WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

33ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ฟื้นตัวตามสัญญาณหุ้นโลก-เงินบาทกลับมาแข็งค่าช่วยกระตุ้นให้เก็งกำไรในระยะสั้น

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้น เนื่องจากหุ้นโลกมีสัญญาณการฟื้นตัว โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกราว 0.3% หลังจากที่ดาวโจนส์ได้พลิกเป็นบวกได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

     นอกจากนี้ บ้านเราเงินบาทก็กลับมาแข็งค่าเล็กน้อย ซึ่งทำให้ช่วยกระตุ้นให้มีการเก็งกำไรในระยะสั้นได้ และช่วงนี้ก็ยังอยู่ในช่วงของการทยอยประกาศผลประกอบการของ Real Sector ด้วย แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ (Bond Yield) ก็ยังยืนในระดับสูงอยู่ที่ 2.85% พร้อมให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมนี ที่จะประกาศในกลางสัปดาห์นี้

พร้อมให้แนวรับ 1,775-1,780 จุด ส่วนแนวต้าน 1,795-1,800 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

            - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 ก.พ.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,190.90 จุด เพิ่มขึ้น 330.44 จุด (+1.38%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,619.55 จุด เพิ่มขึ้น 38.55 จุด (+1.49%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,874.49 จุด เพิ่มขึ้น 97.33 จุด (+1.44%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.48 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 205.66 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 57.34 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 16.72 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.74 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 5.61 จุด

                ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 ก.พ.61) 1,786.45 จุด ลดลง 0.21 จุด (-0.01%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,198.52 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 ก.พ.61

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 ก.พ.61) ปิดที่ระดับ 59.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.95 ดอลลาร์ หรือ 3.2%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 ก.พ.61) ที่ 7.60 ดอลลาร์/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 31.65 แนวโน้มแข็งค่าตามทิศทางภูมิภาคจากแรงขายดอลล์ มองกรอบ 31.60-31.70

                - หอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย ระบุผ่านกฎหมายอีอีซี แม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนต่างชาติลงทุนไทย หลังชะลอโครงการรอกฎหมายคลอด แจงอยากเห็นการพัฒนาคนรองรับ"จุดขายใหม่"ดันไทย สู่อุตสาหกรรมอนาคต ขณะนายกสมาคม อสังหาฯ เร่งรัฐออกผังเมืองอีอีซี สอดคล้องความต้องการแต่ละจังหวัด เชื่อบูม ตลาดอสังหาฯ

                - "พาณิชย์" เผยการค้าไทยกับคู่เจรจา FTA โตแบบก้าวกระโดด เผยอาเซียนอันดับหนึ่ง เพิ่ม 707% ตามด้วยไทย-อินเดีย เพิ่ม 406% อาเซียน-จีน เพิ่ม 262% ไทย-กีวี เพิ่ม 194.8% ไทย-ออสซี่ เพิ่ม 132% ส่วนสหรัฐฯ ยุโรป ที่ไม่ได้มี FTA กับไทย ในรอบ 10 ปี การค้าโตแค่ 61.2% และ 31.6% ด้าน "สนธิรัตน์" สั่งลุยตรวจสอบล้งจีน ที่เข้ามารับซื้อผลไม้ไทย หลังใกล้ฤดูทุเรียน มังคุด ลำไย ออกสู่ตลาด ป้องกันปัญหากดราคา หรือแอบขายผลไม้ในประเทศ

                - รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับเมื่อสิ้นเดือน ธ.ค. 2560 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นเดือน ก.ย. 2560 โดยพบว่า ยอดสินเชื่อผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือนขึ้นไป อยู่ที่ 8,873 ล้านบาท ลดลง 91 ล้านบาท หรือ 1.02% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 2560

                - "บิ๊กตู่"สั่งรถไฟสร้างต่อขยายไฮสปีด 3 สนามบิน ไปอีก 2 จังหวัด "จันทบุรี-ตราด" เพิ่มอีก 173 กม. วงเงิน 1.3 แสนล้าน กนศ.เด้งรับควัก 200 ล้านให้รถไฟศึกษาความเหมาะสม เล็งหั่นสถานีตัวเมืองระยองทิ้ง หวั่นติดปัญหาสิ่งแวดล้อมจะถูกคัดค้าน

                - รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)เปิดเผยว่า นโยบายการยิงดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่ตำแหน่งวงโคจรของประเทศไทยนั้น ต้องรอการจัดทำกฎหมายอวกาศแห่งชาติแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้กระทรวงดีอีอยู่ระหว่างร่างกฎหมาย พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันต้องวิเคราะห์ดาวเทียมที่มีอยู่ว่าใช้งานคุ้มค่าหรือไม่ และความต้องการของผู้บริโภคไปในทิศทางใด ซึ่งต้องศึกษาให้รอบคอบ

*หุ้นเด่นวันนี้

                - AMATA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อลงทุน"เป้า 30 บาท เป็น 1 ใน 5 หุ้นเด่นประจำเดือนนี้ หลังจาก สนช. ให้ความเห็นชอบ พรบ. EEC อย่างเป็นทางการเมื่อ 8 ก.พ.61 คาดว่าจะทำให้ยอดขายที่ดินกลับมาเร่งตัวขึ้น จากที่ชะลอใน Q4/60 เพื่อรอดูความชัดเจน พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2560 +17% Y-Y และปี 261 +18% Y-Y จาก Backlog ที่มี 2 พันล้านบาท, การ COD โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริมเพาเวอร์, การโอนที่ดินที่นิคมฯในเวียดนามที่กลับสู่ปกติหลังปัญหาที่ดินคลี่คลาย, และแรงหนุนจาก EEC ซึ่ง AMATA มีพื้นที่ขายในระยองและชลบุรีมากถึง 1.4 หมื่นไร่

                - IVL(เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 63 บาท ประโยชน์จากภาษีสหรัฐฯลด และผ่านพันการซ่อมบำรุงใหญ่ โดยประมาณกำไรปกติ Q4/60 ที่ 4.1 พันล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 71%YoY, แต่ลดลง 25% QoQ โดย IVL มีการหยุดซ่อมโรงงาน Paraxylene ที่สหรัฐฯ เป็นเวลา 1 เดือนรวมถึงโรงงาน PTA ที่ Canada ประมาณ 3 อาทิตย์ ซึ่งเป็นไปตามแผน IVL จะได้รับประโยชน์จากการกลับรายการหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี Deferred Tax Liabilities ประมาณ 2.8 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็น one-time gain ใน Q4/60 จึงประมาณกำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 7.3 พันล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 147%YoY และ 108%QoQ

                - PSL (เอเอสแอล) "เก็งกำไร" เป้าเฉลี่ย IAA Consensus ที่ 13.5 บาท คาดว่าก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีน (Golden Week) จะเป็นช่วงที่ Activities ทางเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นซึ่งเป็นมุมมองบวกโดยตรงต่อค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวขึ้นสอดคล้องกันในสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 4.2% WTD และมี Catalyst บวกจาก (1) รายงานกำไร Q4/60 เป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ปีตามคาด (2) ตัวเลข PMI จีนที่ยังขยายตัว (3) Demand เรือเทกองระยะสั้นที่ปรับตัวขึ้น หนุนค่าระวางเรือเป็นบวกต่อ PSL และ (4) แนวโน้มอุตสาหกรมเรือเทกองที่เริ่มกลับมาเข้าสู่สภาวะปกติตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโต

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับดาวโจนน์ดีดแรงวันศุกร์

            ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์ จากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังตลาดร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ส่งผลให้ภาวะชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐสิ้นสุดลง

                ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,128.37 จุด ลดลง 1.48 จุด, -0.05% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,713.08 จุด เพิ่มขึ้น 205.66 จุด, +0.70% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,429.09 จุด เพิ่มขึ้น 57.34 จุด, +0.55% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,380.49 จุด เพิ่มขึ้น 16.72 จุด, +0.71% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,384.98 จุด เพิ่มขึ้น 7.74 จุด, +0.23% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,825.43 จุด เพิ่มขึ้น 5.61 จุด, +0.31% ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุด

                สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ด้วยคะแนนเสียง 240-186 ทำให้การปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ได้สิ้นสุดลง หลังจากที่มีการชัตดาวน์เป็นเวลา 6 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

                ร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีงบประมาณในการบริหารประเทศไปจนถึงวันที่ 23 มี.ค. และจะมีการเพิ่มงบประมาณขึ้นอีกราว 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 2 ปีข้างหน้า โดยกระทรวงกลาโหมจะได้รับ 1.65 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่โครงการต่างๆในประเทศได้รับ 1.31 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฮอร์ริเคนในรัฐเท็กซัส ฟลอริดา และเปอร์โตริโก

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 78.26 จุด สู่จุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือนหลังตลาดหุ้นทั่วโลกร่วง

            ดัชนี ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงอีกครั้งเมื่อคืนนี้ (9 ก.พ.) นับเป็นการปิดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน โดยปรับตัวลงเป็นครั้งที่แปดจากเก้าวันทำการนับตั้งแต่คืนวันที่ 30 ม.ค. เป็นต้นมา ซึ่งสาเหตุหลักนั้นมาจากความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ

                ดัชนี FTSE 100 ลดลง 78.26 จุด หรือ -1.09% ปิดที่ 7,092.43 จุด

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยลบจากอิทธิพลของตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากข้อมูลด้านการจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี

                ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและถี่กว่าที่คาดไว้ หากเศรษฐกิจปรับตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BoE เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายของ BoE อย่างยั่งยืน

                นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการ BoE กล่าวย้ำภายหลังการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ว่า อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับเร็วขึ้น และในขอบเขตที่กว้างขึ้น แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

                ด้านข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่มีผลต่อการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ได้แก่ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักรในเดือนธ.ค.ที่ปรับตัวลง 1.3% อันเนื่องมาจากการปิดท่อส่งน้ำมันในทะเลเหนือ

                ด้านหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นของบริษัทด้านเคมีภัณฑ์อย่างจอห์นสัน แมทธีย์ พีแอลซี ที่ปรับตัวลง 2.4% หลังจากที่บริษัทคู่แข่งได้แก่ยูมิคอร์สามารถระดมทุนได้สูงเกือบ 1 พันล้านยูโรในการขยายกิจการ

                ขณะเดียวกัน หุ้นบริษัทประกันอย่างไดเร็ค ไลน์ อินชัวรันส์ กลับปรับตัวขึ้น 2.6% หลังบริษัทคาดการณ์ว่า กำไรก่อนหักภาษีในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมาก

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ ตามอิทธิพลตลาดหุ้นวอลล์สตรีทตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (9 ก.พ.) หลังได้รับอิทธิพลจากการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 1.45% ปิดที่ 368.61 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,079.21 จุด ลดลง 72.47 จุด หรือ -1.41% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,107.48 จุด ลดลง 152.81 จุด หรือ -1.25% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,092.43 จุด ลดลง 78.26 จุด หรือ -1.09%

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงหลังได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากข้อมูลด้านการจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี

                ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและถี่กว่าที่คาดไว้ หากเศรษฐกิจปรับตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BoE เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายของ BoE อย่างยั่งยืน

                นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการ BoE กล่าวย้ำภายหลังการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ว่า อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับเร็วขึ้น และในขอบเขตที่กว้างขึ้น แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

                นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการเมืองในสหรัฐหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ด้วยคะแนนเสียง 240-186 ทำให้การปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ได้สิ้นสุดลง หลังจากที่มีการชัตดาวน์เป็นเวลา 6 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

                ทั้งนี้ ร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวจะถูกส่งไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายต่อไป

                ด้านข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่มีผลต่อการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ยังรวมถึงตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสเดือนธ.ค.ที่ปรับตัวขึ้น 0.5% สูงกว่าการคาดการณ์เล็กน้อย ขณะที่ปรับตัวลง 1.3% ในสหราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการปิดท่อส่งน้ำมันในทะเลเหนือ

                ด้านข้อมูลหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงกว่า 1.2% ส่งผลให้ตลอดทั้งสัปดาห์ หุ้นกลุ่มธนาคารในดัชนี Stoxx 600 Bank ปรับตัวลงถึง 4.1%

