WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

21ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามตลาดตปท. สอดคล้อง Bond Yield สหรัฐฯอ่อนลง-เงินดอลลาร์อ่อนค่า
      นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ตามตลาดต่างประเทศ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์ได้ฟื้นตัวแรง และส่งผลให้ตลาดในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวก ซึ่งสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ (Bond Yield) ที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงด้วย ทำให้นักลงทุนก็กล้าที่จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
นอกจากนี้ สหรัฐฯยังมีการเปิดเผยถึงแผนลงทุนในอนาคต ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ อย่างไรก็ดีให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของสหรัฐฯในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาด 1.9% ถ้าออกมามากกว่านี้ก็มีความเสี่ยงทำให้ Bond Yield อาจพุ่งสูงขึ้นอีกรอบได้
พร้อมให้นแนวรับ 1,794 จุด ส่วนแนวต้าน 1,820 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ก.พ.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,601.27 จุด พุ่งขึ้น 410.37 จุด (+1.70%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,656.00 จุด เพิ่มขึ้น 36.45 จุด (+1.39%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,981.96 จุด เพิ่มขึ้น 107.47 จุด (+1.56%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 250.72 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 21.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 390.52 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 17.51 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 19.09 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.64 จุด
ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ก.พ.61) 1,799.45 จุด เพิ่มขึ้น 13.00 จุด (+0.73%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,151.33 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ก.พ.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ก.พ.61) ปิดที่ระดับ 59.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ขยับขึ้น 9 เซนต์ หรือเกือบ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ก.พ.61) ที่ 7.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.64 แกว่งในกรอบ ตลาดรอติดตามความเห็นทิศทางเศรษฐกิจของกนง.กลางสัปดาห์นี้
- "แบงก์ชาติ" ออกหนังสือเวียน กำชับธนาคารพาณิชย์ ห้ามยุ่งเกี่ยว "เงินดิจิทัล" ทั้งลงทุน ซื้อขาย ให้คำแนะนำ ตลอดจนห้ามใช้บัตรเครดิตรูดซื้อ ห่วงเกิดปัญหาตาม เหตุระบุผู้ออกไม่ได้ แถมยังไร้สินทรัพย์อ้างอิง ด้านสมาคมแบงก์ฯ ย้ำ เงินดิจิทัลไม่ใช่ธุรกรรมหลักแบงก์ ขณะวงการคริปโตเคอเรนซี เชื่อเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว เพื่อรอความชัดเจนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- คลัง มั่นใจภาษีที่ดิน มีผลบังคับใช้ทันปีหน้า อัตราเพดานจัดเก็บ ลดลง 40% จากร่างเดิม ช่วยรัฐเพิ่มรายได้ ในระยะแรก 2.5 พันล้านบาทต่อปี ด้านผู้เชี่ยวชาญ ภาษีแนะเปลี่ยนการถือครองที่ดินจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล ช่วยลดภาระภาษี เชื่อเจ้าสัวเตรียมจัดตั้งบริษัทถือครองที่ดินมากขึ้น
- ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันลง 1.4126 บาท/กิโลกรัม (กก.) จากเดิมที่กองทุนน้ำมันชดเชยที่ 4.7880 บาท/กก. เป็นชดเชย 3.3754 บาท/กก. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. 2561 เป็นต้นไป โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 19.82 บาท/กก.
