียนเข้าสู่ระบบช้าลงเรื่อย ๆ คาดว่าธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนในระบบหลังจากนี้อาจจะมีอายุยาวขึ้นกว่าเดิมได้ โดยปัจจุบันอายุการหมุนเวียนธนบัตรเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ปี อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานจะเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
- สคร.จ่อชงบอร์ดพีพีพีไฟเขียวดึงเอกชนร่วมแจมโครงการรถไฟฟ้าในหัวเมืองใหญ่ "เชียงใหม่-ขอนแก่น" พร้อมผุด "ระยองโมเดล" สนองนโยบายรัฐ คลอดแผนแม่บทก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเมืองระยอง
- คลังลุยยกเครื่องกฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เล็งรีดเงินจากสถาบันการเงินเพิ่ม ส่งเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อช่วยเหลือกรณีมีปัญหา
- กระทรวงดีอีได้เร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี)โดยมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดทั้ง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ไปเร่งรัดดำเนินการ เพื่อรองรับความต้องการใช้งานใน ปี 2562 เป็นต้นไป เพราะเมื่อพื้นที่อีอีซีมีการพัฒนาอย่างเสร็จสมบูรณ์ เชื่อว่าความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านจะค่อยๆ ขยับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี จะสูงกว่า 3% แต่ในรายละเอียดของการให้โปรโมชั่นในระยะ 1-3 ปี จะแตกต่างกันไป ตามแต่ละธนาคาร และแต่ละโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นพันธมิตร ซึ่งบางรายอาจคงดอกเบี้ยต่ำปีแรกและปีถัดไปลอยตัว บางรายนำเสนอดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก
- สนพ.คาดว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก)ในปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 3.1 หมื่นเมกะวัตต์ หรือขยายตัวมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 1% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคำนวณจากการใช้ไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เป็นหลัก ขณะที่การใช้มาตรการลดใช้พลังงานด้วยความสมัครใจ (ดีมานด์ เรสปอนส์) ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในช่วงเวลาดังกล่าว ด้านพพ.อยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินโครงการโซลาร์รูฟท็อปเสรีซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการรับซื้อไฟเข้าระบบในอัตราที่ต่ำกว่าที่กฟผ.จำหน่าย ปริมาณที่มากกว่า 300 เมกะวัตต์โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ในช่วงเม.ย.นี้