                เช่นดียวกับหุ้นเอพี โมลเลอร์-เมอร์ซ เอเอส บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งทางทะเลที่ปรับตัวลง 0.6% หลังการเปิดเผยรายได้ในไตรมาสที่สี่ของปี 2560 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 330.44 จุด รับแรงซื้อเก็งกำไร,สภาคองเกรสไฟเขียวงบประมาณ

            ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (9 ก.พ.) จากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังตลาดร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดี จากความกังวลที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ดีดตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ส่งผลให้ภาวะชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐสิ้นสุดลง

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,190.90 จุด เพิ่มขึ้น 330.44 จุด หรือ +1.38% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,874.49 จุด เพิ่มขึ้น 97.33 จุด หรือ +1.44% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,619.55 จุด เพิ่มขึ้น 38.55 จุด หรือ +1.49%

                สำหรับ ตลอดทั้งสัปดาห์ ตลาดหุ้นสหรัฐถือว่าปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบเกือบสองปี โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 5.2% คิดเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2559 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 5.1% ในสัปดาห์นี้ ถือเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2559 เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวลง 5.2% มากสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนม.ค.

                นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นที่ปรับตัวลงอย่างหนักในตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่า เฟดอาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากข้อมูลด้านการจ้างงานของสหรัฐที่แข็งแกร่งหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี

                จากข้อมูลของ SentimenTrader ซึ่งเป็นเว็บไซต์ด้านการเงินระบุว่า การปรับตัวลงของดัชนีดาวโจนส์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นับเป็นการปรับตัวลงที่รวดเร็วที่สุดอันดับ 4 จากระดับสูงสุด นับตั้งแต่ที่มีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2440

                ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ด้วยคะแนนเสียง 240-186 ทำให้การปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ได้สิ้นสุดลง หลังจากที่มีการชัตดาวน์เป็นเวลา 6 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

                ร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีงบประมาณในการบริหารประเทศไปจนถึงวันที่ 23 มี.ค. และจะมีการเพิ่มงบประมาณขึ้นอีกราว 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 2 ปีข้างหน้า โดยกระทรวงกลาโหมจะได้รับ 1.65 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่โครงการต่างๆในประเทศได้รับ 1.31 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฮอร์ริเคนในรัฐเท็กซัส, ฟลอริดา และเปอร์โตริโก

                ทั้งนี้ ร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวจะถูกส่งไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายต่อไป

                ด้านข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่มีผลต่อการซื้อขายในตลาดเมื่อวันศุกร์ยังรวมถึงการที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. โดยสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระดับ 0.2% หลังจากที่พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 1.9% ในเดือนพ.ย. บ่งชี้ว่า ผู้ค้าส่งจะใช้เวลา 1.22 เดือนในการจำหน่ายสินค้าทั้งหมดในสต็อก โดยลดลงจากระดับ 1.23 เดือนในเดือนพ.ย.

                ในส่วนของข้อมูลหุ้นอื่นๆนั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างไฟร์อาย อิงค์ พุ่งขึ้น 9.4% หลังการเปิดเผยกำไรในไตรมาสสี่ประจำปี 2560 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัททำกำไรรายไตรมาสได้ โดยอยู่ที่ 1 เซนต์ต่อหุ้น จากเดิมที่ขาดทุนที่ 3 เซนต์ต่อหุ้นในปีก่อนหน้า ขณะที่หุ้นเอ็นวีเดียปรับตัวขึ้น 6.7% จากผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

                ด้านหุ้นแมทเทล อิงค์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.9% หลังมีการแต่งนายอีนอน ไครซ์ อดีตประธานบริษัทเมคเกอร์ สตูดิโอ ขึ้นนั่งเป็นประธานบริษัทคนใหม่

                อย่างไรก็ตาม หุ้นเอ็กซ์พีเดีย อิงค์ ร่วงลงกว่า 15.5% หลังไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้า เช่นเดียวกับหุ้นคู่แข่งอย่างทริปแอดไวเซอร์ อิงค์ ที่ปรับตัวลง 4.3%

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!