- ธปท.คาดสินเชื่อแบงก์ปีนี้โต 6-8% เอ็นพีแอลทรงตัวที่ 2.9% จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้น แต่ต้องจับตาสินเชื่อบ้านหนี้เสียยังเพิ่ม จากกลุ่มเอสเอ็มอีบุคคล เผยแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์ปีนี้ลดลง ถูกกระทบจากโอนเงินพร้อมเพย์ที่เพิ่มขึ้น
*หุ้นเด่นวันนี้
- SVOA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อลงทุน"เป้า 3.50 บาท กำไรของ LIT ที่ออกมาดีเป็นบวกกับ SVOA จากการถือหุ้นอยู่ 35% โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/60 ของ SVOA ที่ทำไว้ 29 ล้านบาท อาจต่ำเกินไป ขณะที่ถ้ากำหนดให้ปัจจัยอื่นคงที่ การปรับขึ้นของ LIT ทุก 0.20 บาท/หุ้น จะเป็นบวกกับ SVOA 0.02 บาท/หุ้น Valuation ยังถูกมาก PE2561 เพียง 11 เท่า
- S11 (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 10.20 บาท คาดปี 61 กำไรเติบโตก้าวกระโดด โดยคาดกำไรปี 61 ที่ 527 ล้านบาท (EPS 0.86) เติบโต 28% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยาย Dealer ,การออกรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ของ Honda เบื้องต้นคาด Loans Growth ที่ 15% ในขณะที่ Spread ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 24% จากปี 60 ซึ่งอยู่ที่ 23.84% จาก NPL ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นไม่มากทำให้ไม่ต้องตัดจำหน่ายดอกเบี้ยรอตัดบัญชีมากเหมือนปี 60 คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นทำให้ Credit Cost ปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติที่ 6.4% จากปี 60 ซึ่งอยู่ที่ 7.40% ในขณะที่ Cost to Income ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 21.80% จากค่าใช้จ่ายพนักงานจากการรับพนักงานเพิ่มขึ้นเพิ่มรองรับการเติบโตในอนาคต ด้านราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ FW PE 61 เพียง 9.47 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นในกลุ่ม Leasing ซึ่งเทรดที่ FW PE 61 ที่ 15 เท่า
- AMANAH (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 ฟื้นตัวขึ้นจากพอร์ตสินเชื่อที่โตขึ้นและหนี้เสียที่ชะลอตัวลง การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดเป็นบวกต่อต้นทุน อีกทั้งราคาปัจจุบันซื้อขายที่เพียง PER 2561 ที่ 12x ถูกกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มมาก
- VNT (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดรายงานไตรมาส 4/60 มีกำไรโดดเด่นจากการไม่มีรายการพิเศษเช่น 3 ไตรมาสแรก ขณะที่ราคา Caustic soda ในระดับสูง คาดส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2561 ราคาที่ผ่าน 29.50 บาท ทำให้มีลุ้นทดสอบแนวต้าน 35 บาท

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐ
       ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ตลาดอาจจะมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่ตลาดหุ้นโตเกียวได้กลับมาเปิดทำการในวันนี้อีกครั้งหลังจากปิดทำการไปเมื่อวานนี้ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวสูงขึ้น
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 30,102.30 จุด เพิ่มขึ้น 642.67 จุด, +2.18% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 21,668.05 จุด เพิ่มขึ้น 285.43 จุด, +1.33% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,832.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.11 จุด, +0.12%
ทั้งนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นจะได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้ว่าการต่อไปอีกสมัย ซึ่งกระแสคาดการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความต่อเนื่องของการใช้นโยบายการเงิน
นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่า จะเป็นปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และยังบ่งชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เช่นกัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ในวันพุธ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในวันพฤหัสบดี ซึ่งหากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็อาจส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 84.63 จุด ขานรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่ง
      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.พ.) โดยได้ปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงาน ยังช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,177.06 จุด เพิ่มขึ้น 84.63 จุด หรือ +1.19%
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยปัจจัยล่าสุดมาจากรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยมีการเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหม และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.4% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 1.9% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ทะยานขึ้น 2.4%
หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเพย์ทีวีรายใหญ่ของอังกฤษ ขยับขึ้น 0.8% หลังจากบริษัททเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ระบุว่า ทางบริษัทจะจัดตั้งทีมบรรณาธิการอิสระ และจะยังคงธุรกิจบริการภายใต้แบรนด์สกาย ในประเทศอังกฤต่อไปอีกอย่างน้อย 5 ปี

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับตลาดวอลล์สตรีทพุ่ง,หุ้นเหมือง-พลังงานฟื้นตัว
       ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ก.พ.) ขานรับดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่งติดต่อกัน 2 วันทำการ โดยปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ ซึ่งครอบคลุมถึงการเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหม และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นด้วย
ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.2% ปิดที่ 372.93 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,282.77 จุด เพิ่มขึ้น 175.29 จุด หรือ +1.45% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,140.06 จุด เพิ่มขึ้น 60.85 จุด หรือ +1.20% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,177.06 จุด เพิ่มขึ้น 84.63 จุด หรือ +1.19%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งติดต่อกัน 2 วันทำการ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไร และรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยมีการเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหม และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.4% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 1.9% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ทะยานขึ้น 2.4%
หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเพย์ทีวีรายใหญ่ของอังกฤษ ขยับขึ้น 0.8% หลังจากบริษัททเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ระบุว่า ทางบริษัทจะจัดตั้งทีมบรรณาธิการอิสระ และจะยังคงธุรกิจบริการภายใต้แบรนด์สกาย ในประเทศอังกฤต่อไปอีกอย่างน้อย 5 ปี
หุ้นทีดีซี เอ/เอส ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารของเดนมาร์ก ทะยานขึ้น 13% หลังจากมีรายงานว่า คณะผู้บริหารของทีดีซีอาจจะถอนตัวจากการเสนอซื้อกิจการบริษัทโมเดิร์น ไทม์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นธุรกิจบันเทิงของนอร์เวย์
หุ้นแอร์บัส ร่วงลง 1.2% หลังจากบริษัทออกมายอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ของเครื่องบินรุ่น A320neo
หุ้นสายการบินแอร์ ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ร่วงลง 3.6% จากข่าวที่ว่า สหภาพพนักงานของสายการบินแอร์ ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม วางแผนที่จะผละงานประท้วงในวันที่ 22 ก.พ.นี้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 410.37 จุด จากแรงซื้อเก็งกำไร,ทรัมป์เผยแผนงบประมาณ
      ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (12 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยมีการเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหม และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,601.27 จุด พุ่งขึ้น 410.37 จุด หรือ +1.70% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,981.96 จุด เพิ่มขึ้น 107.47 จุด หรือ +1.56% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,656.00 จุด เพิ่มขึ้น 36.45 จุด หรือ +1.39%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 5.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยมีการเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหม และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค รวมทั้งการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก
ทั้งนี้ แผนงบประมาณดังกล่าว มีการจัดสรรงบประมาณวงเงิน 7.16 แสนล้านดอลลาร์สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการทหาร และการรักษาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐ ขณะที่มีการจัดสรรงบ 2 แสนล้านดอลลาร์สำหรับการใช้จ่ายด้านโครงการสาธารณูปโภค และตั้งวงเงินมากกว่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน และการตรวจคนเข้าเมือง
นอกจากนี้ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดดุลงบประมาณ แผนงบประมาณฉบับนี้ได้เสนอให้มีการตัดงบประมาณในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายด้านกลาโหม ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ 3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 10 ปี
นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า การที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่เกิดขึ้นจากการที่ตลาดเข้าสู่ระยะพักฐาน ขณะที่ปัจจัยลบอีกส่วนหนึ่งมาจากความวิตกกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดในปีนี้
หุ้นควอลคอมม์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชิพโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ระดับโลก พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทบรอดคอมซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐ ได้รับเงินกู้มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการเสนอซื้อกิจการของควอลคอมม์
ในช่วงต้นเดือนก.พ. บรอดคอมได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการควอลคอมในวงเงิน 1.21 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากข้อเสนอครั้งแรกในเดือนพ.ย.ปีที่แล้วในวงเงิน 1.03 แสนล้านดอลลาร์ แต่ควอลคอมก็ได้ปฏฺเสธข้อเสนอทั้ง 2 ครั้งจากบรอดคอม โดยระบุว่าให้ราคาต่ำเกินไป
หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทคอมคาสท์ อาจยื่นข้อเสนอซื้อธุรกิจบันเทิงของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 0.85% หุ้นเชฟรอน ขยับขึ้น 0.4% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.6%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐ พร้อมกับจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ในวันพุธ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในวันพฤหัสบดี ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็อาจส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)เดือนม.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.พ. จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค., ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO5435
 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!