*หุ้นเด่นวันนี้

- BGRIM (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท มีมุมมองเชิงบวกโดยเฉพาะโครงการ solar farm ในเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 400MW ที่บริษัทถือหุ้น 55%เห็นพัฒนาการที่ดี ปัจจุบันได้มีการเซ็น Termsheet กับ local partners เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศดีลอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือนเม.ย.61 ในขณะที่โครงการในอนาคตอื่นๆคาดยังคงเป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้ โดยยังคงประเมินกำไรเติบโตโดดเด่นเฉลี่ย 24% ต่อปี (CAGR 2560-2565) ผลประกอบการ 1Q61 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง QoQ, และ YoY หลัง COD โรงไฟฟ้า ABPR3 ใน 1 ก.พ.61 ที่ผ่านมาขนาดกำลังผลิตตามสัดส่วน 74MW ในขณะที่ในปี 61 มีโครงการโรงไฟฟ้าที่จะ COD เพิ่มเติมในปีนี้มีทั้งสิ้น 5 โครงการกำลังการผลิตตามสัดส่วนรวม 264MW
- BJC (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 68 บาท โดยคาดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ถูกผลักดันจากการขยายกำลังการผลิต ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตจากการออกสินค้าใหม่ ธุรกิจสินค้าเวชภัณฑ์และเทคนิคได้ผลบวกจากลูกค้าเพิ่มขึ้นและเงินบาทแข็งค่า ส่วนธุรกิจค้าปลีกเติบโตจากการเปิดสาขาและขยายฐานลูกค้า รวมทั้งมีโอกาสขยายไปต่างประเทศ สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโตจากการขยายกำลังการผลิตขวดแก้วตามแผนใน 4Q60 และ 3Q61 ทำให้กำลังการผลิตในไทยเพิ่มขึ้น 26% เป็น 3,435 ตัน/ปี รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตซึ่งช่วยชดเชยกับต้นทุนเศษแก้วที่เพิ่มขึ้นได้ ธุรกิจกระป๋องมีการทำสัญญาซื้อแผ่นอลูมิเนียมที่ใช้ผลิตกระป๋องไว้ล่วงหน้าและเงินบาทแข็งค่าขึ้น จึงไม่ถูกกระทบจากราคาแผ่นอลูมิเนียมที่ปรับตัวขึ้น กรณีที่ CBG จะเริ่มผลิตกระป๋องเองในต้นปี 62 นั้น คาดผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนไม่เกิน 1% ของยอดขาย BJC และ BJC คาดจะหาลูกค้ามาทดแทนได้ ส่วนการที่กลุ่มไทยเบฟฯ เข้าซื้อ Sabeco Beer เวียดนามทำให้ธุรกิจกระป๋องของ BJC ที่เวียดนามมีโอกาสขายเพิ่มขึ้น
- BEM (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 10 บาท โดย BEM รายงานยอดผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าเดือนก.พ. เติบโตดีทั้ง 2 ธุรกิจ โดยปริมาณรถบนทางด่วน +3% Y-Y หนุนจากศรีรัช-รอบนอก ส่วนจำนวนผู้โดยสารในรถไฟฟ้า +7.6% Y-Y อยู่ที่ 3.22 แสนเที่ยว/วัน ซึ่งดูจะขัดแย้งกับราคาหุ้นที่ลง 7% YTD ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปีนี้ +18% Y-Y อยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับตัวเลขจ้างงานสหรัฐดีเกินคาด
          ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดระดับเหนือ 25,000 จุดเมื่อวันศุกร์ ขานรับข้อมูลตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,826.10 จุด เพิ่มขึ้น 356.90 จุด, +1.66% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,319.21 จุด เพิ่มขึ้น 12.04 จุด, +0.36% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 31,536.30 จุด เพิ่มขึ้น 540.09 จุด, +1.74% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,908.99 จุด เพิ่มขึ้น 44.17 จุด, +0.41% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,485.64 จุด เพิ่มขึ้น 26.19 จุด, +1.06% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,519.25 จุด เพิ่มขึ้น 33.68 จุด, +0.97% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,851.66 จุด เพิ่มขึ้น 7.74 จุด, +0.42%

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 313,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% สู่ระดับ 26.75 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาระบุว่า เขาจะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% จากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) จาก และยังส่งสัญญาณยกเว้นภาษีให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดสงครามการค้า หากประเทศเหล่านี้เจรจาและสามารถตกลงกับสหรัฐได้ว่าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมของพวกเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 21.27 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นยุโรป
        ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ก.พ.) ตามทิศทางตลาดหุ้นยุโรป ที่ได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นสหรัฐมาอีกทอดหนึ่ง หลังการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้

ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 21.27 จุด หรือ +0.30% ปิดที่ 7,224.51 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนและตลาดหุ้นยุโรปต่างปิดปรับตัวขึ้นหลังได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นสหรัฐ ที่พุ่งขึ้นหลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 313,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% สู่ระดับ 26.75 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลที่ว่าภาวะเงินเฟ้ออาจสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) มองว่าอัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคยังไม่เพียงต่อการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่มีผลต่อการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.ของสหราชอาณาจักร ที่ขยายตัว 1.3% ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 1.5% ขณะที่การขาดดุลการค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นที่ 3.4 พันล้านปอนด์ แตะที่ระดับ 8.7 พันล้านปอนด์ ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนจนถึงเดือนม.ค. โดยสาเหตุหลักมาจากการส่งออกเชื้อเพลิงที่ลดลง และการนำเข้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
ด้านหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง จีเคเอ็น พีแอลซี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.3% หลังการประกาศควบรวมกิจการด้านเพลาขับร่วมกับบริษัทดาน่า อิงค์ มูลค่ากว่า 6.1 พันล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน หุ้นบริษัทสินค้าหรูหราอย่างเบอร์เบอร์รี่ กรุ๊ป พีแอลซี ปรับตัวขึ้น 1.4% หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังข้อมูลจ้างงานสหรัฐแข็งแกร่งเกินคาด
        ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 มี.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นของสหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่บริษัทในยุโรปเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก หลังการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.4% ปิดที่ 378.24 จุด ขณะที่ตลอดทั้งสัปดาห์ปรับตัวขึ้น 3.1%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,274.40 จุด เพิ่มขึ้น 20.30 จุด หรือ +0.39% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,346.68 จุด ลดลง 8.89 จุด หรือ -0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,224.51 จุด เพิ่มขึ้น 21.27 จุด หรือ +0.30%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นหลังได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นสหรัฐ ที่พุ่งขึ้นหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 313,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% สู่ระดับ 26.75 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลที่ว่าภาวะเงินเฟ้ออาจสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนม.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 239,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนก.พ. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 287,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,000 ตำแหน่ง ขณะที่ตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นที่ระดับ 63%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกกดดันจากมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% จากประเทศต่างๆ ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งอาจเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดสงครามการค้า
ด้านนางเซซิเลีย มาล์มสตรอม กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาเรียกร้องว่า EU ควรได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% เช่นกัน เนื่องจาก EU เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐ
นอกจากนี้ นางมาล์มสตรอมยังกล่าวอีกด้วยว่า เธอต้องการคำชี้แจงที่ชัดเจนจากสหรัฐเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวในเร็วๆนี้ และจะพูดคุยร่วมกับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่กรุงบรัสเซลส์ในวันนี้
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่มีผลต่อการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ยังรวมถึงตัวเลขส่งออกที่ปรับตามฤดูกาลของเยอรมนีที่ดิ่งลงถึง 0.5% ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลงที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานปรับตัวลงเช่นกันที่ 0.1% ในเดือนม.ค. โดยทั้ง 2 ข้อมูลนี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง
ด้านข้อมูลหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นกลุ่มเหล็กอย่างอาร์ซีลอร์ มิททัล เอ็สเอ ที่ปรับตัวลง 0.6% หลังได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์
ขณะเดียวกัน หุ้นบริษัทให้บริการเสี่ยงโชคออนไลน์อย่าง จีวีซี โฮลดิงส์ พีแอลซี กลับปรับตัวขึ้นถึง 5% หลังการเปิดเผยผลกำไรประจำปี 2560 ที่พุ่งขึ้นถึง 24% เมื่อเทียบรายปี อยู่ที่ 896.1 ล้านยูโร

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 440.53 จุด รับตัวเลขจ้างงานดีเกินคาด
        ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (9 มี.ค.) โดยปิดที่ระดับเหนือ 25,000 จุด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา ขานรับข้อมูลตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า เขาจะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,335.74 จุด เพิ่มขึ้น 440.53 จุด หรือ +1.77% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,560.81 จุด เพิ่มขึ้น 132.86 จุด หรือ +1.79% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,786.57 จุด เพิ่มขึ้น 47.60 จุด หรือ +1.74%
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 3.3% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 4.2% เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวขึ้น 3.5%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 313,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% สู่ระดับ 26.75 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนม.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 239,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนก.พ. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 287,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,000 ตำแหน่ง ขณะที่ตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นที่ระดับ 63%
ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐออกมาระบุว่า เขาจะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% จากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) จาก และยังส่งสัญญาณยกเว้นภาษีให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดสงครามการค้า หากประเทศเหล่านี้เจรจาและสามารถตกลงกับสหรัฐได้ว่าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมของพวกเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ว่า ทรัมป์ได้ตกลงที่จะพบปะกับนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากที่นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้แสดงเจตจำนงในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างการหารือร่วมกับคณะผู้แทนเกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในส่วนของข้อมูลหุ้นอื่นๆนั้น หุ้นกลุ่มธนาคารอย่างโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 1.7% หลังหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า นายลอยด์ แบลงค์ไฟน์ ประธานบริหาร เตรียมเกษียณอายุภายในสิ้นปีนี้
ด้านหุ้นบิ๊กล็อตส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าลดราคา ดิ่งลงถึง 10% หลังยอดขายสินค้าในไตรมาสที่สี่ปรับตัวลง 0.1% สวนทางกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 1.3%
ขณะเดียวกัน หุ้นกุล่มยานยนต์อย่างดาน่า อิงค์ ปรับตัวขึ้น 3.6% หลังการประกาศควบรวมกิจการในส่วนธุรกิจเพลาขับร่วมกับบริษัทจีเคเอ็น พีแอลซี ในมูลค่ารวม 6.1 พันล้านดอลลาร์
--อินโฟเควสท์

OO6275
 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!